บทที่ 10 พายุในถ้วยชา
เหรียญทองแดงยี่สิบห้าอีแปะ
ในสายตาของเศรษฐี มันอาจเป็เพียงเศษเงินที่หล่นหายโดยไม่รู้สึกเสียดาย แต่สำหรับครอบครัวอันในยามนี้ มันคือขุมทรัพย์ คือเส้นเืใหญ่ที่หล่อเลี้ยงความ หวัง คือน้ำหนักของอนาคตที่ััได้จริง
อันหนิงวิ่งกลับมาถึงกระท่อมด้วยหัวใจที่เต้นรัวราวกับกลองศึก นางไม่ได้วิ่งเพราะความเหนื่อย แต่เพราะความตื่นเต้นยินดีที่เอ่อล้นอยู่เต็มอก เมื่อนางก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ก็เห็นบิดาและมารดานั่งรออยู่ด้วยสีหน้าเปี่ยมกังวล
นางไม่พูดพร่ำทำเพลง เพียงแค่แบมือออก เผยให้เห็นเหรียญทองแดงกองเล็ก ๆ ที่ส่องประกายสีน้ำตาลแดงอยู่ในฝ่ามือที่มอมแมมของนาง
"ขาย ขายหมดแล้วเ้าค่ะ!" นางประกาศด้วยรอยยิ้มที่กว้างที่สุดในชีวิต
หลี่ซือยกมือขึ้นทาบอกด้วยความเหลือเชื่อ ดวงตาของนางเบิกกว้าง ก่อนที่หยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันใจจะไหลรินออกมาอย่างช้า ๆ "์ ์คุ้มครองจริง ๆ"
อันจินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ถึงกับยืดตัวตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขามองเหรียญเงินในมือบุตรสาวนิ่ง แม้ใบหน้าจะยังคงเรียบเฉย แต่ในแววตาที่ลึกล้ำคู่นั้นกลับฉายประกายที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง มันไม่ใช่แค่ความประหลาดใจ แต่มีความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายกับ การยอมรับในความพ่ายแพ้ของตนเองและการยอมรับในความสามารถของบุตรสาว อย่างหมดหัวใจ
"แค่ แค่ยี่สิบห้าอีแปะ " เขาพึมพำออกมาเบา ๆ ราวกับจะพูดกับตัวเอง "มัน มันอาจจะยังซื้อข้าวสารได้ไม่ถึงหนึ่งถังด้วยซ้ำ"
"แต่ยี่สิบห้าอีแปะในวันนี้ จะกลายเป็เงินยี่สิบห้าตำลึงในวันหน้า" อันหนิงกล่าวสวนขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น "นี่ไม่ใช่แค่เงิน แต่มันคือการเริ่มต้น คือการพิสูจน์ว่ายาของเราเป็ของจริง คือการบอกให้โลกรู้ว่า ตระกูลอัน กำลังจะกลับมา!"
ถ้อยคำของนาง ราวกับคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นกลางความมืดมิด มันส่องสว่างและปลุกเร้าจิติญญาที่หลับใหลของคนทั้งสองให้ตื่นขึ้น
หลี่ซือเช็ดน้ำตาแล้วเปลี่ยนเป็รอยยิ้มที่สดใสที่สุดในรอบปี "ใช่แล้วลูก แม่เชื่อว่าเ้าทำได้"
อันจินไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่เบือนหน้าหนีไปทางอื่น เพื่อซ่อนแววตาที่เริ่มแดงก่ำของตนเอง
เงินก้อนแรกที่หามาได้ถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุดอันหนิงนำเงินสิบอีแปะไปซื้อข้าวสาร เม็ดหักจากร้านค้าเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน แม้จะได้มาเพียงแค่ถุงเล็ก ๆ แต่สำหรับครอบครัวที่ไม่ได้เห็นข้าวสารมานานหลายเดือนแล้วนั้น มันคือสมบัติล้ำค่า
มื้อเย็นของวันนั้น เป็มื้อที่พิเศษที่สุด
กลิ่นข้าวสวยร้อน ๆ ที่หอมกรุ่นลอยอบอวลไปทั่วกระท่อม มันเป็กลิ่นที่เรียบง่าย แต่กลับทรงพลังยิ่งกว่ากลิ่นอาหารเลิศหรูใด ๆ ในโลก เพราะมันคือกลิ่นของ บ้าน กลิ่นของความอิ่มท้อง และกลิ่นของความสำเร็จ
บนโต๊ะมีเพียงข้าวสวยหนึ่งหม้อเล็ก ๆ กับผักป่าผัดเกลือหนึ่งจาน แต่สำหรับคนทั้งสามแล้ว มันคือสุดยอดงานเลี้ยงแห่งชีวิต
ทุกคนทานข้าวกันอย่างเงียบเชียบ แต่เป็ความเงียบที่อิ่มเอมใจ
หลังจากทานอาหารเสร็จ อันหนิงก็เริ่มวางแผนสำหรับก้าวต่อไปทันที
"ท่านพ่อ ขี้ผึ้งของเราขายดีเกินคาด แต่ข้าคิดว่าเราควรจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราให้ดี ยิ่งขึ้นไปอีก" นางกล่าวพลางนำสมุนไพรแห้งสองสามชนิดที่นางแอบนำออกมาจากมิติโอสถวางลงบนโต๊ะ
อันจินมองสมุนไพรเ่าั้ด้วยความสนใจ "นี่คือตี้หวง และ ตันเซิน เ้าไปได้มันมาจากไหน"
"ข้าเจอในป่าโดยบังเอิญเ้าค่ะ" อันหนิงใช้ข้ออ้างเดิม "ข้าคิดว่าหากเราเพิ่มสมุนไพร ที่ช่วยบำรุงเืและสลายลิ่มเืเข้าไปในขี้ผึ้งของเรามันน่าจะช่วยให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น และอาจช่วยลดรอยแผลเป็ได้ด้วย"
นางกำลังนำเสนอ สูตรอัปเกรด ที่นางได้เรียนรู้มาจากระบบ แต่เลือกที่จะนำเสนอในรูปแบบของการปรึกษากับบิดา
อันจินหยิบสมุนไพรขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดสัญชาตญาณความเป็หมอกลับมาทำงานอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง "ความคิดไม่เลว ตี้หวงมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดอาการอักเสบ และบำรุงเื ส่วนตันเซินช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและสลายเืคั่ง หากนำมาสกัดรวมกับเชอเฉียนเฉ่าอย่างถูกวิธี สรรพคุณของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย สามส่วน"
เขาเริ่มอธิบายหลักการทางยาอย่างคล่องแคล่ว ราวกับว่าเขาไม่เคยหยุดปรุงยามาเลย แม้แต่วันเดียว
"แต่ว่า " เขาขมวดคิ้ว "การสกัดยาพวกนี้ต้องใช้กรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่าเดิมมาก และที่สำคัญที่สุด มันต้องใช้สุราขาวคุณภาพดีเป็ตัวทำละลาย เราจะไปหาของพวกนั้นมาจากไหน"
อันหนิงยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย "เื่นั้น ข้ามีแผนแล้วเ้าค่ะ"
ในขณะเดียวกัน ณ ใจกลางเมืองที่คึกคัก
ภายใน หอโอสถหมื่นปี ร้านยาที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในเมือง บรรยากาศกลับค่อนข้างตึงเครียด
เถ้าแก่เนี้ยซุน หญิงวัยกลางคนร่างท้วมเ้าของร้าน กำลังนั่งจิบชาชั้นเลิศอยู่หลังเคาน์ เตอร์ไม้สลักราคาแพง ใบหน้าของนางที่ปกติจะประดับด้วยรอยยิ้มแห่งการค้าอยู่เสมอ บัดนี้กลับบึ้งตึงจนน่ากลัว
"ว่าอย่างไรนะ!" นางตบโต๊ะเสียงดังปัง! จนถ้วยชากระเด้ง "ยาผีบอกอะไรนั่น ขายได้ถึงห้าตลับรวดเชียวรึ!"
เบื้องหน้าของนางคือป้าเฉียน หญิงช่างจ้อแห่งหมู่บ้านท้ายเขา ที่กำลังรายงานสถาน การณ์ที่นางไปพบเห็นมาด้วยสีหน้าท่าทางที่เกินจริงไปหลายส่วน
"ใช่แล้วเ้าค่ะเถ้าแก่เนี้ย!" ป้าเฉียนกล่าวเสียงสูง "ข้าเห็นกับตาเลยนะเ้าคะ! แค่ป้ายยาลงไปแป๊บเดียว เืก็หยุดไหลทันที! พวกคนงานป่าเถื่อนพวกนั้นแย่งกันซื้อราวกับเป็ของวิเศษ! แถมยังบอกว่าเป็ยาของไอ้หมอพิการอันจินนั่นอีก!"
เถ้าแก่เนี้ยซุนหรี่ตาลง แววตาฉายแววอำมหิตออกมาวูบหนึ่ง
อันจิน ชื่อที่นางเกลียดชังเข้ากระดูกดำ! ในอดีต เพราะความโด่งดังของอันจิน ทำให้กิจการของหอโอสถหมื่นปีซบเซาลงอย่างหนัก นางจึงต้องร่วมมือกับ ผู้มีอำนาจ บางคนวางแผนใส่ร้ายป้ายสีเขาจนสิ้นเนื้อประดาตัว นางคิดว่านางได้กำจัดเสี้ยนหนามชิ้นนี้ไปให้พ้นทางแล้ว แต่ใครจะคิดว่า ชื่อของมันจะกลับมาหลอกหลอนนางอีกครั้ง!
"แล้วเ้ายาที่ว่านั่น หน้าตาเป็อย่างไร" นางถามเสียงเย็น
"มัน มันอยู่ในตลับไม้ไผ่เล็ก ๆ เ้าค่ะ เนื้อยาเป็สีเขียวอ่อน ๆ มีกลิ่นหอมเหมือนสมุนไพร " ป้าเฉียนพยายามนึก
"ตลับไม้ไผ่ ยาสีเขียว " เถ้าแก่เนี้ยซุนครุ่นคิด มันไม่เหมือนยาชนิดใดที่นางเคยรู้จัก
"เถ้าแก่เนี้ยเ้าขา " ป้าเฉียนขยับเข้าไปใกล้ๆ พูดเสียงกระซิบกระซาบ "ข้าว่า มันต้องเป็ตำรับยาเทวดาอะไรสักอย่างที่ไอ้หมออันจินมันซ่อนไว้แน่ๆ เลยเ้าค่ะ! ถ้า ถ้าเถ้าแก่เนี้ยได้ตำรับยานั่นมา หอโอสถหมื่นปีก็จะเป็หนึ่งในใต้หล้าโดยไม่มีใคร เทียบได้เลยนะเ้าคะ!"
คำพูดของป้าเฉียนจี้ใจดำของเถ้าแก่เนี้ยซุนอย่างจัง! ความละโมบในดวงตาของนางลุกโชนขึ้นมาทันที
"เ้าทำได้ดีมาก" นางกล่าวพลางหยิบแท่งเงินเล็กๆ แท่งหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก วางลงบนโต๊ะ "นี่คือรางวัลสำหรับข่าวของเ้า แล้วก็ หากมีข่าวอะไรคืบหน้าอีก ให้รีบมารายงานข้าทันที"
ดวงตาของป้าเฉียนเบิกกว้างเป็ประกายเมื่อเห็นแท่งเงิน! มันมีค่ามากกว่าเงินที่นางหาได้ทั้งเดือนเสียอีก!
"เ้าค่ะ! เ้าค่ะ! เถ้าแก่เนี้ยวางใจได้เลย! ข้าจะจับตาดูครอบครัวนั่นไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว!" นางรีบคว้าแท่งเงินแล้วโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะเดินตัวลีบออกจากร้านไปด้วย ความยินดี
เมื่อป้าเฉียนจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยซุนก็พลันหายไป ถูกแทนที่ด้วยความเ็าและอำมหิต
นางเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ เป็จังหวะ ก่อนจะเรียกเสียงดัง "อาซาน!"
เงาร่างของชายชุดดำร่างกำยำผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากมุมมืดของร้านราวกับภูตผี
"ส่งคนไปที่หมู่บ้านท้ายเขา ไปเชิญลูกสาวของอันจินมาพบข้า" นางสั่งเสียงเหี้ยม "ข้าอยากจะพูดคุยกับนางเื่ธุรกิจสักหน่อย ถ้าหากนางไม่ยอมมาดีๆ ก็ให้ใช้ วิธีพิเศษ ของพวกเ้าได้ แต่จำไว้ ข้า้าตัวนางแบบยังมีลมหายใจ และที่สำคัญที่สุด ข้า้าตำรับยา ของมัน!"
"ขอรับ เถ้าแก่เนี้ย" ชายชุดดำโค้งคำนับ ก่อนที่ร่างของเขาจะเลือนหายกลับเข้าไปในเงามืดอีกครั้ง
สายลมที่พัดออกจากหอโอสถหมื่นปีในยามบ่ายของวันนั้น มันไม่ได้พัดพาไปเพียงแค่กลิ่นยา
แต่มันยังพัดพาเอากลิ่นอายแห่งอันตรายและความขัดแย้ง ตรงไปยังกระท่อมหลังน้อยที่ตั้งอยู่อย่างสงบสุข ณ เชิงเขา โดยที่ไม่มีใครในบ้านหลังนั้นล่วงรู้เลยว่า พายุลูกใหญ่กำลังจะพัดมาถึงตัวในไม่ช้า