มิใช่กระดูกแท้
ใต้แสงตะวัน มีสีทองแดงหม่นแพรวพราว ไม่เหมือนที่เ่ิูคิดไว้ มิใช่กระดูกแท้อะไรทั้งนั้น แต่เป็อุปกรณ์สีทองแดงอันหนึ่ง รูปร่างทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวไม่ถึงหกนิ้ว กว้างไม่ถึงสามนิ้ว หนาตกสองนิ้ว...
“นี่คือ...คัมภีร์ทองแดงเล่มหนึ่งหรือนี่?”
เ่ิูสำรวจรอบๆ พบในฉับพลันว่าเป็คัมภีร์ทองแดงที่ช่างฝีมือประดิดประดอยขึ้นอย่างละเอียดลออ ถึงภายนอกจะขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่น้ำหนักก็หนักเอาการ อย่างน้อยสุดก็ปาไปห้าร้อยกว่าจิน และมิอาจล่วงรู้ว่าใช้สิ่งใดทำ
แน่นอน เื่ประหลาดที่สุดคือ ท้องของหอยตลับแม่น้ำ ไยถึงมีเ้านี่อยู่ภายในได้?
เื่ประหลาดจริงๆ นะนี่
เ่ิูแอบคิดเงียบๆ เื่นี้นับเป็์ลิขิตชะตามาให้พบโดยแท้ ไม่อย่างนั้นถ้าัอสรพิษมิได้กลืนกินหอยแมลงภู่สีทองตัวนี้มา เขาก็คงไม่มีทางดำน้ำ เพียรหยิบหอยตลับนี้ออกมาได้
สำหรับเื่ที่เ้าหอยตลับได้คัมภีร์ทองแดงนี้มาได้อย่างไร นั่นยิ่งคาดเดายากเข้าไปใหญ่
เขาคิด หลังโยนซากหอยตลับกลับลงแม่น้ำหลั่งไหลอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ชำแหละร่างัอสรพิษด้วยความเร็วสูงสุด และยังปกปิดาแใดก็ตามที่ได้จากหอยแมลงภู่สีทองหมดสิ้นไป แล้วจึงจากมา
หลายสิบอึดใจต่อมา
เ่ิูเดินทางกลับมายังปากถ้ำหินท่ามกลางดงหินปลาต
เขาใช้ก้อนหินอุดทางเข้าไว้ก่อนหน้า ป้องกันมิให้สัตว์ร้ายรุกล้ำ และนี่ยังได้คัมภีร์ทองแดงประหลาดมาอีก จึงใช้ประโยชน์จากแสงที่ส่องลอดช่องว่างปากถ้ำเข้ามา ตรวจดูมันอย่างถ้วนถี่
คัมภีร์ทองแดงขนาดเท่าฝ่ามือผู้ใหญ่ หน้าปกไร้ลวดลายใดๆ พื้นผิวติดจะสาก มีตัวอักษรใหญ่แปลกประหลาดอยู่ห้าตัว เก่าแก่คร่ำคร่า ราวกับมิใช่ภาษาของแคว้นเสวี่ย เ่ิูอ่านไม่ออก
ยามอยากจักเปิดหน้าหนังสือ เด็กหนุ่มก็ได้พบว่าหนังสือเล่มนี้ดั่งทำจากเหล็กล้วน แม้แต่หน้าแรกยังเปิดไม่ขึ้น
ริลองอยู่สองสามครั้ง เขาก็ยอมแพ้
“หรือจะเป็คัมภีร์์กัน?” เ่ิูหัวเราะ
ยามเยาว์วัยบิดามารดาได้เล่าเื่คัมภีร์์ให้เขาฟัง เอ่ยว่าไม่มีสิ่งใดที่คัมภีร์์ทำไม่ได้ หยั่งรู้อดีตกาลห้าพันปี อนาคตกาลห้าสหัสวรรษ ใต้หล้าสรรค์สร้างบ่มเพาะขึ้นมาจำสำเร็จ ทว่าเขาเพียงแค่คิดเช่นนี้ ก็ลงความเห็นว่าไม่น่าใช่เท่าไรนัก
เ่ิูเก็บหนังสือนั่นขึ้นมา เตรียมตัวกลับสำนักกวางขาว เสาะหาความหมายของตัวอักษรห้าตัวนั้น ค่อยคิดใหม่อีกที
จากนั้นเขาจึงได้โลหิตแห่งัอสรพิษ เริ่มต้นประกบคู่กับกระบวนท่าัแผด จู่โจมกำแพงแห่งอาณาพิภพขั้นห้าเต็มกำลัง
วิธีใช้ประโยชน์จากเืของัอสรพิษ คือต้องผ่านทางปาก
เืของมันแม้นจะเป็ในส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดก็ตาม กลิ่นก็ยังคาวหึ่งจมูก ทว่าเมื่อแตะลิ้นและดื่มกินกลับหวานหอม แปรผันเป็สายน้ำร้อนเหนือธรรมชาติแลบแล่นไปทั่วตามทางเดินอาหาร หยั่งลึกถึงทั่วสามสิบสองของกาย
เ่ิูนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น
ัแผดหาใช่กระบวนท่าที่เน้นการแสดงท่าทางเช่นอสรพิษหรือหมีโอบ แต่เป็วิชาฝึกฝนเรี่ยวแรงภายใน ต้องหายใจเข้าออกแบบพิเศษโยกคลอนเืเนื้อิัและกระดูก เพื่อชะล้างไขกระดูก
ความจริงแล้ว วรยุทธ์อาณาพิภพขั้นห้าและขั้นหกนั้นมีการแปลงทั้งจากภายนอกและภายในร่าง ให้ความสำคัญกับการปลุกเร้าเรี่ยวแรงในกาย เพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถกระตุ้นพลังอาณาเนื้อฟ้าอย่างแยบยล รู้สึกถึงแรงพลังที่เพิ่มพูนขึ้นอีกระดับ หลังบรรลุขั้นสูงสุดของอาณาพิภพแล้ว
ตามลมหายใจของเ่ิู ในร่างกายของเขา มีเสียงต่ำนิ่งล่องลอยล้อมรอบ ฟังราวกับเสียงแผดแห่งั เนิ่นนานมิมีสะดุด นำพาแสนยานุภาพบางๆ ประดุจมีัลึกลับแอบแฝงอยู่ในร่างจริงแท้
นี่แลคือ กระบวนท่าัแผด
เวลาผันผ่านไปทุกวินาที ทุกนาที
นอกจากถ้ำใต้ภูผา กลายเป็เวลาเย็นย่ำ พระอาทิตย์ใกล้อัสดง หมอกลงระบายบางตา
เสียงัในร่างของเขา ทั้งชัดเจนและยาวนานขึ้นอีก
ผมหนาดำของเขาขยับเองโดยไม่มีลมนำพา ทยอยพัดขึ้นทีละเส้นๆ บนถ้ำหินมีก้อนหินเล็กตกลงมาเป็หย่อมๆ ตอนห่างจากร่างเ่ิูหนึ่งนิ้วได้เมื่อไหร่ จักถูกพลังไร้รูปแบบชนจนกระเด็นไม่เป็ท่า!
ในที่สุด...
“เลอค่า...!”
ตามเสียงไพเราะกังวานเป็เอกแห่งั กายเ่ิูสั่นเล็กน้อย ยินเสียงะเิแน่นขนัด มีไอสกปรกสีดำไล่เรียงออกมาจากรูขุมขนอย่างเชื่องช้า...
เ่ิูลืมตาขึ้นมา
ใบหน้าของเขาคลี่ยิ้มพึงพอใจ
“ฮ่าๆ เืัอสรพิษ ยอดเยี่ยมเสียจริง ในที่สุดก็ช่วยให้ข้าได้มาซึ่งอาณาพิภพขั้นห้า เท้าเหยียบเขตแดนขั้นหกไปครึ่งหนึ่งแล้ว ฮ่าๆ ดูท่าพลังระดับหลิวเล่ยแล้ว ถ้าได้มาประมือกันอีก ข้าแค่ง้างมือข้างเดียวก็ะเิมันไปไกลลิบได้แล้ว!”
ความเชื่อมั่นในตัวเขามากมายยิ่งกว่าเดิม
พละกำลังของเขาในตอนนี้ เติบโตพุ่งเร็วจนน่ากลัว เท้าก้าวข้ามเขตเล็กๆ ได้อีกเขตหนึ่ง เอาชนะนักยุทธ์สุดยอดอาณาพิภพขั้นหกด้วยมือเปล่า และเพียงใช้หอกไน่เหอคราเดียว ก็อาจหาญพอประยุทธ์กับมือดีระดับอาณาน้ำพุิญญาเริ่มต้นได้
“การแสดงฝึกซ้อมจบลงแล้ว ยังมีเวลาอีกสามวัน ต่อสู้ระหว่างกลับอีกสักหน่อย สำเร็จส่วนย่อยของอาณาพิภพขั้นหก เขตอวัยวะได้สักนิด เท่านี้ตอน่สอบประจำเดือนก็รับมือขึ้นมาได้แล้ว!”
เ่ิูคิดวาดแผนการในใจ
ในบรรดากระบวนยุทธ์ทั้งแปดนั้น กระบวนท่าพญาถัว เป็วิชาที่ดีที่สุดที่จักใช้ฝึกฝนไล่เรียงอวัยวะหลักทั้งหกของร่างกายได้ ที่เรียกว่าตัวถัวนั้น ตามตำนานโบราณเนิ่นนานมา กล่าวกันว่าเป็สัตว์วิเศษครึ่งเต่าครึ่งจระเข้ อาศัยอยู่ใต้ผืนมหาสมุทร อายุยืนยาว เชี่ยวชาญการพักฟื้นเพื่อแข็งแกร่งขึ้นใหม่ ทั้งยังเล่าขานว่าหากสัตว์ชนิดนี้ไม่ขยับเปลือกนอกเนิ่นนานจะกลายเป็หิน แต่ภายในยังคงมีชีวิต!
ก่อนหน้านี้หมาดๆ อาจารย์ร่างกำยำได้ถ่ายทอดกระบวนท่านี้ให้แก่เขาด้วย
สองสามวันมานี้ เ่ิูก็ฝึกฝนจนได้เื่
เขาจัดการจัดวางของทั้งหลายในถ้ำหิน รวบรวมกระดูกแท้ของสัตว์อสูรได้สามสิบเอ็ดชิ้นเต็มจำนวน เก็บเกี่ยวเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไหนจะรวมชิ้นส่วนอื่นของสัตว์อสูรอีก ย่ามวิเศษดูท่าจะใกล้เต็ม
“สำเร็จมากกว่าวัตถุประสงค์ของการทดสอบสู้รบจริงแล้ว ต่อจากนี้ไม่จำเป็ต้องไปฆ่าแกงต่อกรอะไรอีก ประสบการณ์โชกโชนพอแล้ว...” เ่ิูพิจารณาครบถ้วนกระบวนความ
เขาเชื่อว่าจนวันนี้ นักเรียนกลุ่มเดียวกันคนอื่นๆ คงไม่ไล่ล่าฆ่าสัตว์อสูรและเดรัจฉานมหาศาลเช่นเขา การต่อสู้ของทุกคนรวมกันยังไม่มากเท่าเขาคนเดียวแน่นอน
สามวันต่อจากนี้ ต้องบริหารลมหายใจ ทำสมาธิกำหนดจิต ฝึกฝนกระบวนท่าพญาถัวไปด้วย ประมวลสิ่งได้เสียจากการประมือตลอดหลายวันมานี้ไปด้วย
“ทว่า ก่อนอื่นต้องไปตักน้ำจากแม่น้ำ จัดเตรียมอาหารเสียก่อน...” เ่ิูเตรียมเก็บตัวอยู่ในถ้ำ
ใต้แสงแห่งจันทรา เด็กหนุ่มผลักก้อนหินใหญ่มาไว้หน้าปากถ้ำ หยิบยืมแสงนวลผ่อง นำทางให้เดินออกมา ทันใดได้ยินเสียงคนเดิน ห่างจากตรงนี้ไม่ไกล
มีคนมาหรือ?
เ่ิูใจเต้นแวบหนึ่ง
ขณะนั้นเอง สุ้มเสียงก็วี่แว่วเข้ามา
“มารดามันเถอะ ไอ้สวะเดนคนนั้น ไม่รู้วิ่งหัวซุกหัวซุนไปไหน หามาสามวันแล้วยังหาไม่เจอเลยโว้ย...” ฝีปากกล้า ด่าดังเข้าหู
เป็เสียงของหลิวเล่ยไม่ผิดแน่
เ่ิูได้ฟังแล้วก็หยุดความคิดจะทักทายทันที เดินไปหลบอยู่ในเงามืด แอบอยู่หลังพุ่มหญ้ามิดกาย
่เี่ิและเยี่ยนสิงเทียนล้วนบอกเขามาแล้ว ว่าหลิวเล่ยจักใช้โอกาสลงสนามจริงในครั้งนี้เพื่อชำระหนี้แค้นที่มีแก่เขา ดูท่าจักจริงแท้ไร้ใดผิด
เขามองออกไป เก็บทุกรายละเอียด
ใต้ม่านจันทร์ค่อยๆ เผยให้เห็นร่างสามร่างเดินเชื่องช้ามาจากที่ไกลๆ
หัวโจกนั้นกายสูงผอม สีหน้าเคืองโกรธ เป็หลิวเล่ยแน่นอน สองคนข้างๆ กันดูอายุมากกว่าหลิวเล่ยเล็กน้อย ดูจากเครื่องแบบที่ใส่ต้องเป็ศิษย์ปีสอง ไม่รู้เหตุใดถึงมาที่สนามทดสอบของเด็กปีหนึ่ง?
หรือจะกลายเป็ว่า
“คุณชายหลิว ท่านวางใจเถอะ การทดสอบของข้ากับหย่วนตงยังเหลือเวลาอีกตั้งสามวัน อยู่ช่วยท่านตามหาเ้าเ่ิู ลากคอไอ้ไก่อ่อนนั่นมาเก็บเสีย ไม่ใช่เื่คณามืออันใด!” ศิษย์ปีสองร่างท้วมเอ่ย
“ใช่แล้ว รอให้เจอมันก่อนเถอะ ข้าจะฉีกแขนฉีกขามันกับมือ ถึงเวลานั้นคุณชายหลิว ท่านอยากทำอะไรกับมัน จะเล่นมันอย่างไรก็ได้ ระบายโทสะของท่านอย่าได้ยั้ง!” ศิษย์ชายผมแดงตัดสั้นอีกคนก็ฉีกยิ้มโฉด
“ข้าจะฆ่ามัน ข้าต้องฆ่ามันให้ตาย” หลิวเล่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของเขายามตกกระทบแสงจันทร์ ทั้งป่าเถื่อนและชั่วร้ายอย่างบอกไม่ถูก ราวกับผีร้ายฟื้นคืนจากหลุมมาแก้แค้นกระไรกระนั้น
“ฮ่าๆ คุณชายหลิว ท่านจะฆ่ามันนั้น ไม่ใช่ง่ายเหมือนบีบมดตัวหนึ่งตายหรอกหรือ?” บุรุษร่างท้วมหัวร่อฮ่าๆ
“แน่สิ บุญหัวของมันที่อาจารย์ตรวจการณ์ัเีเหมือนจะบ้าคลั่งอีก แจ้นไปมหาสมุทร บุกเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามาร ‘วังชโลทรเหมมาศ’ พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน สุดท้ายจ้าววังเหมมาศต้องออกโรงเอง ทั้งโลกตามฆ่าัเีเป็ว่าเล่น ได้ยินว่า้าทวงคืนสมบัติล้ำค่าของวังชโลทรเหมมาศ ฮ่าๆ เ้านี่มันบ้าจริงๆ”
“ใช่เลยขอรับ เ้าัเีคงกำลังวิ่งหนีเป็พัลวันเหมือนหมาแน่ๆ ไม่มีพลังอำนาจอะไรจะมายุ่งย่ามชะตาชีวิตลูกศิษย์ได้อีกแล้ว!” ชายผมแดงหัวเราะพลางเสริม
หลิวเล่ยพยักหน้า “นี่ต้องเป็โอกาสที่์ประทานให้ข้าเป็แน่ คราวนี้ข้าจักฆ่าไอ้เ่ิู ไม่เช่นนั้นแล้วข้าไม่อาจด่าสาดเสียเทเสียเช่นนี้แน่!”
“แค่กลบเกลื่อนให้สวยๆ เสียหน่อย สำนักก็สืบเสาะไม่เจอตัวเราหรอกขอรับ ” เ้าร่างท้วมคึกคะนองเหมือนม้าศึก
“แค่ขยะไม่มีจะกินตัวหนึ่ง บังอาจยั่วยุข้า...” หลิวเล่ยว่า เขาเกลียดเข้ากระดูกดำ “รอข้าขยี้มันให้ตายคามือก่อนเถอะ ข้าจะกลับไปหาหลุมศพพ่อแม่มัน ขุดคุ้ยขึ้นมาให้หมด ให้มันเป็ผีไม่มีศาลตายโหงเร่ร่อนไปซะ!”
ไกลออกไป
เ่ิูได้ยินคำนั้นแล้ว จิตสังหารแรงกล้าพลันปะทุ
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเ้าไม่มีวาสนาหรือวรยุทธ์ใดมากพอมาชวนตีได้ คราวก่อนที่บอกว่าสู้ให้ตายกันไปข้าง ไม่งั้นไม่หยุดนั่น เขาอุตส่าห์ยั้งมือไว้ ในเมื่อครั้งนี้ต่ำช้าเหลือเดน ถึงขั้นพาคนมาไล่ล่าฆ่าข้า...หลิวเล่ย เ้ารนหาที่ตายเอง!
เ่ิูคว้าหอกไน่เหอทั้งสองไว้ในกำมือ
“ฮ่าๆ คุณชายหลิวโปรดวางใจ ข้ากับตงหย่วนได้บรรลุเข้าอาณาน้ำพุิญญาไปครึ่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ถึงมิได้สมบุกสมบันอะไรมาก เพียงเพิ่งบุกเบิกแผ้วทางเท่านั้น แต่เทียบกับเ้ายาจกมีดีแต่โอหังนั่นแล้ว โคตรจะมากเกินพอดีเลยล่ะขอรับ!”
“ใช่เลย! ใช่เลย! หามันเจอเมื่อไร ต้องทรมานช้าๆ จนกว่าจะตาย!”
สามคนปรึกษากันไป น้ำเสียงไม่กระตือรือร้น ราวกับกำลังจะเหยียบมดหนึ่งตัวให้บี้แบนจริงๆ
ทันใดนั้นเอง...
ใต้แสงแห่งดวงจันทร์นวลลออ มีร่างหนุ่มรุ่นคนหนึ่งย่างก้าวเข้ามาหา
“อย่างนั้นรึ? ไม่ต้องหาแล้ว ข้าออกมาเองแล้วนี่ไง” เ่ิูยามนี้ ดวงตาปรากฏแวววาววับจนศัตรูต้องขยาด สองมือจับหอกดำสนิทแแ่ ประหนึ่งเทพารัตติกาล ออกมาต้อนรับต่อหน้าต่อตา
สามหน่อใกลัวจนะโถอยหลัง