บทที่ 121 อาละวาด
“ชิ้ง ชิ้ง---”
มีเสียงชักกระบี่ออกจากฝัก คมกริบและรุนแรง
นักรบหญิงรวมตัวรายล้อมปกป้องรถม้าของเสวี่ยหรูเยียน ชี้กระบี่ในมือไปยังแขกไม่ได้รับเชิญที่พุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ใบหน้าของพวกนางเคร่งเครียด
เนื่องจากมีโจรม้ามากกว่าสามสิบคน มากกว่านักรบหญิงตระกูลเสวี่ยถึงสองเท่า แต่ละคนแข็งแกร่งและมีพลังไม่ธรรมดา และเป็นักรบในระดับแรกของขั้นมหาสมุทร ไม่อาจดูแคลน
สถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ นักรบหญิงแต่ละคนเหงื่อตก หายใจไม่ทั่วท้อง
“ฮ่าๆ! วันนี้ข้าโชคดีนัก เจอแม่นางน้อยเพียบเลย!”
ในเวลานี้ ชายมีหนวดหัวเราะเสียงดังและขี่ม้าศึกสีดำเข้ามา เขาดูแข็งแกร่งและป่าเถื่อน รับรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ
เขาขี่ม้ามาอยู่แถวหน้าของกลุ่มโจรด้วยท่าทีหยิ่งผยองและเผด็จการอย่างยิ่ง จับจ้องหนิงซิ่วไม่วางตา
“ซาจื้อ! นี่คือคาราวานของตระกูลเสวี่ย ข้าแนะนำให้เ้าคิดให้ดี อยากรนหาที่ตายหรืออย่างไร!? อีกอย่างที่นี่ยังมีดินแดนทางจิติญญาที่ไร้เ้าของอยู่อีกมาก เ้ายังมีโอกาสรวบรวมสมบัติิญญา ไปซะ!”
หนิงซิ่วไม่ยอมแพ้และจ้องมองไปที่หัวหน้าโจรอย่างเ็า
นางรู้ว่าชายหนวดเฟิ้มคนนี้เป็โจรที่มีชื่อเสียงในพื้นที่นี้ เชี่ยวชาญในการฆ่าชิงทรัพย์ ทำสิ่งเลวร้ายทุกประเภท
แต่ในอดีตแม้ว่าซาจื้อจะกินดีหมีหัวใจเสือมาอีกกี่ตัวก็ไม่กล้าทำอะไรกับตระกูลเสวี่ย แต่ตอนนี้เหตุใดจึงกล้าแย่งอาหารจากปากเสือ[1]? หนิงซิ่วไม่เข้าใจจริงๆ
“หมัดกระเรียนม่วง หนิงซิ่ว แค่เ้าพูดข้าก็เลยต้องไปเช่นนั้นหรือ? จะให้ข้าต้องเสียหน้าอย่างนั้นหรือ? แล้วข้าจะอธิบายกับพี่น้องข้าอย่างไร?” ซาจื้อพูดอย่างเหยียดหยาม โดยไม่คิดอะไรจริงจัง
“ถ้ารู้ความก็รีบไสหัวไปเสีย! ไม่เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าไร้เมตตา!” หนิงซิ่วโกรธ หมัดของนางควบแน่นเป็เงานกกระเรียนสีม่วง รัศมีเปล่งประกาย เต็มไปด้วยความน่ากลัว
แต่ซาจื้อกลับหัวเราะอย่างไม่สนใจอะไรเลย พูดว่า “ฮ่าๆ ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง คิดว่าพวกเราจะกลัว?”
“เ้าพูดว่าอะไรนะ?!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหนิงซิ่วก็มึนตึง นางะโขึ้นไปในอากาศ ออกหมัดกระเรียนม่วงเต็มท้องฟ้า พุ่งไปหาซาจื้อด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
แต่ซาจื้อก็ยังคงท่าทีหาญกล้า นั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้า ทิ้งให้นักรบหญิงงงงวยเขากำลังรอความตายอยู่หรือ?
“ควับ!”
ทันใดนั้น สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ในขณะที่เงาหมัดกระเรียนม่วงกำลังจะกระทบกับชายหนวดเฟิ้ม แสงหมัดเงาช้างก็วาบผ่านท้องฟ้า ไม่ทันให้ใครได้หยุดยั้ง
ด้วยเสียงดังตึง ไม่เพียงแต่เงาหมัดสีม่วงจะสลายออกเท่านั้น แต่หนิงซิ่วยังถูกโจมตีและล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรงจนกระอักเื
“แค่ก... ผู้ใดลอบโจมตี?!” ปากของหนิงซิ่วเปรอะเปื้อนเืสีแดงสด ขณะกำลังจะลุกขึ้น นางก็รู้สึกลำคอเย็นเยียบ เมื่อเห็นว่าถูกดาบแวววับกดทับ ทำให้นางโกรธมาก
“นังตัวดี!” ซาจื้อยกยิ้มอย่างดุร้าย ถือดาบขนาดใหญ่ไว้ในมือ และควบคุมม้าให้ก้าวไปข้างหน้า กีบเหล็กเหยียบบนหลังของหนิงซิ่วทันที ทำให้นางกระอักเืออกมาอีกครั้ง
“แม่บ้านหนิง!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักรบหญิงทุกคนก็ตื่นตระหนกและะโออกมาอย่างเป็กังวล
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว เมื่อครู่เป็หมัดแบบไหนกันนะ? เขาล้มหนิงซิ่วที่อยู่ในระดับสามของขั้นมหาสมุทรได้ด้วยกระบวนท่าเดียว โหดร้ายยิ่งนัก!
“เป็แค่หญิงแพศยาคนหนึ่ง กลับมาทำเป็อวดเก่ง?”
ในเวลานี้ ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าโเี้ก็ขี่ม้าออกไปหยุดอยู่ข้างชายหนวดเฟิ้ม พลังปราณของเขาแข็งแกร่งกว่าทุกคนที่นี่มาก
แต่ชายคนนี้สูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง คล้ายจะถูกตัดออกด้วยอาวุธมีคม ทำให้เขาดูเ็าและดุดันยิ่งขึ้น
“ท่านเริ่น พลังยุทธ์ของท่านเปิดหูเปิดตาข้ายิ่งนัก ได้ท่านมาเข้าร่วม การรวมอำนาจของค่ายทรายเหล็กของเราก็อยู่ไม่ไกล!” ซาจื้อยกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันสีทองของเขา
“หึ ซาจื้อ ถึงว่าเ้ากล้าดักปล้นตระกูลเสวี่ยเรา ที่แท้ก็เป็สุนัขรับใช้ให้นักรบระดับสี่ของขั้นมหาสมุทรนี่เอง” หนิงซิ่วไม่ยอมแพ้และยังเยาะเย้ยต่อ
“ถุย! ใกล้จะตายอยู่แล้วยังพูดพล่ามไร้สาระอยู่อีก?”
ซาจื้อจ้องมองด้วยความโกรธ ยกดาบขึ้นตัดเสื้อผ้าบนหลังของหนิงซิ่ว ทำให้นางทั้งอับอายทั้งโกรธแค้น
“อ๊ะ! แม่บ้านหนิง!”
“เ้าหัวขโมย กล้าดีอย่างไรมาดูถูกตระกูลเสวี่ยของเรา เ้า...หยุดนะ!”
การกระทำของซาจื้อ ทำให้นักรบหญิงใมาก
โดยปกติแล้วหนิงซิ่วก็ปฏิบัติต่อพวกนางดีไม่น้อย เมื่อเห็นนางถูกทำให้อับอายเช่นยามนี้ นักรบหญิงทุกคนก็โกรธจัดและอยากจะรีบไปช่วยเหลือ
ทว่าพวกนางยังต้องปกป้องเสวี่ยหรูเยียนที่อยู่ตรงกลาง พวกนางเองก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน
“อ๊ะๆ นี่ข้าใจดีมากแล้วนะ ถ้าไม่อยากเืตกยางออกก็ทำตัวรู้ความหน่อย ส่งสมบัติิญญาที่รวบรวมมาทั้งหมดมาเสียดีดี ฮ่าๆ!” ชายหนวดเฟิ้มตะคอกด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ในเวลาเดียวกัน เหล่าโจรม้าที่อยู่รอบตัวต่างขานรับเป็ท่อนๆ พูดคำลามกหยาบคายออกมาจากปากของพวกเขาหยามเหยียดอย่างยิ่ง
“แค่ก…” หนิงซิ่วกระอักเืออกมาเต็มปาก ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นกัดฟันและะโเสียงดัง “ทุกคน ฟังมันเสีย! มอบสมบัติิญญาทั้งหมดไป!”
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้นางไม่อาจเทียบได้ ทำได้เพียงประนีประนอม เพราะเมื่อเทียบกับสมบัติที่รวบรวมมา ความปลอดภัยของเสวี่ยหรูเยียนต่างหากที่สำคัญที่สุด
หลังจากได้ยิน นักรบหญิงต่างก็มองหน้ากันไปมา พวกนางทำได้เพียงเปิดเกวียนที่บรรทุกสมบัติิญญาให้พวกโจรม้าอย่างไม่เต็มใจ
“หัวหน้าซา ได้มาแค่สมบัติก็ดูจะเล็กน้อยไปหน่อยหรือเปล่า? เราจับพวกนางไปขายเป็ทาสดีหรือไม่?!”
“อย่างไรเสียเราก็ใช่ว่าจะอ่อนแอ ต่อให้ขุดหลุมฝังพวกนางไว้ที่นี่ ก็ไม่มีใครรู้เื่นี้”
เมื่อมองไปที่นักรบหญิงที่กำลังเปิดเกวียน จู่ๆ ชายวัยกลางคนสกุลเริ่นก็เสนอขึ้นมา
“โอ้?” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ซาจื้อก็คิดได้ทันที เขากลอกตาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านเริ่นฉลาดเสียจริง! เหตุใดข้าถึงคิดไม่ได้กันนะ?"
“ไอ้สารเลว! เ้าไม่กลัวตระกูลเสวี่ยจะมาแก้แค้นหรืออย่างไร? กล้าหาญเทียมฟ้านัก!”
ดวงตาของหนิงซิ่วแดงก่ำ แม้ว่านางจะถูกจับเป็ตัวประกัน แต่ก็ยังคงหันหน้าไปจ้องมองที่ซาจื้อและชายวัยกลางคน
ถึงจะต่อต้านยังไงก็พ่ายแพ้อยู่ดี ซาจื้อพลิกตัวลงจากม้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทำเพียงเตะต่อยหนิงซิ่วอย่างไร้ความเมตตา
“ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง หากไม่มีตระกูลเสวี่ย เ้าก็ไม่มีอะไรทั้งนั้น!” ซาจื้อกล่าวอย่างจริงจัง
ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นรถม้าที่งามที่สุด เขาลูบคางเบาๆ แล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย ก่อนจะะโว่า “คนในรถม้าที่หุ้มทองคำออกมานี่! มิฉะนั้น ข้าจะถอดเสื้อผ้าของนางหญิงแพศยานี่ให้เปลือยต่อหน้าทุกคนเสีย!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เหล่านักรบสาวก็ใ พวกนางหยุดสิ่งที่กำลังทำทันทีและรวมตัวกันที่หน้ารถม้าของเสวี่ยหรูเยียนอีกครั้งด้วยสีหน้าที่น่าเกรงขาม
หนิงซิ่วเองก็ตื่นตระหนก นางะโด้วยความโกรธ “ซาจื้อ! เ้าจะขายหรือจะฆ่าพวกเราก็ได้ แต่คนบนรถม้าเ้าไม่อาจแตะต้อง!"
“ถุย!” ซาจื้อถ่มน้ำลายใส่หลังของหนิงซิ่วที่เปื้อนเื และพูดอย่างเย่อหยิ่ง “เ้ายังไม่รู้สถานะของตัวเองในตอนนี้อีกหรือ?”
“ไอ้หยา! ถ้าคนข้างในไม่ออกมา ข้าจะเปลื้องผ้านางคนนี้แล้วนะ!” ซาจื้อโอหังอย่างยิ่ง เขาเตะหนิงซิ่วอย่างแรงแล้วหัวเราะออกมา
แม้ว่าพวกขโมยม้าพวกนี้จะปล้นพวกนางได้ แต่การได้กลั่นแกล้งผู้หญิงที่อ่อนแอเพราะตนเองแข็งแกร่งก็รู้สึกดีไม่น้อย
พวกเขารู้สึกว่าการได้รังแกผู้รากมากดีตระกูลดัง เป็ที่น่าพอใจยิ่งนัก
“หยุด! ปล่อยแม่บ้านหนิงซะ!”
แต่ในตอนนี้เอง มีเสียงะโดังมาจากรถม้าคันงาม ทำให้ทุกคนเงียบลงทันที
เสวี่ยหรูเยียนยกม่านรถม้าขึ้นแล้วเดินออกไปด้วยใบหน้าที่เ็า ก้าวของนางสั่นเทาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางเองก็ตื่นตระหนกมากเช่นกัน แต่นางแค่พยายามสงบสติอารมณ์ไว้
“ว้าว! นี่คือคนงามของตระกูลเสวี่ยหรือ?”
“รูปร่างหน้าตาหมดจดโดดเด่นจริงๆ! ว้าว~ ย่างก้าวที่สง่างามนี้ สูงส่งยิ่งนัก!”
เมื่อโจรขโมยม้าเห็นเสวี่ยหรูเยียน พวกเขาก็ผิวปากแซวล้อ
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เสวี่ยหรูเยียนก็กลืนน้ำลายเบาๆ บังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ ไม่สนใจนักรบหญิงที่ขวางทางอยู่และสาวเท้าไปข้างหน้าทีละก้าว
นางหายใจเข้าลึกๆ และพูดกับซาจื้อ “ข้าเสวี่ยหรูเยียน บุตรสาวคนเล็กของเสวี่ยจินหงจากตระกูลเสวี่ย! หาก้าให้ข้ามอบวัตถุิญญาทั้งหมดที่มีให้ก็ได้ หวังเพียงปล่อยเราไป!”
“ไม่เช่นนั้น... ข้าเกรงว่าไฟโทสะของตระกูลเสวี่ย เ้าจะรับไว้ไม่ไหว!"
หลังจากพูดจบ เสวี่ยหรูเยียนก็เคร่งขรึมขึ้น ปล่อยพลังเย็นเยือกออกมา ทำให้ซาจื้อขมวดคิ้วเล็กน้อยและรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“หึ นางหนูขู่พยัคฆ์ หัวหน้าซา ขอแค่จัดการเื่นี้ให้สะอาดเรียบร้อย ต่อให้นางแข็งแกร่งมากแล้วจะอย่างไร? อย่าไปกลัว” ชายวัยกลางคนสกุลเริ่นเยาะเย้ย
คำพูดนี้ทำให้ซาจื้อโล่งใจขึ้นมาทันที เขาเริ่มกลับมาโอหังดังเดิม
เขากวาดตามองเสวี่ยหรูเยียนหลายครั้งด้วยสายตาดุร้าย และพูดด้วยรอยยิ้มเหี้ยมโหด “ตระกูลเสวี่ยนี่ดีจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงงามหยดเช่นนี้มาก่อน! พากลับไปเป็ภรรยาหัวหน้าค่ายก็ไม่เลวนะ!”
“บังอาจ! เ้ากล้าแตะต้องนางหรือ?” หลังจากได้ยินเช่นนี้ หนิงซิ่วพยายามดิ้นรนอย่างหนักแต่ก็ไร้ประโยชน์ นางาเ็สาหัสแล้ว
“ป้าหนิง! ปล่อยให้เป็หน้าที่ของข้า!” น้ำเสียงของเสวี่ยหรูเยียนเยือกเย็น จากนั้นนางก็พูดกับชายหนวดเฟิ้มอย่างเ็าอีกครั้ง “ข้ารับรองในนามของชุยเสวี่ย ขอเพียงพวกเ้าปล่อยพวกเราไป ตระกูลชุยเสวี่ยจะเป็มิตรกับเ้า ข้าสัญญาว่าจะมีค่าตอบแทนให้เพิ่มเติม!”
หลังจากพูดจบ เสวี่ยหรูเยียนก็ปั้นหน้าเคร่งขรึม มีท่าทางสง่างามและเอาแต่ใจ
แต่คำสัญญาเหล่านี้ไม่มีผลมากนัก กลับทำให้พวกขโมยม้าเยาะเย้ยและจ้องมองนางอย่างมุ่งร้าย
และซาจื้อก็ตะคอกขึ้นมา “สัญญาหรือ? ปล่อยเ้าไปจะมีประโยชน์อะไรเล่า? สาวน้อย ออกมาเที่ยวก็ต้องพกสมองมาด้วยนะ! มีหญิงงามอย่างเ้าอยู่ตรงหน้า ข้ายอมไม่เอาวัตถุิญญาก็ได้!”
“น่าเบื่อ! ทุกคนบุกพร้อมกัน!”
ทันใดนั้น ซาจื้อก็ออกคำสั่งให้พวกขโมยม้าดำเนินการ และเขาก็รีบตรงไปหาเสวี่ยหรูเยียน!
“หรูเยียน!”
“คุณหนูเสวี่ย!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงซิ่วก็กรีดร้องอย่างน่าสงสาร นักรบหญิงเองก็กรีดร้องเช่นกัน แต่พวกนางต่างก็ไร้กำลัง แม้จะปกป้องตัวเองก็ยังทำไม่ได้ เพราะพวกขโมยม้าต่างรุมไปข้างหน้าด้วยแรงกดดันอย่างท่วมท้นและขวางทางไว้!
“เ้า... อย่าเข้ามานะ!” เมื่อมองไปที่ซาจื้อที่เข้ามาใกล้ทีละก้าว เสวี่ยหรุเยียนก็ตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ นางทรุดล้มลงกับพื้นเสียงดังปักและพยายามต่อต้าน แต่ฝ่ามือที่อ่อนแอเ่าั้ทำอะไรซาจื้อไม่ได้เลย
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องอันแหลมคมดังขึ้น
“ไปตายกันให้หมด”
แต่ใน่เวลาวิกฤตินี้ มีเสียงของชายหนุ่มดังก้องไปทั่วบริเวณ น้ำเสียงเ็าและเรียบนิ่งนั้นทำให้โจรขโมยม้าทุกคนสั่นสะท้าน
----------
[1] เป็คำอุปมาถึงความกล้าหาญและการทำสิ่งที่อันตรายมาก