“ว่ามา!” เงาร่างลึกลับนั้นปรายตามองผู้าุโคนนั้นแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเ็าเช่นเดิม
“ใต้เท้าเป็ใครมาจากไหน แล้วทำไมต้องเข้ามายุ่งเื่ของวังเทพโอสถ? ไม่ว่าจะพูดยังไง วังเทพโอสถก็เป็ถึงกองกำลังชั้นยอดของเมืองหลวงแห่งอาณาจักรจ้าว การที่ใต้เท้าตัดสินเื่ตำแหน่งของผู้าุโใหญ่เองเช่นนี้ จะไม่หยาบคายเกินไปหน่อยหรือ” แม้ผู้าุโคนนั้นจะกล่าวซักถาม แต่กลับถ่อมตัวไม่กล้ายั่วโมโหอีกฝ่าย
“เ้าก็รู้หรือว่าวังเทพโอสถเป็กองกำลังชั้นยอดแห่งอาณาจักรจ้าว? หากวังเทพโอสถถูกพวกเ้าทำลายชื่อเสียง เกรงว่าอีกไม่นานก็คงล่มสลาย” เงาร่างลึกลับคล้ายดูโมโห จากนั้นโบกมือไล่ผู้าุโคนนั้น พร้อมกล่าวว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่จำเป็ต้องพูดเื่นี้อีก เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
ผู้าุโคนนั้นได้ยินก็เผยสีหน้าไม่สู้ดี แต่จู่ ๆ เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ พร้อมสีหน้าดูตื่นเต้น ก่อนพูดต่อไปว่า “ใต้เท้าดูเหมือนจะเป็ห่วงวังเทพโอสถมาก หรือใต้เท้าจะเป็หนึ่งในสี่ผู้ทำพิธีที่ติดตามเฒ่าประมุขมาหลายปี?”
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์แห่งวังเทพโอสถได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักนิ่ง ในวังเทพโอสถมีผู้ทำพิธีที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
“ในเมื่อเ้ารู้แล้ว ยังไม่รีบถอยออกไปอีก!” เงาร่างนั้นกล่าวเสียงเย็น
เมื่อฟู่หยางได้ยินเช่นนั้นก็เผยสีหน้าย่ำแย่ แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาทำทุกวิถีทางมาหลายปีเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หวังว่าสักวันจะได้ขึ้นครองตำแหน่งประมุข แต่ความพยายามของเขาทั้งหมดกลับต้องพังทลายเพราะการปรากฏตัวของผู้ทำพิธีคนนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงตำแหน่งประมุข เพียงคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็ไม่สามารถรักษาตำแหน่งผู้าุโใหญ่ไว้ได้ รู้สึกเกลียดยิ่งนัก เกลียดทุกคนที่ตั้งตัวเป็ศัตรูกับเขา ความเกลียดชังนี้ลึกเข้ากระดูกดำ โดยเฉพาะความเกลียดชังที่มีต่อเย่เฟิง มันมีมากจนมิอาจอธิบายออกมาเป็คำพูดได้
“ขอรับ!” ผู้าุโคนนั้นตัวสั่นเทา จากนั้นโค้งคำนับเล็กน้อยด้วยความเกรงใจยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ไม่กล้าไม่เชื่อฟังแม้แต่นิดเดียว
“เื่ภายในวังเทพโอสถ ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องก็เชิญแยกย้ายกันไปได้แล้ว” เงาร่างนั้นกล่าวขณะมองผู้คนที่ออกมาจากแดนลับ ทำให้ทุกคนตะลึงค้างทั้งที่ยังไม่หายใจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ แต่ด้วยสถานะของอีกฝ่าย เมื่อได้ยินคำสั่ง พวกเขาก็ย่อมต้องทำตาม ผ่านไปสักพักทุกคนก็ลงจากยอดเขาเทพโอสถ
นี่จ้านเทียน จงเทา และอี้ชิงก็อยู่ในกลุ่มที่ออกไปเช่นกัน พวกเขามองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ ไม่นึกว่าในตอนที่ฟู่หยางใกล้จะฆ่าเย่เฟิงได้สำเร็จ กลับมีผู้แข็งแกร่งออกโรงปกป้อง ช่างดวงแข็งยิ่งนัก
เย่เฟิงและนักดาบแขนเดียวก็คิดจะออกไปเช่นกัน ถึงอย่างไรเขาทั้งสองก็ไม่ใช่คนของวังเทพโอสถ
“ให้สหายเ้าไปก่อน ส่วนตัวเ้ายังไม่ต้องไป” เย่เฟิงกำลังยกเท้าจะก้าวเดิน กลับได้ยินเสียงของผู้ทำพิธีคนนั้น ทำให้เย่เฟิงหยุดชะงัก จากนั้นพยักหน้าให้นักดาบแขนเดียว เป็การส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายล่วงหน้าไปก่อน ในเมื่อผู้ทำพิธีคนนี้ช่วยเขาให้รอดจากเงื้อมมือของฟู่หยาง เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่มีเจตนาร้ายอย่างแน่นอน
ครู่ต่อมา คนภายนอกออกไปจากยอดเขาเทพโอสถจนหมดเกลี้ยง หลงเหลือเพียงศิษย์วังเทพโอสถ
ผู้ทำพิธีคนนั้นมองไปที่เย่เฟิงและสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มพึงพอใจ “ขั้นรวมชี่ที่ 1 พื้นฐานแน่น เ้าสามารถคว้านวมรดกของวังเทพโอสถข้าไปครองได้ก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา”
คำพูดของผู้ทำพิธีดังก้องไปทั่วพื้นที่ นาทีนี้ทุกคนต่างมองไปที่เย่เฟิงเป็ตาเดียว ในคำพูดของผู้ทำพิธีคนนี้ดูเหมือนจะแฝงความหมายลึกซึ้งไว้
เย่เฟิงก็มองอีกฝ่ายโดยไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไรถึงได้เอ่ยชมเช่นนั้น
“เ้ายินดีเข้าร่วมวังเทพโอสถข้าหรือไม่ เพื่อที่ในอนาคตจะได้สืบทอดตำแหน่งประมุข?” จู่ ๆ ผู้ทำพิธีคนนั้นพูดโพล่งออกมา ประโยคนี้ทำให้ทุกคนต่างใจเต้นระรัว
แม้แต่เย่เฟิงเองก็ยังใและรู้สึกเกินคาดมาก จากนั้นโค้งคำนับผู้ทำพิธีคนนั้น ก่อนกล่าวว่า “ผู้เยาว์เป็คนธรรมดา จะรับตำแหน่งประมุขวังเทพโอสถได้อย่างไร?”
เย่เฟิงไม่ใช่คนโง่เขลา ย่อมรู้ฐานะของตนดี แม้มีพร์ แต่ก็เพิ่งบรรลุขั้นรวมชี่ แล้วจะมีอะไรพิเศษได้อย่างไร ดังนั้นฟู่หยางจึงลงมือฆ่าเขาอย่างไม่มีความลังเลใด ๆ คนประเภทนี้จะได้รับความสำคัญจากวังเทพโอสถและสืบทอดตำแหน่งประมุขได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้นในสายตาของเย่เฟิง อำนาจและฐานะทุกอย่างเป็เพียงของนอกกาย มีเพียงจุดสูงสุดของเส้นทางแห่งการบ่มเพาะจึงจะเป็เป้าหมายสูงสุดของเย่เฟิง
“เมื่อผู้สืบทอดนวมรดกบ่มเพาะพลังถึงระดับหนึ่งจะต้องรับตำแหน่งประมุขวังเทพโอสถ แน่นอนว่าเ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น” ผู้ทำพิธีคนนั้นได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็ยิ้มจาง ๆ
“แต่ว่า...” เย่เฟิงอยากพูดบางอย่าง แต่กลับถูกผู้ทำพิธีพูดตัดบทเสียก่อน
“เ้าหนูไม่ต้องพูดแล้ว เฒ่าประมุขใช้พลังเฮือกสุดท้ายเพื่อเลือกผู้สืบทอดที่โดดเด่นที่สุด ซึ่งประจวบเหมาะกับที่เ้าปรากฏตัว ทั้งหมดนี้เป็บัญชา์ เ้ายังสามารถทำในสิ่งที่เ้าชอบทำได้ตามเดิม วังเทพโอสถจะไม่จำกัดเสรีภาพของเ้า เมื่อเ้าบรรลุขั้นยุทธ์แท้ก็คือเวลาที่เ้าจะต้องรับตำแหน่งประมุขวังเทพโอสถ” ผู้ทำพิธีกล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเขาหันไปมองเซี่ยชิงซานที่อยู่ใกล้ ๆ แล้วกล่าวว่า “เ้ารับตำแหน่งผู้าุโใหญ่ของวังเทพโอสถไปก่อนเป็การชั่วคราว หลังจากผู้สืบทอดนวมรดกรับตำแหน่งประมุข เ้าต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่ หากคิดทรยศ ข้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่!”
“น้อมรับคำสั่ง!” เซี่ยชิงซานได้ยินเช่นนั้นก็ตัวสั่นสะท้าน แต่ยังคงตอบรับคำสั่ง นึกไม่ถึงว่าเขาและฟู่หยางที่แย่งชิงตำแหน่งประมุขมาตลอดหลายสิบปี สุดท้ายแล้วจะตกเป็ของชายหนุ่มผู้ที่ถูกทุกคนเมิน ทุกอย่างช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก หากเขาไม่เจอกับตัวเองก็ไม่มีทางเชื่อว่าทุกอย่างนี้เป็ความจริง
แต่์ลิขิตมาเช่นนี้ เขาเซี่ยชิงซานก็ไม่มีคำโต้แย้งใด ๆ และจะช่วยเหลือเย่เฟิงอย่างสุดกำลัง ขณะเดียวกันเซี่ยชิงซานไม่ลืมเหลือบไปมองฟู่หยางที่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อเห็นสีหน้าสิ้นหวังของอีกฝ่าย เขาก็อดเหยียดยิ้มไม่ได้ เมื่อเทียบกับฟู่หยาง ผลลัพธ์ของเขาถือว่าจบอย่างสวยงาม นี่ทำให้เซี่ยชิงซานแอบดีใจที่เขาไม่คิดจะทำร้ายเย่เฟิง
“พวกเ้าคงได้ยินชัดเจนแล้วนะ นับจากนี้ไปผู้สืบทอดนวมรดกก็เหมือนประมุข หากคนใดไม่เคารพผู้สืบทอดนวมรดก ก็เท่ากับทรยศต่อวังและจะต้องถูกลงทัณฑ์ พวกเ้าเข้าใจหรือไม่?”
หลังจากผู้ทำพิธีสั่งเซี่ยชิงซานเสร็จ เขาก็กวาดตามองทุกคนในวังเทพโอสถ แล้วกล่าวด้วยเสียงดุดันเช่นนั้น
“ทรยศต่อวัง!”
“รับทราบ!” ทุกคนต่างตาแข็งทื่อ แต่มีคนหนึ่งเอ่ยตอบก่อน คนอื่น ๆ จึงส่งเสียงตอบรับ พวกเขาย่อมทราบดีว่าทรยศต่อวังเป็ความผิดอันใหญ่หลวง ผู้ทรยศจะต้องถูกผู้คุมกฎปะาชีวิต
สิ่งที่ผู้ทำพิธีพูดมาเมื่อสักครู่ ตีความได้ว่าหากผู้ใดล่วงเกินเย่เฟิงก็เท่ากับทรยศต่อวัง แม้แต่อดีตประมุขยังไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน เห็นชัดว่าผู้ทำพิธีคนนี้เห็นเย่เฟิงเป็คนสำคัญมากเพียงใด
“ทำได้เพียงเคารพคนผู้นี้ แต่มิอาจล่วงเกินได้”
หลังจากได้ยินคำพูดของผู้ทำพิธี พลันมีความคิดหลากหลายผุดขึ้นในหัวของเหล่าผู้คน และเริ่มให้ความสนใจเย่เฟิง
“เอาล่ะ เฒ่าประมุขมรณภาพ พวกเ้าควรจัดการศพให้เรียบร้อย ไปกันได้แล้ว!”
เมื่อเห็นทุกคนเริ่มกลับมาเป็ปกติ ผู้ทำพิธีก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น เพื่อส่งสัญญาณให้ทุกคนในวังเทพโอสถเตรียมตัวจัดงานศพของเฒ่าประมุข
ทุกคนรับคำสั่งพร้อมทยอยออกไปจากที่นี่ แต่ในใจใช้เวลานานมากกว่าจะสงบนิ่งลงได้
เฒ่าประมุขเปิดแดนลับยอดเขาเทพโอสถในตอนใกล้สิ้นอายุขัย ทั้งยังใช้พลังเฮือกสุดท้ายเรียกนวมรดกออกมา เย่เฟิงใช้พลังตนฝ่าวงล้อมนี่จ้านเทียน ฟู่เจิน จงเทา อี้ชิง และผู้ฝึกยุทธ์อีกหลายคน จนกระทั่งคว้านวมรดกมาครองได้สำเร็จ ต่อมากองกำลังของฟู่หยางและเซี่ยชิงซานเปิดศึกชิงตำแหน่งประมุข ฝ่ายฟู่หยางจึงหมายหัวเย่เฟิง ทั้งยังเปิดศึกกับฝ่ายเซี่ยชิงซาน สุดท้ายแล้วฝ่ายฟู่หยางเป็ผู้ชนะ ทว่าในตอนที่ฟู่หยางพยายามลอบสังหารเย่เฟิง ผู้ทำพิธีแห่งวังเทพโอสถปรากฏตัวอย่างฉับพลัน ก่อนจะใช้พลังที่น่าสะพรึงกลัวกำราบฟู่หยาง จนกระทั่งสยบทุกคนและไม่มีใครกล้าเหิมเกริม
นอกจากนี้ผู้ทำพิธียังกล่าวว่า ‘ผู้สืบทอดนวมรดกไม่ใช่คนที่เขาฟู่หยางจะล่วงเกินได้’ ทั้งยังให้เย่เฟิงรับตำแหน่งประมุขวังเทพโอสถ ออกคำสั่งให้เซี่ยชิงซานรับหน้าที่เป็ผู้าุโใหญ่แห่งวังเทพโอสถและช่วยเหลือเย่เฟิงอย่างสุดกำลัง หากใครก็ตามมีเจตนาไม่ดีหรือไม่เคารพเย่เฟิง ก็เท่ากับว่าคนผู้นั้นทรยศต่อวัง
โลกแห่งการบ่มเพาะ ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ทำพิธีคนนี้มีพลังแก่กล้า ดังนั้นวาจาของเขาจึงเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างได้หมด และทุกคนล้วนยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
ตอนนี้บนยอดเขาเทพโอสถเหลือเพียงเย่เฟิง ผู้ทำพิธีคนนั้น เซี่ยชิงซาน เซี่ยจวิ้นหลง ฟู่หยาง ฟู่เจิน ฟู่หยิง และสมาชิกาุโบางส่วน
ดวงตาของฟู่หยางว่างเปล่า ความพยายามสิบกว่าปีของเขามลายหายสิ้น แต่ถึงเขาจะไม่เต็มใจ ตอนนี้เขาก็ไร้กำลังต้านลิขิต์
แม้ฟู่เจินจะถูกเปลวไฟของเย่เฟิงเผาจนหมดสภาพ แต่ยังมีสติครบถ้วน เขารู้ว่าเย่เฟิงเป็คนที่เฉิดฉายมากที่สุดในวังเทพโอสถ เขาจึงแอบเกลียดตัวเองว่าทำไมตอนนั้นเขาถึงแพ้เย่เฟิง หากผู้ที่ได้รับนวมรดกเป็เขา สถานการณ์ในเวลานี้จะต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแน่นอน คนที่ต่อต้านเขาและบิดาเขาต้องถูกเขาเหยียบย่ำจมดิน ทว่าตอนนี้ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว
ฟู่หยิงกะพริบตาถี่ขณะมองเงาร่างหล่อเ่าั้ ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน ชายหนุ่มผู้ถูกนางเมินใส่ บัดนี้มีตำแหน่งในวังเทพโอสถเหนือกว่าบิดาของตน ทุกอย่างดูเหมือนเป็ความฝัน แต่กลับเป็เื่จริงที่ต้องยอมรับ
จนกระทั่งความวุ่นวายที่เกิดจากการมรณภาพของเฒ่าประมุขก็ได้จบลงเพียงเท่านี้
เย่เฟิง ชายหนุ่มผู้เคยอยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาและถูกผู้คนเหยียดหยาม ทว่าเขากลับสังหารผู้คนที่ลอบโจมตีเขาในแดนลับจนเกลี้ยง กำราบคู่ต่อสู้ ชิงนวมรดกจนได้เป็ว่าที่ประมุขวังเทพโอสถ ยังมีเื่ราวอะไรที่น่าใไปกว่านี้หรือไม่?