ตรงประตูโลกมิติลับ ผู้ประลองของสามสำนักยังคงรอคอยอยู่เงียบๆ
น่าเสียดายที่หลายวันต่อจากนั้น ไม่มีผู้รอดชีวิตเดินทางมาถึงอีก
ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนที่การประลองของโลกมายามรกตจะสิ้นสุดลง ตามหลักแล้ว ผู้ที่สามารถตามมาได้น่าจะมาถึงกันหมดแล้ว
แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดออกมาอย่างแน่ชัด ทว่าในใจล้วนรู้สึกว่าพวกที่ตามมาไม่ทัน เกรงว่าคงตายอนาถด้วยน้ำมือของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตไปนานแล้ว
่เวลานี้ เนี่ยเทียนเองก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์วิเศษในปริมาณที่มากพอให้การฝึกตบะของเขาเพิ่มความเร็วได้
เนื้อสัตว์วิเศษที่เขาได้กินในทุกวันมีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนอย่างที่เคยกินก่อนหน้านี้ ตอนนี้แม้แต่การกินให้อิ่มอย่างปกติเขาก็ยังทำไม่ได้
“ต้องโทษเ้าเนี่ยเทียนผู้นั้นนั่นแหละ หากไม่เป็เพราะเขากินจุเกินไป ทุกคนก็ไม่ต้องกินอย่างจำกัดจำเขี่ยแบบนี้” หันซินแห่งอารามเสวียนอู้กินเนื้อสัตว์วิเศษคำเล็กๆ มองไปทางเนี่ยเทียนด้วยความชิงชัง
คนอื่นๆ ของอารามเสวียนอู้ที่กำลังย่างเนื้อสัตว์วิเศษต่างก็ถลึงตามองเนี่ยเทียนอย่างโกรธเคืองเช่นกัน
เนี่ยเทียนที่อยู่กับพวกพันเทา เจียงหลิงจู แสร้งเอาหูทวนลมกับคำบ่นว่าที่มาจากฝั่งนั้น
เนื้อสัตว์วิเศษที่อารามเสวียนอู้พกมา เดิมทีมีมากพอให้พวกเขาอยู่ได้ถึงวันที่ประตูของโลกลับเปิดออก ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เนี่ยเทียนขอเนื้อสัตว์วิเศษ เจิ้งปินจึงไม่ได้ขี้เหนียวเก็บเอาไว้ ล้วนทำตามความ้าของเขาทุกครั้ง
ทว่าภายหลังเมื่อเจียงหลิงจู เนี่ยเสียนมาถึง อีกทั้งอันอิ่งของหอหลิงเป่าก็ปรากฏตัวด้วย จึงทำให้อาหารการกินขาดแคลนทันที
เนื่องจากพวกเจิ้งปินไม่ได้เจอกับสำนักภูตผีและสำนักโลหิต ระหว่างทางที่เดินทางกลับมามีแต่ความราบรื่น ดังนั้นจึงยังคงพกเอาเนื้อสัตว์วิเศษติดตัวมาได้มากเพียงพอ
เนื้อสัตว์วิเศษเ่าั้ เดิมทีสามารถพอให้พวกเขากินได้อย่างเต็มอิ่ม อีกทั้งยังเหลือเก็บไว้กินด้วย
พวกเจียงหลิงจูและอันอิ่ง เนื่องจากถูกสำนักภูตผีและสำนักโลหิตไล่ฆ่า จึงทำได้เพียงพกสิ่งของให้น้อยที่สุด ดังนั้นระหว่างทางจึงทิ้งเนื้อสัตว์วิเศษไปเป็จำนวนมาก
เจียงหลิงจูที่มีกำไลข้อมือเก็บของ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ที่มากพอ จึงไม่ได้เก็บสะสมอาหารเอาไว้มากมายนัก
อาหารที่พวกเขาพกมา ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่ก็ได้กินไปจนเกลี้ยงแล้ว
และสถานที่ใกล้เคียงกับประตูโลกลับก็ไม่มีสัตว์วิเศษมาเพ่นพ่าน เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักภูตผีและสำนักโลหิตลอบโจมตีกะทันหันได้ พวกเขาจึงไม่กล้าไปหาสัตว์วิเศษในพื้นที่ที่ห่างไกลเท่าไหร่นัก เลยทำได้เพียงขออาหารมาจากอารามเสวียนอู้เท่านั้น
ทว่าอารามเสวียนอู้ที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์มากที่สุด ่ก่อนหน้านี้กลับถูกเนี่ยเทียนคนเดียวกินเนื้อสัตว์วิเศษไปเป็จำนวนมาก
เมื่อพวกเขาพบว่าบนร่างของพวกเจียงหลิงจูและอันอิ่งที่มาถึงต่างก็ว่างเปล่า จึงทำได้เพียงเอาเนื้อสัตว์วิเศษที่ตัวเองเก็บไว้ออกมาแบ่งให้พวกเจียงหลิงจูและอันอิ่งกิน
ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนที่ประตูโลกลับจะเปิดออก แต่เห็นได้ชัดว่าเนื้อสัตว์วิเศษที่พวกเขามีอยู่นั้นเหลือไม่พออีกแล้ว
ด้วยความจนใจ ทุกคนจึงทำได้เพียงประหยัดอาหารการกินในทุกๆ วัน หวังว่าจะผ่านไปได้ถึงวันที่ประตูของโลกมายามรกตถูกเปิด
ทุกครั้งที่คนเ่าั้ของอารามเสวียนอู้หิวโหยขึ้นมา จึงคิดถึง “เ้าถังข้าว” อย่างเนี่ยเทียนเสมอ
และก็ด้วยเหตุนี้ พอถึงเวลาแบ่งอาหารกันเมื่อใด พวกเขาก็จะต้องถลึงตาใส่เนี่ยเทียนด้วยความขุ่นเคือง ด่าทอเสียงเบาๆ
เนี่ยเทียนรู้ว่าตัวเองมีความผิดจึงไม่ตอบโต้ ปล่อยให้พวกเขาบ่นว่าตามใจ แสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน
“โครกคราก”
เนี่ยเทียนที่เพิ่งกลืนเนื้อสัตว์ชิ้นเล็กลงท้อง ทว่าท้องของเขาก็ยังร้องประท้วงขึ้นมาอย่างไม่เอาไหน เขาจึงยิ้มเจื่อนแล้วลูบคลำหน้าท้องของตัวเอง กล่าวว่า “ต้องลำบากเ้าอีกสักพักหนึ่งนะ”
แม้แต่คนที่กินน้อยยังรู้สึกหิวโหย แล้วนับประสาอะไรกับเขาเล่า?
“อ่ะ ให้เ้า!” และเวลานี้เอง เจียงเหมียวที่อยู่ข้างกายเนี่ยเทียนยื่นเนื้อสัตว์วิเศษชิ้นหนึ่งของนางมาให้เขา “ข้ากินน้อย ไม่หิวเลยสักนิดเดียว ชิ้นนี้ข้าให้เ้ากินก็แล้วกัน” เจียงเหมียวพูดเบาๆ
“คิกๆ!” เจียงหลิงจูหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำเสียงประหลาด
อันอิ่งหันมามองหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไร ยังคงก้มหน้าก้มตากินอาหารของตัวเองต่อไป
ส่วนพันเทาก็หัวเราะหึๆ
เจียงเหมียวหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ไม่กล้ามองเนี่ยเทียน
เนี่ยเทียนตะลึงไปครู่หนึ่ง มองเจียงเหมียวด้วยสายตาสงสัยเล็กน้อย จากนั้นจึงสังเกตเห็นว่าใบหน้าตุ๊กตาของเจียงเหมียวซูบตอบลงไปกว่าครั้งก่อนที่เจอกันอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบใจ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้หิวเท่าไหร่หรอก” เนี่ยเทียนไม่ได้รับเนื้อชิ้นนั้นมา แต่ลุกพรวดขึ้นยืน กล่าวว่า “ข้าจะไปเดินดูใกล้ๆ นี้สักหน่อย ดูสิว่าจะหาของกินได้หรือไม่”
“อย่าไปนะ! มันอันตรายเกินไป!” เจียงเหมียวรีบพูด
“เนี่ยเทียน อย่าออกจากกลุ่มเลย” เนี่ยเสียนที่อยู่ไกลไปอีกนิดสีหน้าจริงจัง “คนของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตอาจจะมาได้ทุกเมื่อ หากเ้าไปเจอพวกเขาโดยไม่ทันระวัง เกรงว่าคงยากที่จะได้กลับมาอีก”
“ไม่เป็อะไร ข้าจะไปเดินใกล้ๆ แค่นี้เอง มีเหตุอะไรข้าจะรีบกลับมาทันที” เนี่ยเทียนแสดงจุดยืน
“ข้าก็รู้สึกเบื่อๆ เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นไปกับเ้าก็แล้วกัน” พันเทาลุกขึ้น
“ข้าก็อยู่ว่างๆ อยากจะไปออกยืดเส้นยืดสายรอบๆ นี้สักหน่อย” เจียงหลิงจูเองก็ลุกขึ้นยืนพร้อมเสียงหัวเราะคิกคัก
เจิ้งปินแห่งอารามเสวียนอู้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของพวกเขาทางฝั่งนี้ จึงเดินเข้ามาหา เอ่ยถามสถานการณ์
หลังจากรู้สาเหตุที่แน่ชัดแล้ว เจิ้งปินก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยกับเจียงหลิงจูว่า “ใครก็ไม่รู้ว่าคนของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตจะปรากฏตัวขึ้นตอนไหน แล้วจะมีกี่คน หากพวกเ้าไปกันหมด พลังในการต่อสู้ของพวกเราจะไม่เพียงพออย่างมาก หากสำนักภูตผีและสำนักโลหิตตามมาถึงพอดี เกรงว่า...พวกเราคงเอาไม่อยู่”
“ก็ได้ๆ” เจียงหลิงจูนั่งลงด้วยความจนใจ
นางรู้ว่าความกังวลของเจิ้งปินไม่ไร้เหตุผล เวลานี้หากออกไปจากคนกลุ่มใหญ่ ถือว่าอันตรายเกินไปสำหรับทั้งนางและเจิ้งปิน เพื่อคนส่วนใหญ่แล้ว ทางที่ดีที่สุดนางจึงไม่ควรบุ่มบ่าม
“แล้วพวกเราเล่า?” พันเทามีสีหน้าไม่สบอารมณ์เล็กน้อย รู้สึกว่าเจิ้งปินยุ่งวุ่นวายมากเกินไป
เจิ้งปินมองเขาด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง แล้วก็หันไปมองเนี่ยเทียน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้กล่าวว่า “ถ้าแค่พวกเ้าสองคน... ข้าไม่มีความเห็น”
“เ้ารู้สึกว่าพวกเราสองคนไม่สำคัญอย่างนั้นหรือ?” พันเทาแค่นเสียงเย็น
“ข้าไม่อยากจะเถียงกับเ้า แต่ข้าหวังว่าพวกเ้าจะฟังคำของข้าสักคำ ทางที่ดีที่สุดคือไม่ต้องจากไป นี่ถือเป็การดีกับทุกคน” เจิ้งปินกล่าว
“คนอย่างข้าไม่ชอบฟังคำคนอื่นมากที่สุด!” พันเทาสะบัดหน้าได้ก็เดินจากไป
เนี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ แล้วจึงตามไปติดๆ
......
อีกฝั่งหนึ่ง
คนของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตเจ็ดคนที่มีอวี๋ถงและโม่ซีเป็หัวหน้าถือเข็มทิศโลหิตเอาไว้ ยืนอยู่ท่ามกลางกองกระดูกแห่งหนึ่ง
“สิบหกคน พวกเราอยู่ห่างแค่หนึ่งลี้เท่านั้น” อวี๋ถงเก็บเข็มทิศโลหิตลงไป คิ้วงามขมวดเข้าหากัน กล่าวว่า “คนเ่าั้ที่หนีพ้นไปจากน้ำมือของเ้าและข้าได้ น่าจะไปรวมตัวกับอารามเสวียนอู้แล้ว ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน ประตูโลกลับที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ถึงจะเปิดออกอีกครั้ง เวลาของพวกเราเหลือไม่มากแล้ว”
“สิบหกคนรึ?” โม่ซีแสยะยิ้ม “คราวก่อนตอนที่พวกเราฆ่าพวกมันในทะเลทรายร้าง จำนวนคนของพวกเขายังเยอะกว่านี้ ก็ไม่ใช่ว่าถูกไล่ฆ่าจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนหรอกหรือ? อวี๋ถง เ้าลังเลอะไรอยู่? เ้าฝ่าทะลุขอบเขตท้าย์แล้ว พวกเขาคนใดจะต่อกรกับเ้าได้อีก?”
“มีอยู่คนหนึ่ง...”
ประโยคนี้อวี๋ถงไม่ได้พูดออกมาให้โม่ซีฟัง แต่ะโดังอยู่แค่ในใจของตัวเอง
“พวกเรามีกันเจ็ดคน พวกเขามีสิบหกคน จำนวนคนเสียเปรียบกันมากเกินไป อย่างไรก็กันไว้ก่อนดีกว่า...” อวี๋ถงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แสงสีเืในดวงตากะพริบวาบ “ข้าจะร่ายตาข่ายปฐี!”
“ตาข่ายปฐี!”
โม่ซีและคนของสำนักโลหิตร้องอุทานพร้อมกัน มองนางด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ
“ตาข่ายปฐีเวทต้องห้ามของสำนักโลหิตเ้า อย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นกลาง์ถึงจะสามารถร่ายออกมาได้! ต่อให้มีตบะของกลาง์ หลังจากร่ายเวทตาข่ายปฐีออกมาแล้วก็ยังต้องสูญเสียพลังชีวิตไปเยอะไม่น้อย!” โม่ซีสีหน้าเคร่งเครียด กล่าว “เ้าเพิ่งจะเหยียบย่างสู่ท้าย์เท่านั้น เ้าทำไม่ได้หรอก อย่าฝืนตัวเองเลย!”
“อาศัยไข่มุกโลหิต ข้าสามารถร่ายมันออกมาได้” น้ำเสียงของอวี๋ถงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว นางหยิบเอาไข่มุกโลหิตที่เนี่ยเทียนเคยเห็นมาก่อนเม็ดนั้นออกมาจากในกำไลเก็บของ
“เนี่ยเทียน!” นางตวาดเสียงเย็นอยู่ในใจ
“ศิษย์พี่หญิง ต่อให้มีไข่มุกโลหิต หลังจากร่ายตาข่ายปฐีออกมาแล้ว เ้าก็ยังต้องถูกพลังตีกลับอยู่ดี” เด็กหนุ่มคนหนึ่งของสำนักโลหิตเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“อวี๋ถง เมื่อเทียบกับการประลองในโลกมายามรกตครั้งนี้ เ้าสำคัญกับสำนักโลหิตมากยิ่งกว่า ข้าว่าเ้าเองก็น่าจะเข้าใจในข้อนี้” ใบหน้าโม่ซีมืดคล้ำ “ข้าเคยร่วมมือกับเ้ามาก่อน รู้ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเ้าตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเสมอ ไม่เคยฝืนทำเื่ที่ตัวเองทำไม่ได้ เ้าน่าจะรู้ดี หากสำนักโลหิตรู้ว่าเพื่อฆ่าคนเ่าั้ เ้าถึงกับฝืนร่ายตาข่ายปฐีจนตัวเองาเ็ คงจะกลับมาเป็ฝ่ายลงโทษเ้าเองกระมัง?”
“เกิดเื่อะไรขึ้นกับเ้า? ในบรรดาคนเ่าั้ ใครกันแน่ที่ทำให้เ้าโกรธ? จนเ้ากลายมาเป็คนไร้เหตุผลและสติปัญญาเช่นนี้?”
“ข้าคิดจะทำอะไร เ้าไม่มีสิทธิ์มาเ้ากี้เ้าการ!” อวี๋ถงตวาด
พูดจบนางก็ไม่เปิดโอกาสให้โม่ซีและลูกศิษย์คนอื่นของสำนักโลหิตเกลี้ยกล่อมได้อีก พอแตะลงไปบนข้อมือ ถังเืมากมายก็บินออกมา
หลังจากถังเืเ่าั้พุ่งออกมาจากกำไลเก็บของของนาง ก็ราดรดลงบนพื้นดินที่นางยืนอยู่ทันที
กลิ่นคาวเืเข้มข้นพลันแผ่ออกมาจากข้างกายนาง ส่วนบนร่างของนางก็มีปราณเืสีแดงเดือดพล่าน
เืจากถังในแต่ละถังเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของไข่มุกโลหิตจึงแทรกซึมเข้าไปยังใต้ดิน ยืดแผ่ขยายออกไปยังพื้นที่ที่เจิ้งปินอยู่ดุจดั่งเส้นเอ็นและเส้นชีพจรในร่างกายของมนุษย์