ที่จวนของผิงชิงเสีย เสียงถ้วยชาที่แตกกระจายดังลั่นออกมาจากห้องนอน หญิงสาวกำลังคลุ้มคลั่ง ใบหน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธที่ยากจะเก็บซ่อน
"เป็ไปได้อย่างไร! ไหนองค์ชายบอกข้าว่าเกลียดมันมาก แต่ทำไมถึงมีข่าวว่าองค์ชายเร่งรัดการแต่งงานให้เร็วขึ้นกว่าเดิม!"
"คุณหนูใจเย็นลงก่อนเถอะเ้าค่ะ องค์ชายสามคงจะมีเหตุผลอื่นแน่นอน ใครๆ ก็รู้ว่าองค์ชายสามเอ็นดูคุณหนูของบ่าวมากกว่าใครอยู่แล้ว" บ่าวรับใช้รีบกล่าวปลอบนายของตน พยายามทำให้นางสงบลง
"เอ็นดูกับรักมันไม่เหมือนกัน!" ผิงชิงเสียะโออกมาอย่างขมขื่น
"องค์ชายสามดีกับข้าก็เพราะเห็นข้าเป็เหมือนน้องสาว ไม่ได้เห็นข้าเป็คนรัก หากไม่ใช่เพราะบุญคุณของท่านพ่อที่เสียไปคิดหรือว่าเขาจะชายตามองคนเช่นข้า!"
นับั้แ่แม่ทัพผู้เกรียงไกรจากไปใน่ที่นางยังเยาว์วัย และพี่ชายคนเดียวของนางต้องเดินทางไปรับหน้าที่ประจำการที่ชายแดนอันห่างไกล องค์ชายสามหวังกู้หย่งผู้มีจิตใจเมตตาและอ่อนโยน ได้ยื่นมือเข้ามาดูแลและปกป้องนางด้วยความเอ็นดูเสมอมา ความอบอุ่นและความห่วงใยของเขาเป็ดังร่มเงาที่ช่วยพยุงนางให้ก้าวผ่าน่เวลาที่ยากลำบากในวัยเด็ก...
สำหรับเขาแล้วนางคงเป็เพียงน้องสาวที่เขา้าทะนุถนอมและปกป้อง ทว่าในส่วนลึกของหัวใจนางไม่ปรารถนาเพียงแค่ความเมตตา ผิงชิงเสียกลับโหยหาความรักและความใกล้ชิดที่ลึกซึ้งกว่านั้น ความรู้สึกที่หวังกู้หย่งไม่เคยคิดจะแบ่งปันให้กับนาง และสิ่งที่นางเฝ้าฝันก็เป็เพียงภาพลวงตาที่ไม่มีวันเป็จริง...
เมื่อรู้ว่าองค์ชายสามเร่งงานแต่งงานกับจางเหม่ยอิง ความรู้สึกเ็ปและโดดเดี่ยวถาโถมเข้ามา ราวกับว่าโลกทั้งใบของนางกำลังพังทลายลงอีกครั้ง หวังกู้หย่งเป็ความหวังเดียวที่หลงเหลืออยู่ในชีวิตของนางั้แ่สูญเสียบิดาไป แต่บัดนี้ความหวังนั้นกลับดูไกลออกไปเรื่อย ๆ
“บอกข้าทีว่าข้าควรทำอย่างไร ข้าไม่อยากสูญเสียเขาไปให้กับใคร!”
ณ จวนของเสนาบดีจาง
“อิงเอ๋อร์ลูกแม่ วันนี้ลูกจะต้องเข้าวังเพื่อเตรียมงานแต่งงาน แม่คงตามไปช่วยเหลือเ้าไม่ได้แต่ไม่ต้องห่วงนะ หงเอ๋อร์จะติดตามเ้าไป เอ่อ หากองค์ชายรังแกเ้า...”
“ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงหรอกนะเ้าคะ เขาทำอะไรลูกไม่ได้หรอกนอกจากพูดจาเสียดแทง เสียงข้าเป่าขลุ่ยเพี้ยนยังน่าฟังกว่าเสียงของเขาอีก” จางเหม่ยอิงพยายามพูดติดตลกเพื่อไม่ให้มารดาของร่างเดิมไม่สบายใจ
“เด็กโง่ ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปสายกันพอดี หงเอ๋อร์ ข้าฝากลูกสาวข้าด้วย” ฮูหยินจางหันไปสั่งสาวใช้
“เ้าค่ะ ฮูหยิน บ่าวจะดูแลคุณหนูเหม่ยอิงเป็อย่างดี”
วันนี้จางเหม่ยอิงถูกวังหลวงเรียกตัวให้มาเลือกเครื่องประดับและลองสวมอาภรณ์สำหรับพิธีแต่งงานที่จะมีภายในหนึ่งเดือนข้างหน้า
“คุณหนูในชุดเ้าสาวช่างงดงามเสียจริง ถ้าองค์ชายสามได้มาเห็นอาจจะเปลี่ยนใจและหันมารักท่านก็เป็ได้นะเ้าคะ” หงเอ๋อร์เอ่ยปากชมความงดงามของจางเหม่ยอิงไม่หยุดหย่อน ก็คุณหนูของนางเป็ถึงสตรีงามอันดับต้นของเมือง
“หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ระวังคำพูดของเ้าด้วย หงเอ๋อร์ และอีกอย่างเขาจะคิดอย่างไรกับข้าก็หาได้สนใจไม่ ต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องกระทำ เ้าเองก็เช่นกัน”
“เ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว...”
จางเหม่ยอิงยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลืองกำลังเลือกเครื่องประดับสำหรับพิธีแต่งงาน ใบหน้าของนางช่างสงบนิ่งไม่ได้มีความยินดียินร้ายใดๆ
หญิงสาวได้แต่แอบคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้ช่างไร้ความหมายเสียจริงเมื่อมันไม่มีแม้แต่ความจริงใจจากผู้ที่จะมาเป็คู่ชีวิตของนาง
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท่าหนักก้าวเข้ามาในห้อง จางเหม่ยอิงเหลือบตามองผ่านกระจกก็พบว่าเป็หวังกู้หย่งที่เดินเข้ามา เขายืนกอดอก ดวงตาของเขายังคงดูเ็าไม่เปลี่ยน
เขากวาดตามองนางครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่เอ่ยคำใด ราวกับว่ามีบางสิ่งที่เขาอยากจะพูดออกมาแต่กลับเลือกที่เก็บเอาไว้ภายในใจ
จางเหม่ยอิงหันกลับมามองหวังกู้หย่งด้วยสายตาที่นิ่งเรียบขณะที่นางบรรจงเลือกต่างหูอันหนึ่งขึ้นมา
“ข้าแปลกใจนักที่องค์ชายเป็ฝ่ายเร่งพิธีแต่งงานให้เร็วขึ้นเช่นนี้ เหตุใดกันถึงรีบร้อนนัก? หรือว่าท่านจะเปลี่ยนใจจากชิงเอ๋อร์มาหลงรักข้า?”
หวังกู้หย่งสบตานางด้วยแววตาที่นิ่งสงบและเ็าราวกับผืนน้ำที่ไร้คลื่นแต่ลึกลงไปในแววตานั้นกลับมีประกายแสงบางอย่างวาบผ่านชั่วครู่ ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไม่เคยมีมันอยู่แต่อย่างใด
“เหลวไหล! ใครบอกเ้าว่าเป็ข้าที่เร่งพิธีแต่งงานให้เร็วขึ้น!”
“ช่างเถิด ต่อให้เร่งวันวิวาห์ให้เร็วขึ้นจนแต่งกันพรุ่งนี้ข้าก็ไม่ได้รู้สึกยินดีอะไร ด้วยข้าเองก็ไม่อยากเป็ผู้ขัดขวางวาสนารักของใคร ป่านนี้ชิงเอ๋อร์คงกำลังเสียใจอยู่ไม่น้อย แทนที่จะเสียเวลามาอยู่กับข้าซึ่งเป็เพียงพระชายาเอกในนาม เหตุใดท่านไม่ไปดูแลนางเสียเล่า ไม่จำเป็ต้องมามัวเสียเวลากับข้าเช่นนี้หรอก”
“อย่าเอาชิงเอ๋อร์มาเกี่ยวข้องกับเื่ระหว่างเราเลย ข้ายังไม่เคยพูดถึงเ้าให้เสด็จพี่ฟังสักคำ แต่ดูเหมือนระยะนี้เ้าจะสนิทสนมกันมากนักมิใช่หรือ?”
“จะสนิทหรือไม่สนิทก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพระองค์เลยแม้แต่น้อย”
“เ้า! ช่างกล้าดีเหลือเกิน!”
“หากพระองค์ไม่มีธุระสำคัญอื่นใดแล้ว ก็เชิญเสด็จเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่คิดจะเสียเวลาโต้เถียงกับพระองค์อีกต่อไป”
หวังกู้หย่งขบกรามแน่น ความขุ่นเคืองฉายชัดในดวงตา ก่อนจะหันหลังเดินจากไปด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจระงับได้ ทว่าภายในใจกลับเต็มไปด้วยคำถามที่วนเวียนไม่รู้จบ
ทำไมนางถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้? จางเหม่ยอิงที่เขารู้จักในอดีตเคยสงบเสงี่ยมและเกรงกลัวเขายิ่งกว่านี้ แต่ตอนนี้นางกลับแสดงความแข็งกร้าวและยโสจนเขาแทบไม่อยากเชื่อว่าเป็คนเดียวกัน และเขาเองก็ยังไม่อาจหาคำตอบได้ว่าจางเหม่ยอิงในรูปแบบใดกันแน่ ที่จะมีประโยชน์ต่อเขามากที่สุด...
ในห้องบรรทมที่มีเพียงแสงไฟจากตะเกียง ตวนเฟิงเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบก่อนจะก้มศีรษะและรายงานถึงสิ่งที่เขาให้อีกฝ่ายไปสืบหาข้อมูล
“ตามที่องค์ชายให้กระหม่อมไปสืบเื่พิษจากเมล็ดผิงกั่วนั้น...” องครักษ์หนุ่มเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนจะเล่าในสิ่งที่สืบหามาได้ ให้ผู้เป็นายได้ฟัง
หลังจากที่ได้ฟังตวนเฟิงเล่า ท่าทีและสีหน้าของหวังกู้หย่งเรียบนิ่งมาก
“เด็กโง่ เ้าทำแบบนี้ทำไมกัน” หวังกู้หย่งพึมพำออกมาเบาๆ ราวกับว่ามีเื่ที่ทำให้เข้ารู้สึกหนักใจอย่างไรอย่างนั้น
ตวนเฟิงยังหยิบม้วนกระดาษที่พกติดตัวออกมาแล้วยื่นให้กับหวังกู้หย่ง
“กระหม่อมยังพบข้อมูลเกี่ยวกับแม่ทัพใหญ่ ซึ่งท่านเคยมีให้สืบไว้ก่อนหน้านี้”
หวังกู้หย่งรับม้วนกระดาษมาและเปิดออกอ่านอย่างไม่รีรอ ขณะที่สายตาของเขาไล่ไปตามตัวอักษร ข้อความที่ปรากฏทำให้สีหน้าของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยน รอยคิ้วขมวดเข้าหากัน สายตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ทำไมกัน... เป็เช่นนี้เองหรือ?” เสียงของเขาแ่เบาราวกับพูดกับตัวเอง แต่ทว่าในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและตื่นตะลึง
ตวนเฟิงมองดูองค์ชายด้วยความเป็ห่วง...
หวังกู้หย่งยังคงมองเนื้อความในม้วนกระดาษอย่างครุ่นคิด ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคร่งเครียด เขาอ่านทบทวนเนื้อหาในสาส์นซ้ำราวกับ้าความมั่นใจในสิ่งที่ได้เห็น นี่ไม่ใช่เื่เล็กน้อยเสียแล้ว
“แม่ทัพใหญ่...อาจารย์” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น พลันคิดถึงคนผู้หนึ่งที่จากเขาไปไกลแสนไกล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้