คำพูดเพียงไม่กี่คำของมู่หลิงจูและซูปี้ชิง กลายเป็ชี้เป้ามาที่มู่อวิ๋นจิ่นแทน คำพูดของซูปี้ชิงทำให้ทุกคนคิดว่า มู่อวิ๋นจิ่นปีกกล้าขาแข็ง คิดว่าตัวเองมีฉินไท่เฟยถือหาง เลยกล้าแม้แต่จะทำร้ายแม่แท้ ๆ ของตัวเอง
เสนาบดีมู่ไม่เคยตั้งข้อสงสัยกับมู่อวิ๋นจิ่นเลย ในสายตาของเขา เด็กคนนี้เคยขี้ขลาดและโง่เขลายิ่งนัก จะไปทำเื่อะไรเช่นนั้นได้เยี่ยงไร
แต่เมื่อซูปี้ชิงพูดเช่นนั้น เสนาบดีมู่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการเผชิญหน้าของมู่อวิ๋นจิ่นกับเขาเมื่อสองสามวันก่อน และเขาก็แอบคิดว่ามันเป็ไปได้เล็กน้อย
เว่ยหานเฉี่ยวเห็นโอกาสเหมาะที่แม่ลูกทั้งสองพูดเป็ประโยชน์ให้ตน และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงใจมู่อวิ๋นจิ่น ฉะนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะเติมเชื้อไฟ “ตัวข้าเองก็ถูกปรักปรำอย่างหนัก ปกติแล้วนั้นก็มิได้เจอกับคุณหนูสามบ่อยนัก ไม่รู้ว่าไปขัดใจอะไรหรือว่าทำให้คุณหนูสามขุ่นเคืองใจตรงไหน ถึงได้มอบความผิดใหญ่ขนาดนี้ให้”
มู่อวิ๋นจิ่นพบว่าตนถูกสาดโคลนใส่ แต่กลับไม่ได้รีบร้อนที่จะแก้ต่าง จื่อเซียงที่อยู่ด้านข้างกำลังจะเปิดปาก แต่กลับถูกมู่อวิ๋นจิ่นดึงชายเสื้อเอาไว้เสียก่อน ส่งสัญญาณว่าไม่ให้พูด
จากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นก็เบ้ปาก ทำสีหน้าราวกับว่าตื่นตระหนก คิ้วเรียวขมวดแน่น “อวิ๋นจิ่นถูกใส่ความเ้าค่ะ”
“ถูกใส่ความ? เ้าพูดปรักปรำข้าเมื่อครู่ ยังมาบอกว่าตัวเองถูกใส่ความอีกหรือ?” เว่ยหานเฉี่ยวเอ่ยออกมา
“ท่านน้า หากท่านพูดเช่นนั้น ข้าคงทำได้เพียงแค่พูดสิ่งที่ท่านบอกให้เก็บเป็ความลับเสียแล้ว ข้าจะบอกมันกับท่านพ่อและท่านแม่” มู่อวิ๋นจิ่นจีบปากจีบคอ ชายตามองเว่ยหานเฉี่ยว
เว่ยหานเฉี่ยวถูกมู่อวิ๋นจิ่นมองเช่นนั้น ก็รู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดไปสักพักหนึ่ง ก็คิดได้ว่าตนไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดกับเด็กเหลือขอคนนี้มากนัก
“พูดมา! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เสนาบดีมู่มองทั้งสองคน ความโกรธในใจลุกโชนหนักขึ้น
เขาเกลียดาประสาทระหว่างผู้หญิงเหล่านี้มากที่สุด แต่คราวนี้มันเกี่ยวกับชีวิตคน จะไม่ใส่ใจก็เห็นทีจะไม่ได้
“เมื่อครู่ที่ข้าขอตัวลาจากท่านพ่อที่โถงใหญ่ และเตรียมจะกลับไปที่เรือนมวลบุปผา ระหว่างทางข้าบังเอิญเจอกับท่านน้า เห็นท่านน้าถือกล่องเครื่องประดับแลดูหงุดหงิด”
“ด้วยความไม่เสียมารยาท ข้าจึงเอ่ยทักทายท่านน้าไป ไม่รู้ว่าท่านน้าตื่นตระหนกอันใด เห็นแค่ว่าลุกลี้ลุกลนโยนกล่องนั่นลงสระน้ำด้านนอกเรือนหยางพิศุทธ์”
“หลังจากนั้นท่านน้าก็พูดคุยกับข้าอย่างออกรสไม่กี่คำ ข้าเองก็คิดว่าคุยจบจะกลับเรือน แต่ท่านน้ากลับเชิญข้าไปที่เรือนหยางพิศุทธ์เพื่อไปเยี่ยมพี่รอง แล้วจากนั้นก็มอบขวดกระเบื้องนั่นให้กับข้า ให้ข้านำมามอบให้ท่านแม่ ก่อนจะออกมา ท่านน้าก็กำชับกับข้าว่าอย่าพูดถึงเื่กล่องเครื่องประดับนั่นเด็ดขาด”
มู่อวิ๋นจิ่นแสร้งทำเป็ครุ่นคิด ราวกับกำลังนึกย้อนความทรงจำ ก่อนจะค่อย ๆ เค้นคำพูดออกมาทีละคำ ๆ
เว่ยหานเฉี่ยวได้ยินมู่อวิ๋นจิ่นพูดถึงกล่องเครื่องประดับ อดคิดไม่ได้ว่า หรือนางเด็กเหลือขอนี่จะไม่ได้เอากล่องเครื่องประดับกลับไปด้วยงั้นหรือ?
พลันหัวใจนางก็กระตุกวูบด้วยความตระหนก
“ท่านพี่ คำพูดของท่านมันดูย้อนแย้งนะเ้าคะ ท่านน้าเจอท่าน แต่แล้วเหตุใดถึงต้องโยนกล่องเครื่องประดับลงน้ำด้วยเล่า? พวกเราก็สงสัยว่า กล่องเครื่องประดับนั้นเดิมเป็ของขวัญจากท่านน้า ท่านอยากจะใส่ร้ายท่านน้า ฆ่าท่านแม่ แล้วโยนกล่องเครื่องประดับทิ้งไปเพื่อใส่ร้ายท่านน้าก็ได้”
คำพูดของมู่หลิงจู ทำให้เว่ยหานเฉี่ยวแทบอยากจะปรบมือให้ คุณหนูสี่ผู้นี่เก่งกาจเหลือเกิน ไม่เสียแรงเป็หญิงที่มีปัญญาเป็เลิศอันดับหนึ่ง ความสามารถในการวิเคราะห์ระดับนี้ คนปกติธรรมดาตามไม่ทันจริง ๆ
“ถ้าเยี่ยงนั้น น้องสามเชื่อหรือไม่ว่าท่านน้าจะให้เครื่องประดับกับข้า โดยไม่มีอะไรแอบแฝง?” มู่อวิ๋นจิ่นตอบกลับ
จบประโยคนี้ก็ทำให้มู่หลิงจูชะงักทันที
ด้วยสถานะของมู่อวิ๋นจิ่นในจวนเสนาบดีมู่แล้วนั้น เป็ไปไม่ได้เลยว่าเว่ยหานเฉี่ยวจะมอบกล่องเครื่องประดับให้กับมู่อวิ๋นจิ่น
“แล้วหากว่ากล่องเครื่องประดับนั้นเป็ของท่านเล่า? ถ้าท่านได้รับสิ่งของที่ไม่สมควรได้ ถูกท่านน้าเห็นเข้า จึงคิดวิธีนี้ขึ้นมา ไม่เพียงทำร้ายท่านแม่ได้ และยังโยนความผิดให้ท่านน้า ตัวเองก็แค่นั่งรอดูปลามันมาติดเบ็ดก็เท่านั้น”
มู่หลิงจูพูดอย่างกังวลใจ นางโพล่งออกมาโดยไม่แม้แต่จะคิดไตร่ตรองอีก
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา แม้แต่ซูปี้ชิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าห้ามปราบไปที่มู่หลิงจู สายตาบ่งบอกให้นางเงียบ
มู่หลิงจูตระหนักได้อย่างรวดเร็ว ว่าที่อยู่หน้านางในตอนนี้เป็เพียงกระสอบฟางโง่เขลาเท่านั้น สมองหมูเช่นนี้ จะคิดวิธีการอะไรที่ซับซ้อนมากขนาดนี้ได้เช่นไร
นางอาจจะใจร้อนมากจนเกินไป
มู่อวิ๋นจิ่นและมู่หลิงจูต่างก็ยึดมั่นในคำพูดของตน เสนาบดีมู่ที่ได้ฟังคำพูดจากทั้งสองฝั่ง คิดดูแล้วก็ค่อนข้างมีเหตุมีผล
“ทหาร ไปที่สระน้ำของเรือนหยางพิศุทธ์ ดูสิว่ามีกล่องเครื่องประดับหรือไม่” เสนาบดีมู่พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“ขอรับ นายท่าน”
หลังจากที่คนของเสนาบดีมู่ออกไป มู่อวิ๋นจิ่นก็เอนกายพิงกำแพงอย่างเกียจคร้าน หลับตาลง และหรี่ตาลงเล็กน้อย นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสถานการณ์ในเรือนหยางพิศุทธ์ ที่เว่ยหานเฉี่ยวมอบกล่องเครื่องประดับให้กับนาง
เครื่องประดับเ่าั้ นางเหลือบมองดูในครั้งนั้น บางอันก็ดูคุ้นเคย...
ไม่พูดก็ไม่ได้ เว่ยหานเฉี่ยวนั้นเป็ฮูหยินรอง ไม่มีความหลักแหลมเช่นนี้เอง ถึงได้โดนซูปี้ชิงโขกสับอยู่เสมอ ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง คนรับใช้ในจวนก็เดินเข้ามาพร้อมกล่องเครื่องประดับเปียกชุ่ม ก่อนจะยื่นให้เสนาบดีมู่
ดวงตาของเว่ยหานเฉี่ยวกระตุกสั่นไหว ก่อนจะเหลือบมองไปยังมู่อวิ๋นจิ่น เห็นว่านางกำลังส่งรอยยิ้มมาให้ด้วยแววตาสดใส เว่ยหานเฉี่ยวรู้สึกเสียวที่สันหลัง ขนลุกชันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“แกร๊ง” กล่องถูกเปิดออก
“นั่นไม่ใช่เครื่องประดับของข้าหรือ?” มู่หลิงจูขมวดคิ้ว พลางมองสิ่งของตรงหน้าและพูดขึ้นมา
จากนั้นนางก็เบนสายตามองไปที่เว่ยหานเฉี่ยว กับมู่อวิ๋นจิ่นทันที “พวกท่านทั้งสอง ใครเป็คนขโมยเครื่องประดับของข้า?”
เว่ยหานเฉี่ยวกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “คุณหนูสี่ ข้าจะเอาเครื่องประดับของเ้ามาเพื่ออะไร เดิมทีท่านพี่ก็ให้ข้ามาไม่น้อยอยู่แล้ว หนำซ้ำหากเอาของเ้ามาอีก ข้าก็คงไม่สวมใส่อยู่ดี เ้าว่าใช่หรือไม่?”
เสนาบดีมู่ฟังคำพูดเว่ยหานเฉี่ยว พลางพยักหน้าตามเพราะคิดว่าฟังดูมีเหตุผล ในใจพลันคาดโทษมู่อวิ๋นจิ่นอย่างหนักหนาทันที
“ขโมยเครื่องประดับของน้อง ปองร้ายแม่ของเ้า หนำซำยังใส่ร้ายท่านน้าของเ้าอีก นางลูกไม่รักดี เลี้ยงเสียข้าวสุก! วันนี้ข้าจะต้องทำโทษเ้าให้ถึงที่สุด ไม่ปราณีเด็ดขาด!” เสนาบดีมู่โยนกล่องเครื่องประดับในมือลงอย่างแรง ดึงแส้ออกจากเอวของเขา และกำลังจะเหวี่ยงมันไปทางมู่อวิ๋นจิ่น
ก่อนที่แส้จะตกลงมา มู่อวิ๋นจิ่นจงใจแสร้งทำเป็หวาดกลัวด้วยใบหน้าใสซื่อ “ท่านพ่อ ข้าผิดแล้ว อวิ๋นจิ่นอยู่กับฉินไท่เฟยทั้งวัน และไม่มีเวลาที่จะขโมยเครื่องประดับของน้องสามหรอกเ้าค่ะ”
“ทว่าเมื่อก่อนพี่รองมักจะมาขอเครื่องประดับมีค่าจากอวิ๋นจิ่น บอกว่าจะนำไปชำระหนี้พนัน ของมีค่าต่าง ๆ ที่ฉินไท่เฟยมอบให้ข้า ทั้งหมดก็เอาให้พี่รองไปหมดแล้วเ้าค่ะ”
“เหตุใดท่านพ่อไม่ลองเชื่อคำพูดลูกดูบ้างเ้าคะ?”
เมื่อเป็เช่นนี้ จื่อเซียงก็คุกเข่าลงและพูดเสียงสั้นระคนสะอึกสะอื้น “ใช่แล้วเ้าค่ะนายท่าน คุณหนูมักจะถูกคุณชายรองมาเอาเครื่องประดับไปถึงหน้าประตูเรือน เพื่อนำไปใช้หนีพนัน บ่าวอยู่กับคุณหนูตลอดเวลา เห็นกับตาเลยว่า ฮูหยินรองนำกล่องเครื่องประดับนั้นมาให้คุณหนู ดูหุนหันพลันแล่นและดูร้อนรน...”
“คุณหนูสาม แม้ว่าพี่รองของเ้าจะยังหมดสติและไม่สามารถมาแก้ต่างอะไรได้ แต่เ้าอย่าพูดจาเหลวไหลเชียว อี้หยางวางตัวดีมาตลอดั้แ่เด็ก จะไปทำเื่อับอายเช่นนั้นให้จวนของเราขายหน้าได้เยี่ยงไรกัน”
คำพูดของเว่ยหานเฉี่ยวนั้นจอมปลอม น้ำเสียงนั้นอ่อนลงแตกต่างจากก่อนหน้านี้สิ้นเชิง
“ท่านพี่ ใยท่านจึงเปลี่ยนไปขนาดนี้? น้องผิดหวังในตัวท่านพี่ยิ่งนัก” มู่หลิงจูเบือนหน้านี้ สีหน้าดูผิดหวังยิ่งนัก
ซูปี้ชิงมองดูคนที่อยู่เบื้องหน้า มือของนางกำผ้าห่มแน่น เมื่อได้ยินว่ามู่อี้หยางอาการหนักจนแทบจะไม่เหมือนคนปกติแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ราวกับไม่มี ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอีก
ฉะนั้นจะไม่ฉวยโอกาสอันดีเช่นนี้ ตัดแข้งตัดขามู่อวิ๋นจิ่นหญิงไม่รักดี แล้วดันหลิงจูให้ขึ้นเป็ชายาขององค์ชายหกแทนได้เยี่ยงไร
“อวิ๋นจิ่น ในฐานะแม่ ข้าผิดหวังในตัวของเ้ามาก เช่นนี้ไม่เกิดมาเสียยังดีกว่า!” ซูปี้ชิงกัดฟันกรอด มู่อวิ๋นจิ่นกำลังถูกตัดสินโทษขั้นหนัก
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นฟังคำพูดเหล่านี้ นางก็แค้นเสียงหัวเราะ ก่อนจะลืมตาขึ้นเพื่อสบสายตาของเสนาบดีมู่ “จริงหรือไม่นั้น ท่านพ่อให้คนไปสืบหาความจริงที่บ่อนดูสิเ้าคะ”
“แม้ว่าข้าจะไม่มีปัญญาเป็เลิศ และขี้ขลาด แต่กระนั้นข้าก็ไม่ยอมโดนใส่ร้ายป้ายสี”
“แม้จะสิ้นชีวา ข้าก็จะต้องสิ้นอย่างไร้มลทิน”
คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น ทำให้เสนาบดีมู่ที่ก่อนหน้านี้โกรธจนไฟลุก กลับสงบนิ่งลงในทันที เขาเหลือบมอง มู่อวิ๋นจิ่น ในหัวกลับมีภาพของคน ๆ หนึ่งผุดขึ้นมา
เหมือนเหลือเกิน เหมือนกันเสียเหลือเกิน!
ชั่วครู่หนึ่ง เสนาบดีมู่รู้สึกว่า เป็เวลาหลายปีแล้วที่เขาได้เข้าใจผิดกับลูกสาวคนนี้
นางมักจะขี้อายและขี้ขลาด ทว่าทุกวันนี้เขาเพิ่งจะค้นพบว่า ตัวนางเอง มีความถือตัวและสดใสคล้ายคลึงกับคนผู้นั้น
เสนาบดีมู่ไม่ได้ยินคำพูดของคนไม่กี่คนที่อยู่ข้าง ๆ อีกต่อไป และเมื่อเป็เช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้ ก่อนที่เขาจะพูดว่า “เช่นนั้น ข้าจะตรวจสอบเื่นี้ด้วยตัวเอง”
“ขาวหรือว่าดำ เดี๋ยวก็จะได้รู้กัน วันนี้พอกันแค่นี้”
พูดจบ เสนาบดีมู่ก็เดินออกจากห้องของซูปี้ชิง
หลังจากเสนาบดีมู่ออกไป เว่ยหานเฉี่ยวก็ขบริมฝีปากแน่น นี่ก็ค่ำแล้วความหนาวเย็นเริ่มเข้าปกคลุมล้อมรอบตัวนาง แต่นางกลับมีเหงื่อเม็ดใสไหลหยดออกมา ก่อนที่นางจะค้อมตัวให้ซูปี้ชิง แล้วรีบร้อนออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งห้องก็เหลือเพียงมู่อวิ๋นจิ่น มู่หลิงจูและซูปี้ชิง
“ข้าไม่เคยรู้เลย ว่าท่านแม่เกลียดข้ามากมายขนาดนี้” มู่อวิ๋นจิ่นคลี่ยิ้มเ็า เหลือบตามองขวดกระเบื้อง
“ตอนนั้น ท่านปาขวดนี้แตกกระจายต่อหน้าข้า ตอนนี้กลับหาขวดที่เหมือนกันราวกับแกะมาได้ แต่ข้าไม่ได้บอกเื่นี้ต่อหน้าท่านพ่อ เพียงเพราะอยากจะเหลืออากาศไว้ให้ท่านได้หายใจบ้างเท่านั้น”
“ทว่าตอนนี้นั้น ข้าอาจจะใจดีมากเกินไป”
“จื่อเซียง ไปกันเถอะ”
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ หางตาเหลือบมองที่แม่และลูกซูปี้ชิงและมู่หลิงจูอย่างเรียบนิ่ง ก่อนจะเดินช้า ๆ ไปที่ประตู
เื้ันั้น ทั้งสองสบสายตากันโดยไม่รู้ตัวพลันรู้สึกหนาวสั่นในใจ “หลิงจู นางยังคงเป็อวิ๋นจิ่นคนเดิมที่เรารู้จักหรือไม่?”
มู่หลิงจูมู่ก็แปลกใจเช่นกัน นางเม้มปากและพูดได้ว่า “ดูเหมือนว่าวันนี้จะทำให้นางวิตกกังวล ถ้านางไม่พยายามปกป้องตัวเองอย่างเต็มที่ นางจะเป็คนที่ตายเอง สรุปแล้วนางก็แค่กลัวตายก็เพียงเท่านั้น”
ซูปี้ชิงพยักหน้า ก่อนจะซุกตัวในผ้าห่มแล้วอิงตัวกับมัน “เื่ราวในวันนี้ ไม่ว่าผลสรุปจะเป็เช่นไร ยังไงเสียไม่ฮูหยินรองก็มู่อวิ๋นจิ่น คนใดคนหนึ่งจะต้องถูกจัดการ”
“มีแต่ได้กับได้ ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วย”
มู่หลิงจูได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้า ก่อนจะนั่งลง “ใช่แล้วเ้าค่ะ มู่อี้หยางคนไม่เอาถ่านเช่นนั้น จะมาเทียบเคียงกับพี่ใหญ่ ท่านน้าชักจะหวังสูงมาไปหน่อยแล้ว”
“ถูกแล้ว มู่อี้หยางเทียบกับอวิ๋นหานแล้ว ต่างกันราว์กับนรกเลย ครานี้ที่อวิ๋นหานออกไปรบเคียงบ่ากับพลตรีฉิน จะได้รับของกำนัลและรางวัลมากนัก ไม่แน่ว่ากลับมาจากศึกแล้วอาจจะได้รับยศตำแหน่งด้วยก็เป็ได้”
เมื่อพูดถึงลูกชายคนโตของตน แววตาของซูปี้ชิงก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ