หนิงโม่มองดูท่าทีมีความสุขแบบซื่อบื้อของเสิ่นม่านเงียบๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด จิตใจข้างในของเขากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม มุมปากก็ยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น เสิ่นม่านเก็บรอยยิ้มและจ้องเขาอย่างจริงจัง
พอถูกนางจ้องเช่นนี้ หนิงโม่จึงเพิ่งรู้ตัวและขมวดคิ้ว เขาปั้นสีหน้าเคร่งขรึมและจ้องนางกลับ
“เ้ามองอะไร?”
เสิ่นม่านตอบลอยๆ “ข้าว่าเวลาเ้ายิ้มก็ดูดีนะ”
การชมเชยอย่างเปิดเผยของนางทำให้หนิงโม่เก้อเขิน เขาเบนสายตาจากใบหน้าของนางไปยังที่อื่น ใบหูแดงระเรื่อ
อย่างไรก็ตาม เสิ่นม่านไม่สนใจท่าทางขี้เก๊กของเขา นางจัดการลงมือบีบแก้มพร้อมดึงมุมปากของเขาให้โค้งสูงขึ้น จากนั้นพึมพำ
“เ้าดูสิ ทั้งที่เป็คนรูปงาม แต่วันๆ เอาแต่สวมใส่ชุดสีดำราวกับเป็โจร ยังหนุ่มยังแน่นทั้งที ไยจึงไม่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหลากสีสันบ้าง? นอกจากนี้ เวลาเ้ายิ้มแล้วดูดียิ่ง ควรยิ้มให้มากๆ หน่อย...”
เสิ่นม่านยังพูดไม่ทันจบ หนิงโม่ก็หนีจากอุ้งมือของนางสำเร็จ ใบหน้าหล่อเหลาแดงระเรื่อ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“เ้า… ชายหญิงมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน เ้าเข้าใจหรือไม่?”
เสิ่นม่านไม่สะทกสะท้าน “ข้าเข้าใจ” ข้าแค่เห็นว่าเ้าหล่อเหลาเอาการ จึงอยากแต๊ะอั๋งก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกวันนี้เสิ่นม่านยังแอบสะกดจิตบ่อยครั้งเพื่อให้ได้ชาร์จพลังงานจากหนิงโม่ ตราบใดที่นางสั่ง หนิงโม่ก็จะเปิดประตูต้อนรับนางเอง
และเพราะเสิ่นม่านคือสุภาพบุรุษ… เอ๊ย! สุภาพสตรี แม้จะบุกเข้าห้องหนิงโม่ดึกๆ ดื่นๆ แต่ก็ทำเพียงจับมือเพื่อชาร์จพลังงานเท่านั้น
หากชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้ตกอยู่มือผู้อื่น รับรองว่าคงไม่โดนแค่นี้แน่ ฮี่ๆ…
“เ้ายิ้มเ้าเล่ห์เช่นนี้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่เื่ดีแน่”
เสียงราบเรียบของหนิงโม่ดึงสติของนางที่กำลังฟุ้งซ่านให้กลับมายังโลกแห่งความจริง เสิ่นม่านกระแอมลูบปลายจมูกอย่างเก้อเขิน จากนั้นเรียกให้เสี่ยวตงไปแปะประกาศรับสมัคร
ขณะเดียวกันที่เสิ่นม่านเดินกลับเข้าเรือน ลูกธนูขนนกสีขาวหนึ่งดอกถูกยิงเข้ามาในลานบ้าน หนิงโม่ยกมือขึ้นคว้าลูกธนูเอาไว้
หัวธนูเจ็ดเหลี่ยม… นี่เป็ลูกธนูของตระกูลหนิง
หนิงโม่ปลดจดหมายบนลูกธนูลงมา บนนั้นระบุอักษรไว้เพียงไม่กี่คำ
“นายท่าน ยามจื่อคืนนี้เจอกัน ณ วัดร้างต้นหมู่บ้าน”
หลังอ่านเสร็จ หนิงโม่ก็หักลูกธนูทิ้งและเก็บจดหมายไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นแสร้งทำเป็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กลางดึกยามจื่อ ลมหนาวด้านนอกพัดโชยอยู่นาน
หนิงโม่นอนอยู่บนเตียง รอจนคนในบ้านค่อยๆ ผล็อยหลับไปจนหมด จากนั้นเขาลุกขึ้นช้าๆ สวมเสื้อตัวนอกและเสื้อคลุมสีแดงดำ แล้วอาศัยแสงจันทร์คลำทางออกไป
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูวัดร้าง หนิงโม่เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ออกมาเถิด”
ทันทีที่สิ้นเสียง เงาดำร่างหนึ่งก็เหินลงมาจากบนหลังคาวัดร้าง และลงมาปรากฏตัวในท่าคุกเข่าขอขมา
“ข้าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง การไปเจียงโจวหนนี้ไม่ได้เบาะแส ขอเ้านายโปรดลงโทษ”
ภายใต้แสงจันทร์สลัว หนิงโม่จ้องมองเยี่ยนชีเงียบๆ และจ้องอยู่นานสักพัก “ไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อยจริงหรือ?”
เยี่ยนชีไม่กล้าปกปิดจึงรีบอธิบายเสียงต่ำ
“เื่ราวในอดีตเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของราชวงศ์ ไม่รู้ว่ามีคนถูกปิดปากไปมากเท่าใด ตอนที่ข้าน้อยไปยังจุดหมายที่ได้จากบุคคลที่ให้เบาะแส พบว่าบนตัวผู้หญิงคนนั้นมีลายสัก ซึ่งต่างจากที่ท่านเคยบอก ดังนั้น...”
ดังนั้นจึงไม่ใช่คนคนนั้นแน่นอน
คนที่เขากำลังตามหา ยังคงหาไม่พบ
หนิงโม่ลูบคาง ความเงียบคงอยู่นานสักพัก จากนั้นเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ลุกขึ้นเถิด ไม่ใช่ความผิดของเ้า”
ความสงบของเขาทำให้เยี่ยนชีรู้สึกตัวสั่น ท่าทีของเ้านายผิดปกตินัก…
หากเป็เมื่อก่อน เกรงว่าคงจะเดือดดาลไปอีกหลายวัน ไฉนไม่เจอกันเพียง่ระยะเวลาหนึ่ง เขาถึงดูโอนอ่อนลงกว่าเดิมมากนัก
เยี่ยนชีรวบรวมความกล้าเงยหน้ามองหนิงโม่ การมองนี้ทำให้เขาตะลึงใจจนปากอ้าตาค้าง
“เ้านาย... อาการป่วยของท่าน… หายดีแล้วหรือ?”
เวลาหนึ่งเดือนที่ไม่ได้เจอกัน เ้านายของเขาที่สภาพร่อแร่ใกล้ตาย เพียงลมพัดก็ปลิวได้ เพียงไม่นานกลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคน เปล่งปลั่งมีสง่า พลังชีวิตเปี่ยมล้น!
โดยเฉพาะใบหน้าที่เดิมทีผอมซูบจนเหลือแต่กระดูก ตอนนี้กลับมีเนื้อมีหนังจนดูดีกว่าเดิมมากนัก!
หนิงโม่เหลือบตาขึ้นและตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ไม่ใช่ ข้าเจอแม่ครัวที่เก่งกาจคนหนึ่ง”
“แม่ครัว?” เยี่ยนชีใมาก
ในจวนไม่เคยขาดแคลนพ่อครัวแม่ครัว ไม่ว่าจะเลื่องชื่อเพียงใดในแคว้นฝูเหลียงล้วนเคยมาที่จวนทั้งนั้น กระทั่งพ่อครัวที่อยู่ในวังหลวงมาหลายสิบปีก็ยังเคยถูกบิดาของหนิงโม่เรียกตัวมาอย่างหน้าด้านๆ
กระนั้นเ้านายผู้นี้ของเขาก็มิเคยไว้หน้าผู้ใด ยังคงอาเจียนทุกสิ่งที่ทานเข้าไป ทำให้พ่อครัวเลื่องชื่อเ่าั้ถึงกับโมโหจนหน้าเขียว
โรคแปลกประหลาดยี่สิบกว่าปีของเ้านาย กลับได้รับการรักษาจากแม่ครัวที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามหรือ?!
เป็ไปไม่ได้!
ในโลกของเยี่ยนชี เ้านายผู้เอาใจยากของเขาคนนี้ไม่มีทางเจอแม่ครัวที่ถูกใจได้แน่ แต่การเปลี่ยนแปลงของหนิงโม่ก็ทำให้เขาต้องยอมเชื่อว่านี่คือความจริง!
หลังจากที่อึ้งไป เยี่ยนชีก็คุกเข่าด้วยความซาบซึ้งอีกครั้ง
“ขอแสดงความยินดีกับเ้านาย! ในที่สุดร่างกายของท่านก็ดีขึ้น! เช่นนั้นเราพาแม่ครัวผู้นี้กลับเมืองหลวงด้วยเลยดีหรือไม่?” พูดจบ เขาก็ปลดเชือกที่อยู่ข้างเอวทำท่าเตรียมไปมัดคน
หนิงโม่ปรามเขาไว้ “ไม่จำเป็ต้องกลับไป ในเมืองหลวงยังมีท่านพ่อกับพี่ชายข้าอยู่ ขาดคนไร้ประโยชน์เช่นข้าไปคงไม่เป็ไร”
“แต่...”
“เ้าเองก็อยู่ต่อเถิด คืนนี้หาที่พักละแวกเดียวกับข้าและอาศัยอยู่ไปก่อน พักผ่อนสักหลายวันค่อยกลับไป”
เยี่ยนชีลังเลครู่หนึ่ง แต่เ้านายตัดสินใจแล้ว เขาจึงได้แต่ปฏิบัติตาม
“ขอรับ!”
วันรุ่งขึ้น เสิ่นม่านไม่ได้ไปขายเต้าฮวยที่ตำบล แต่ไปปิดประกาศรับสมัครที่ใต้ต้นหลิวตรงต้นหมู่บ้าน
เสิ่นม่านและเสี่ยวตงกางโต๊ะตัวหนึ่งใต้ต้นหลิว พอทั้งสองตั้งสถานที่เรียบร้อย ก็มีคนไม่น้อยมาร่วมดูความคึกคัก คนที่อ่านออกรู้ว่านางกำลังรับสมัครคน จึงมาถามไถ่เื่ราว
ป้ายประกาศของเสิ่นม่านระบุไว้อย่างชัดเจน นาง้ารับคนงานโม่ถั่วเหลืองห้าคน ค่าแรงอิงตามจำนวนชั่ง ถั่วเหลืองโม่หนึ่งชั่งจ่ายสามอีแปะ คนก่อไฟสองคน ค่าแรงวันละห้าสิบอีแปะ รวมถึงคนกดเต้าหู้สามคน ค่ากดเต้าหู้ชั่งละสามอีแปะเช่นเดียวกัน
สำหรับวันหยุด หนึ่งเดือนสามารถลาหยุดได้สี่วัน สามารถกลับไปจัดการงานในบ้านที่ยังไม่ลุล่วงได้
ชาวบ้านไม่เคยเห็นวิธีการจ่ายค่าแรงเช่นนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะมาสอบถามขั้นตอนทั้งหมดว่าเป็อย่างไร
เสิ่นม่านอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างอดทน ส่วนเื่งานกดเต้าหู้และโม่ถั่วเหลือง เสิ่นม่านจะอบรมให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เมื่อเป็เช่นนี้ เห็นทีคนที่จะมาสมัครคงมีมากมายทีเดียว ชายหนุ่มรอบบริเวณต่างก็ชูมือขึ้นขอสมัครเป็แรงงาน แม้แต่คังต้าจ้วงที่ถูกเบียดอยู่ด้านนอกก็อดไม่ได้ที่จะอยากสมัครด้วย
แต่เสิ่นม่านมีหรือจะรับคนง่ายดาย? ยังมีสิ่งสำคัญที่สุดที่ยังไม่ได้ระบุ
เมื่อเผชิญกับความวุ่นวาย เสี่ยวตงจึงนำสัญญาออกมาแจกจ่ายให้กับผู้ที่้าสมัครด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ผู้ที่้าทำงาน ต้องทำสัญญาฉบับนี้ก่อน”
สัญญา? ทำงานยังต้องทำสัญญาด้วยหรือ?
ชาวนาบางคนไม่รู้อักษร จึงได้แต่ไหว้วานผู้ที่รู้อักษรช่วยอ่านให้ฟัง
หนึ่งในนั้นระบุไว้ว่า
“ในระหว่างการทำงาน หากมีปัญหากับเต้าหู้ที่ผลิตโดยโรงทำเต้าหู้ แรงงานทั้งหมดในโรงทำเต้าหู้ ทุกคนต้องจ่ายเงินชดเชยให้สกุลเสิ่นหนึ่งพันตำลึง”
“หนึ่งพันตำลึง?!”
หลายคนถึงกับใ
-----
