อวิ๋นซีช่วยตรวจดูอาการให้โอวหยางเทียนหัว ทั้งยังช่วยเขาพันแผลใหม่จนเรียบร้อย ทำให้หมอหลวงที่ตามเสด็จมาด้วยถึงกับมีความโมโหเล็กๆ โลดขึ้นในใจ แต่ก็ไม่มีใครสักคนจะกล้าก้าวออกมาพูดสิ่งใด เพราะฝีมือในการทำความสะอาดรักษาาแของชายาหนิงอ๋องก็ชำนาญเสียจนเ้าเฒ่าเช่นพวกเขายังรู้สึกละอายใจ คนเช่นนี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้น เื่ที่วิชาแพทย์ของชายาหนิงอ๋องนั้นล้ำเลิศก็ถูกลือกันไปทั่วเมืองหลวงนานแล้ว ได้ยินมาว่าคนยังสามารถผ่าคลอดได้ด้วย แม้แต่สาวใช้ข้างกายของนางก็ยังไม่ธรรมดา แต่ละคนล้วนมีวิชาที่ร้ายกาจทั้งสิ้น
อวิ๋นซีไม่ได้ล่วงรู้ในความคิดของหมอหลวงเหล่านี้ แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะคิดเช่นไร ก็ไม่ใช่เื่ที่นางจะไปขัดขวางได้
หวงกุ้ยเฟยเห็นอวิ๋นซีเดินออกมาก็รีบเข้าไปถามอาการ “ลูกข้าเป็อย่างไรบ้าง? ”
อวิ๋นซีมองหวงกุ้ยเฟยเรียบๆ ไปทีหนึ่งด้วยท่าทางที่ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ก่อนจะเดินไปตรงหน้าเสี้ยวเหวินตี้ ยอบกายคารวะ “เสด็จพ่อ นี่คือผงยาที่ดีต่อปากแผลของรัชทายาท เมื่อครู่นี้หม่อมฉันได้พันแผลใหม่ให้แล้ว ภายในสามเดือนมีข้อห้าม มิให้เขาต้องออกแรงโดยไม่จำเป็ และในอีกร้อยวันถึงจะสามารถลงจากเตียงเดินไปเดินมาได้ แต่หากเขาไม่เชื่อฟัง และขยับตัวออกกำลัง ตอนนั้นหากเกิดอะไรขึ้นก็อย่าได้กล่าวโทษหม่อมฉันเลยเพคะ”
เสี้ยวเหวินตี้แสดงท่าทางให้ถงไห่มารับขวดผงยาไป จากนั้นก็มองตอบอวิ๋นซี พยักหน้าพูดว่า “ลำบากเ้าแล้ว”
อวิ๋นซีทำเพียงยิ้มน้อยๆ “หม่อมฉันเพียงทำเื่ที่ควรทำ รัชทายาทเป็ถึงฉู่จวินที่เสด็จพ่อทรงเลือกด้วยพระองค์เอง จะให้เกิดเื่ใดขึ้นกับรัชทายาทก็ย่อมไม่ได้หนิเพคะ”
แม้อวิ๋นซีจะพูดเสียงเบา แต่เสี้ยวเหวินตี้ก็มิใช่คนโง่ แน่นอนว่าไม่พลาดกระแสตัดพ้อที่พาดผ่านดวงตาอวิ๋นซีไป ราวกับว่าการที่ช่วยรัชทายาทตรวจรักษานั้นทำให้นางต้องน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรอย่างนั้น ถึงกระนั้นการได้เห็นสายตาเช่นนี้ของนางก็ทำให้เสี้ยวเหวินตี้ถอนใจโล่งอก เพราะหากอวิ๋นซีแสดงออกอย่างคนใจกว้างมาก ไม่มีแม้ความไม่พอใจเลย คนเยี่ยงเขาก็คงต้องจับตาดูสะใภ้คนนี้ให้ดีถึงจะถูก
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็รู้ดีว่า ตนเป็คนที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อน ไม่อยากให้สะใภ้ของตนร้ายกาจยิ่งกว่า เพราะนั่นจะไม่ใช่เื่ดีอะไร เขาอมยิ้มมองอวิ๋นซี “หายากยิ่งนัก เอาละ เื่นี้พ่อจะให้คนไปกำชับหมอหลวงที่ถวายการดูแลรัชทายาท เ้าเองก็เหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้ตรัสออกมาเช่นนี้ ก็เป็การดึงดูดความไม่พอใจจากชายาหลู่อ๋องและชายาอี้อ๋องสองลูกสะใภ้ที่อยู่เื้ั พวกนางเองก็เป็สะใภ้ของเสี้ยวเหวินตี้ แต่เหตุใดพระองค์ถึงได้เลือกที่รักมักที่ชัง อวิ๋นซีมาแค่ครู่เดียว ส่วนพวกนาง นับแต่ที่ได้ทราบข่าวก็รีบรุดมา และยืนอยู่ที่นี่กว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ขณะที่อวิ๋นซีเพิ่งมาได้ไม่เกินหนึ่งเค่อ พระบิดากลับบอกว่าคนเหนื่อยแล้ว
ทางด้านอวิ๋นเซ่าหลันกลับทำเพียงกะพริบตาปริบๆ ไปทางอวิ๋นซี นางรีบขึ้นหน้าไปพูด “เสด็จพ่อ หม่อมฉันเองก็ขอทูลลาไปพร้อมพี่สะใภ้รองได้หรือไม่เพคะ”
ั้แ่เมื่อหลายปีก่อนที่ท่านโหวผู้เฒ่าอวิ๋นส่งคืนอำนาจทางการทหารแก่ฮ่องเต้ด้วยตนเอง เสี้ยวเหวินตี้ก็ทรงเมตตาตระกูลอวิ๋นมาโดยตลอด อีกทั้ง เ้าสี่ก็เป็ลูกชายที่เขารักมาก ชายผู้สูงศักดิ์จึงได้มองอวิ๋นเซ่าหลันต่างไปจากคนอื่น
เขาพยักหน้า “ไปเถอะ อาซีเป็พี่สะใภ้รองของเ้า ทั้งยังเป็ลูกพี่ลูกน้องของเ้าด้วย การที่พวกเ้าทั้งสองจะสนิทสนมกันก็ถือเป็เื่ดี”
อวิ๋นเซ่าหลันและอวิ๋นซีจูงมือหวานหว่านเดินออกไป เมื่อเดินไปถึงบริเวณที่มีคนผ่านไปผ่านมาน้อย อวิ๋นเซ่าหลันถึงได้พูดขึ้น “พี่สะใภ้รอง ท่านกับฮองเฮา...” เมื่อครู่นางเห็นอย่างชัดเจน สายตาที่ฮองเฮามองอวิ๋นซีเต็มไปด้วยความแค้นเคืองถึงขนาดที่อาจแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร
อวิ๋นซีพูดเรียบๆ “ไม่เป็ไร”
ฮองเฮาหรือ? ก็แค่คนที่ไม่ยอมเลิกราเท่านั้น มีอะไรจะให้พูดถึงกัน รอจนวันหน้าต่างฝ่ายต่างก็กระชากหน้ากากเข้าปะทะกันตรงๆ แน่นอนว่าคนที่ควรรู้ย่อมได้รู้ เพราะคนเช่นนางไม่เคยคิดที่จะปล่อยฮองเฮาไป
หวานหว่านพูดเสียงเบา “ข้าไม่้าเสด็จย่าเช่นนั้น ถึงกับกล้าส่งคนไปสังหารเสด็จพ่อเสด็จแม่”
เสียงของนางไม่ได้ดัง แต่ก็พอให้อวิ๋นซีและอวิ๋นเซ่าหลันได้ยิน ชั่วขณะนั้นอวิ๋นซีขมวดคิ้วแน่น หวานหว่านรู้เื่เหล่านี้ั้แ่เมื่อไรกัน? เพราะนางและจวินเหยียนไม่เคยบอกเื่นี้กับหวานหว่าน
ขณะที่อวิ๋นเซ่าหลันได้แต่เบิกตากว้าง นางมองไปยังหวานหว่าน เอ่ยถาม “หวานหว่าน เ้าว่า ฮองเฮาส่งคนไปสังหารบิดามารดาเ้าหรือ? ”
หวานหว่านคิดจะพูดต่อ แต่เมื่อเห็นดวงตาดำคล้ำแฝงแววเตือนของมารดา นางก็ได้แต่ปิดปากตนเองทันที ถึงกระนั้นในใจก็ยังคิดอย่างไม่ยอม บิดามารดาทำเกินไปแล้วจริงๆ เื่เช่นนี้กลับไม่ยอมให้นางรู้ หากไม่ใช่เพราะนางบังเอิญไปได้ยินคนทั้งสองสนทนากัน เกรงว่าชาตินี้ก็คงไม่รู้เื่ ซ้ำร้ายตอนนี้ยังคิดจะปิดบังต่อไปอีก
อย่างไรเสีย เสด็จอาสะใภ้สี่ก็นับเป็น้าสาวของนาง หากให้ว่ากันตามคำของท่านตาสามละก็ คนถือเป็ครอบครัวเดียวกัน เหตุใดถึงจะบอกเื่เหล่านี้แก่เสด็จอาสะใภ้สี่ไม่ได้เล่า
อวิ๋นเซ่าหลันเห็นท่าทีนั้น ในใจก็เข้าใจแล้วว่าต้องเป็เพราะอวิ๋นซีไม่ยอมให้เด็กพูดแน่ๆ นางจึงมองอวิ๋นซีไปทีหนึ่งโดยไม่ได้คิดถามต่อ
คนทั้งสามเดินไปถึงที่พักของอวิ๋นซี และได้เห็นห้องครัวทยอยส่งเนื้อต่างๆ ที่จัดการเสร็จแล้วมา ก่อนจะเห็นเกาหมัวมัวยิ้ม เดินเข้ามาพูดว่า “เนื้อเหล่านี้เป็ท่านอ๋องที่สั่งให้ส่งมาเพคะ พระองค์ตรัสว่ารัชทายาทได้รับาเ็ คืนนี้คงไม่มีงานเลี้ยงรอบกองไฟอีกแล้วเป็แน่ จึงให้พวกเราจัดเตรียมเนื้อกันเอง อีกเดี๋ยวพระองค์จะกลับมาเสวยเพคะ”
เมื่ออวิ๋นเซ่าหลันได้ยิน ดวงตาที่มองไปยังอวิ๋นซีก็เปล่งประกาย “อาซี ข้าเองก็จะกินข้าวที่นี่”
อวิ๋นซีเหงื่อตก จากนั้นจึงพูดขึ้น “ดูเหมือนว่า การได้ออกมาครั้งหนึ่ง ตัวข้าจะกลายเป็ผ่อจื่อไปแล้ว” นางต้องทำหน้าที่ตระเตรียมอาหารให้ผู้อื่นโดยเฉพาะ คนหนึ่งคือสามี คนหนึ่งเป็ทั้งคู่สะใภ้และลูกพี่ลูกน้องของนาง และอีกคนก็คือลูกสาวที่ยามนี้กำลังจดจ้องนางด้วยสีหน้ารอคอย ท้ายที่สุดนางก็ได้แต่พูดอย่างยอมรับชะตา “พวกเราจะกินแค่เนื้อกับข้าวก็คงไม่ได้” นางขบคิด ก่อนจะนึกถึงผักป่าที่พบในวันนี้ มุมปากนางโค้งขึ้นน้อยๆ “เกาหมัวมัว หยิบตะกร้ามา พวกเราจะไปเด็ดผักป่าที่หลังเขากัน”
หากเป็ในยุคปัจจุบัน เดือนสองตามปีจันทรคติก็จะนับเป็เดือนสามของปีสุริยคติ ยามนี้ผักป่าบนเขากำลังมีมากตามคำโบราณที่ว่าไว้ ‘เดือนสามผักกาดงอกงาม’ วันนี้นางเองก็ได้เห็นกับตาว่า บนเขาที่อยู่หลังห้องครัวนี้มีผักกาดอยู่ไม่น้อย
ที่นี่เมื่อก่อนเคยมีกองทหารประจำการอยู่ คิดว่าเมล็ดผักกาดคงจะร่วงลงพื้นกันตอนนั้น หลายปีมานี้จึงมีต้นอ่อนงอกงามตลอด ทำให้บนเขามีผักป่าจำนวนไม่น้อยเลย อันที่จริงทางครัวใหญ่เองก็มีผักสดอยู่เช่นกัน แต่เพราะพวกนางเปิดเตาทำกับข้าวกันเอง หากไปนำผักสดที่ครัวใหญ่มาใช้ และเื่นี้ถูกคนพูดออกไป ไม่แน่ว่าอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในภายหลังได้ อวิ๋นซีจึงยอมขึ้นเขาไปเด็ดด้วยตนเองดีกว่ายอมให้คนอื่นเอาไปพูดนินทา
อวิ๋นซีพาคนจำนวนหนึ่งไปเด็ดผักกาดบนเขา และผอผ่อติง [1] เมื่อเก็บมาได้จำนวนหนึ่งก็ตัดสินใจกลับ
ตอนที่อวิ๋นซีกลับมาถึงเรือน เพ่ยเอ๋อร์ก็นำคนช่วยกันจัดการกับเนื้อเ่าั้ตามคำสั่งก่อนหน้านี้ของอวิ๋นซีเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากอวิ๋นซีเคยใช้ชีวิตอยู่ในหานโจวหลายปี นางจึงคุ้นเคยกับการจัดเตรียมเครื่องปรุงไปไหนมาไหนด้วยในทุกครั้งที่ออกเดินทาง ดังนั้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน นางนำเนื้อที่จัดการเสร็จแล้วมาปรุงรสให้ดี จากนั้นก็ให้เกาหมัวมัวนวดแป้ง
วันนี้เนื้อที่ส่งมามีทั้งเนื้อกวาง เนื้อหมูป่า เนื้อกระต่าย และเนื้อไก่ป่า
อวิ๋นซีนำกระดูกไก่ไปต้มเป็น้ำแกง ส่วนเนื้อไก่เตรียมจะนำมาทำกงเป่าจีติง [2] และการที่นางให้เกาหมัวมัวช่วยนวดแป้งเตรียมไว้ก็เพื่อจะนำมาทำเป็ซาลาเปาไส้หมูป่า นอกจากนี้ นางยังทำเนื้อกระต่ายผัดน้ำแดง เนื้อกระต่ายหม่าล่า และกระต่ายขิงอบหม้อดิน ทว่า เนื้อกวางนั้นถือว่านำมาทำอาหารได้ยากที่สุดในบรรดาเนื้อที่มี อวิ๋นซีจึงใช้พริกไทย เปลือกส้มเขียวหวานแห้ง อบเชย และขิงมาตุ๋นร่วมกับเนื้อกวาง อีกทั้ง ยังมีผัดหมูป่าอีกจานหนึ่งด้วย
ส่วนผักกาดและผอผ่อติงนั้นยิ่งง่ายใหญ่ นางทำเป็ผัดผักอย่างง่ายๆ สองจาน ผ่านไปครึ่งชั่วยามกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ลอยออกมาจากห้องครัวแล้ว
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ผอผ่อติง(婆婆丁)หมายถึง ดอกแดนดิไลอัน
[2] กงเป่าจีติง(宫保鸡丁)คือ เนื้อไก่หั่นเต๋าผัด ใส่ถั่วลิสง พริกแห้ง