ตลอดมื้ออาหาร เซี่ยโม่รู้สึกล่องลอยเหมือนอยู่ในความฝัน คนธรรมดาๆ แบบเธอได้หมั้นหมายกับว่าที่เศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศ อีกทั้งชายหนุ่มยังเอาอกเอาใจเธอสารพัด ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
หลังรับประทานมื้อเย็นเสร็จ เธอเดินออกไปส่งชายหนุ่มที่หน้าบ้าน
“พรุ่งนี้เธอไปโรงเรียนไหม” ชายหนุ่มถามเสียงไม่ดังนัก
หยุดเรียนมาก็หลายวันแล้ว จะี้เีแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เธอตัดสินใจได้ในนาทีนั้น
“ไปค่ะ แต่ว่าตอนเที่ยงไม่ต้องเอาอาหารไปให้พวกน้องชายแล้ว”
“งั้นพรุ่งนี้เช้าฉันจะหาคนให้ช่วยจัดการเื่นั้นให้ แล้วตอนเที่ยงฉันค่อยไปหาเธอ พวกเราไปกินข้าวที่ร้านอาหารของรัฐกัน ฉันมีของจะให้เธอด้วย” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
สงสัยว่าอีกฝ่ายคงเอาสมุดบัญชีมาให้เธอกระมัง
เธอคิดในใจ ลูกพี่นี่ดื้อใช้ได้
ในเมื่อเขา้าแบบนั้นเธอจะยอมดูแลให้ก็ได้ เก็บสมุดบัญชีไว้ในโกดังสินค้า รับรองปลอดภัยไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน
เซี่ยโม่พยักหน้า “ได้ค่ะ”
เธอมองพี่ซ่งที่จูงจักรยานด้วยท่าทางอิดออด ใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกชัดว่ากำลังอาลัยอาวรณ์ถึงไม่ยอมจากไปเสียที ท้องฟ้ามืดลงทุกขณะ หากยังรั้งรอเขาเองจะกลับลำบาก เธอจึงกำชับอย่างเป็ห่วง “ฟ้ามืดแล้ว ปั่นระวังด้วยนะคะ”
ทว่าซ่งมู่ไป๋ยังคงยืนนิ่ง นานกว่าจะหยั่งเชิงถามออกมา “ฉันขอจับมือเธอได้ไหม ถึงวันนี้พวกเราจะหมั้นกันแล้ว แต่ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เื่จริงอยู่ดี”
นับั้แ่เด็กสาวยินยอมหมั้นหมาย เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน
เซี่ยโม่เองก็อยากััว่าที่ลูกพี่ผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศเช่นกัน
ชาติที่แล้ว เคยแต่เห็นภาพเขาตอนสวมแว่นกันแดดผ่านจอโทรทัศน์และตามหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น
เธอไม่เคยนำชายหนุ่มตรงหน้าไปเชื่อมโยงกับลูกพี่คนนั้นเลยสักครั้ง
แต่พอได้ทราบอีกชื่อของพี่ซ่ง ใบหน้าของเขาในชาตินี้กับชาติที่แล้วพลันซ้อนทับ เธอเองก็อยากจับมือลูกพี่ตอนสมัยยังหนุ่มเช่นกัน
เซี่ยโม่ยื่นมือขวาออกไป ก่อนสองมือใหญ่ของซ่งมู่ไป๋จะกอบกุมมือเล็กๆ ของเด็กสาวเอาไว้ ถึงแม้ทั้งคู่จะรู้จักกันได้หลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยจับมือกันมาก่อน ครั้งนี้นับเป็ครั้งแรก
เซี่ยโม่ััได้ถึงความแข็งแรงของข้อนิ้วแต่ละข้อ ฝ่ามือหนาชื้นไปด้วยเหงื่อพร้อมส่งผ่านอุณหภูมิร่างกายอันอบอุ่น ทั้งหมดนี้ทำให้เธอรู้สึกสงบและไว้วางใจ
หลายปีหลังจากนี้ มือคู่นี้จะสร้างปาฏิหาริย์มากมายที่ทำให้คนรุ่นหลังต้องตกตะลึง
สำหรับซ่งมู่ไป๋ มือของเด็กสาวนุ่มแล้วก็นิ่มมาก ฝ่ามือเล็กขยับยุกยิกอย่างซุกซนอยู่ตลอด
“ฉันรับรู้ได้ถึงมือของเธอแล้ว มือของเธอเหมือนตัวเ้าของไม่มีผิด เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ทั้งยังทำให้ฉันปวดใจ”
เซี่ยโม่ทราบดีว่ามือตัวเองนั้นผอมแห้ง ทั้งยังกระด้างกว่ามือของคนตรงหน้ามากนัก
หลายปีที่ผ่านมา เธอทำงานเหมือนเด็กผู้ชายไม่มีผิด ไม่ว่าจะไปตักน้ำ ตัดฟืน หรือซักเสื้อผ้า งานหนักเหล่านี้เธอต้องรับผิดชอบทั้งหมด ฝ่ามือจึงหยาบกร้านมาั้แ่ยังเด็ก
ลูกพี่คงััได้ ถึงได้พูดว่าปวดใจ
“พี่ซ่ง หากดูแลให้ดี มือฉันก็จะไม่หยาบอีก พี่ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอกค่ะ” เซี่ยโม่ยิ้มน้อยๆ
ทว่าซ่งมู่ไป๋กลับเอ่ยออกมาราวกับให้คำมั่นสัญญา “ในเมื่อฉันกับเธอหมั้นกันแล้ว ต่อไปงานใช้แรงภายในบ้านเดี๋ยวฉันทำเอง”
แม้เธอจะอยากให้ความอบอุ่นนี้ยังอยู่กับเธอต่อ แต่พอเห็นฟ้าเริ่มจะมืดสนิท เธอจึงดึงมือกลับ “ทราบแล้วค่ะ ต่อไปถ้ามีเื่อะไรฉันจะเรียกพี่ ตอนนี้จะค่ำแล้วพี่รีบกลับไปเถอะค่ะ”
ซ่งมู่ไป๋มองเด็กสาวอย่างอาลัยอาวรณ์ ราวกับ้าประทับภาพเธอลงไปในใจ
ตกกลางคืน เซี่ยโม่ล้มตัวนอนบนเตียง แต่ก็ไม่อาจข่มตาให้หลับได้ ชาตินี้ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้พบกับพี่ซ่งและมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน
์ช่างเมตตาเธอเหลือเกิน
ถึงแม้จะดีใจแค่ไหน แต่เธอก็ยังไม่ลืมเส้นทางที่ตัวเองต้องก้าวเดิน
นั่นก็คือการก่อตั้งเครือซูเปอร์มาร์เก็ตเฉินเฟิง เส้นทางนี้ไม่เพียงได้บริการสังคม ทั้งยังได้แสดงให้ทุกคนเห็นถึงความสามารถของเธอด้วย
แน่นอนว่าเธออยากศึกษาเื่การแพทย์ไปด้วย ในบ้านมีแต่คนชราและเด็ก หากมีใครเป็อะไรเธอจะได้ช่วยรักษาให้ได้
อนาคตเธอไม่้านั่งๆ นอนๆ รอเสพสุขกับความสุขสบายที่ลูกพี่หามาให้
เช้าวันต่อมา เซี่ยโม่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ตอนเที่ยงเธอมีนัดกับพี่ซ่ง อันที่จริงจะเรียกว่าเดตก็ไม่ผิดนัก วันนี้ต้องแต่งตัวให้สวยกว่าปกติวิสัยสักหน่อยจะได้ดูดีในสายตาเขา
เธอปั่นจักรยานไปส่งน้องชายกับสือโถวน้อยก่อนเช่นเคย ส่งเด็กชายทั้งสองคนเรียบร้อยแล้วก็ตรงไปที่โรงเรียนตัวเองต่อ
ถึงจะไม่ได้มาเรียนหลายวัน แต่เธอก็ไม่รู้สึกแปลกแยกแต่อย่างใด เวลา่เช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พอถึง่พักกลางวัน เธอขี่จักรยานออกไปนอกโรงเรียน เพิ่งจะปั่นมาถึงหน้าโรงเรียนก็ได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคย “โม่โม่ ฉันอยู่นี่”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าเ้าของเสียงคือพี่ซ่งนั่นเอง
วันนี้ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าฝ้ายบุนวมบางๆ ที่เธอสั่งตัดให้กับกางเกงสีเขียวอ่อน ส่วนรองเท้าเป็ของแจกจากหน่วยงานที่พี่ซ่งสังกัดอยู่
เขาดูดีมากทีเดียว
“พี่ซ่ง ฉันนึกว่าพี่จะไปรอที่ร้านอาหารเสียอีกค่ะ” เธอทักทายพร้อมส่งยิ้ม
“ไม่ต้องลง พวกเราไปที่ร้านอาหารกันเลยเถอะ” พูดจบชายหนุ่มก็ขึ้นคร่อมจักรยานของตัวเอง
“ค่ะ”
ทั้งคู่ขี่จักรยานมาถึงหน้าร้านอาหารของรัฐ คงเพราะ่นี้คือเวลากินข้าวของทุกคน ลูกค้าในร้านจึงเยอะเป็พิเศษ
พวกเขาเดินเข้าไปข้างในร้าน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คน พาให้เธอยืนงงทำอะไรไม่ถูก
“ตามฉันมา” ซ่งมู่ไป๋เป็ฝ่ายเอ่ยขึ้นมา ก่อนจะเดินนำเธอผ่านผู้คนมากมายที่นั่งกินอาหารไปยังทางแคบๆ ที่เชื่อมไปถึงด้านหลังร้าน
เมื่อเดินตามไปก็ได้พบกับสถานที่สุดพิเศษ
ห้องนี้ตั้งอยู่ด้านข้างของตัวร้าน ภายในห้องสว่างและกว้างขวาง มีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง บนโต๊ะจัดวางจาน ชาม และตะเกียบที่สะอาดสะอ้านพร้อมใช้
เธอรู้ในทันที นี่คือห้องอาหารส่วนตัว
“พี่รู้จักคนในนี้เหรอคะ หรือว่าจ่ายเงินจองไว้?” เซี่ยโม่ถามด้วยความสงสัย
ซ่งมู่ไป๋กลับพูดแค่ว่า “เธอไม่ต้องไปสนใจเื่ไร้สาระพวกนั้นหรอก ฉันแค่อยากกินข้าวเงียบๆ กับเธอสองคน ทั้งหมดนี้ฉันตั้งใจเตรียมไว้ให้เธอ ฉันอยากให้เธอมีความสุขแบบนี้ไปตลอด”
ว่าที่ลูกพี่รู้จักเอาอกเอาใจเธอด้วย?
“พี่ซ่ง พี่ดีกับฉันจัง”
“ฉันอยากจะพูดั้แ่เมื่อวานแล้วว่า เธอควรเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกฉันได้แล้ว”
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ มองคนตรงหน้าอย่างงุนงง “แล้วจะให้ฉันเรียกพี่ว่าอะไรคะ”
“ถ้ามีคนอยู่ด้วยก็ให้เรียกฉันว่าพี่ซ่ง แต่ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย เรียกชื่อฉันก็พอแล้ว”
ใบหน้าเซี่ยโม่ขึ้นสีแดงทันควัน เธอหรือจะกล้าเรียกชื่อเขาแบบห้วนๆ ถึงจะหมั้นหมายกันแล้วแต่อีกฝ่ายก็โตกว่าหลายปี
“พี่ซ่ง พี่อย่าทำให้ฉันลำบากใจสิคะ” เธอกล่าวอย่างเก้อกระดาก
ซ่งมู่ไป๋ถอนหายใจ เด็กสาวคงยังไม่ค่อยคุ้นกับเขานัก เช่นนั้นรออีกสักสองสามปีค่อยว่าเื่นี้อีกทีก็แล้วกัน
เขายิ้มอย่างคนใจกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยหัวข้ออื่น “งั้นก็ช่างเถอะ น่าเสียดายที่เมื่อวานฉันไม่มีของหมั้นให้เธอ”
เดิมทีเซี่ยโม่นึกว่าชายหนุ่มจะมอบของหมั้นชดเชยในอีกหลายปีหลังจากนี้ นึกไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปได้แค่คืนเดียวพี่ซ่งก็เตรียมให้เสร็จสรรพ
เธอรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง ก่อนจะถามอย่างตื่นเต้น “คืออะไรเหรอคะ ดอกกุหลาบ ช็อกโกแลต หรือว่าแหวน”
“อะไรนะ?” ซ่งมู่ไป๋ชะงักก่อนจะขมวดคิ้ว
ครั้นโดนถามถึงค่อยได้สติกลับคืน เมื่อครู่เธอตื่นเต้นเกินไปเลยหลุดพูดชื่อสิ่งของที่ใช้เป็ของหมั้นในชาติที่แล้วออกมา
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่พูดไปเรื่อย พี่จะให้ของขวัญอะไรฉันเหรอคะ”
ซ่งมู่ไป๋หยิบห่อผ้าลายตารางซึ่งถูกซักจนสีซีดจางออกมา ข้างในห่อผ้าคือกล่องไม้ที่ฉลุลวดลายสวยงาม ทั้งยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ
เธอพอมีความรู้เื่ประเภทของไม้อยู่บ้าง ถ้าเดาไม่ผิดกล่องไม้กล่องนี้น่าจะทำจากไม้จันทน์แดง
ทันทีที่พี่ซ่งเปิดกล่องออก จึงเห็นว่าด้านในมีผ้ากำมะหยี่คลุมทับไว้อีกชั้น เมื่อเลิกผ้ากำมะหยี่ขึ้น กำไลหยกลายหงส์เคียงัพลันปรากฏสู่สายตา
ตัวกำไลหยกมีสีเขียวใส เมื่อต้องแสงแดดจะสะท้อนแสงสีเขียวออกมา เซี่ยโม่อุทานอย่างตกตะลึง “นี่มันหยกจักรพรรดินี่!”
