เฉิงซีซานในเมืองหลวงราชวงศ์ต้าเหยียน เป็ที่ตั้งคฤหาสน์ตระกูลเจิ้งแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน
ตระกูลเจิ้งแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน ไม่เพียงแต่เป็ตระกูลเก่าแก่ดั้งเดิมที่ช่วยราชวงศ์ต้าเหยียนบุกเบิกดินแดนขยายอาณาเขตเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเป็ตระกูลบ้านเดิมของฮองเฮาและฮองไทเฮา องค์ปัจจุบันของราชวงศ์ต้าเหยียนอีกด้วย ตระกูลใหญ่ที่ควบถึงสองตำแหน่งของราชวงศ์ จึงยิ่งใหญ่ศักดิ์ฐานะสูงส่ง เรียกได้ว่าเป็ตระกูลเปี่ยมอำนาจแห่งยุคของราชวงศ์ต้าเหยียนเลยทีเดียว
อำนาจอิทธิพลตระกูลเจิ้งมิได้อยู่แค่ในยุทธภพเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราชสำนัก เจิ้งเวยอู่ผู้นำตระกูลเจิ้งที่รั้งตำแหน่งราชครูประจำราชวงศ์ ก็คือบิดาของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน พระสัสสุระ[1] ของพระจักรพรรดิเหยียนตี้ เจิ้งเวยอู่มีบุตรชายหกคน บุตรชายสามคนดำรงตำแหน่งระดับสูงในราชสำนัก บุตรชายสามคนดำเนินกิจการการค้าของตระกูล ทั้งหมดล้วนเป็กำลังสำคัญของตระกูลเจิ้ง
แน่นอน ความแข็งแกร่งของตระกูลเจิ้งยังเป็เพราะว่าตระกูลมีพลังการต่อสู้ที่เข้มแข็งยิ่งนัก ตำนานเล่าขานว่าบรรพบุรุษของตระกูลเจิ้งมีพระนิพพานแล้ว บรรลุขอบเขตจักรพรรดิา ในเวลาเดียวกันตระกูลเจิ้งมียอดฝีมือระดับราชันาจำนวนมาก เล่าลือกันว่าหลานชายของราชครูเจิ้งเวยอู่ได้สมัครเป็ศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญา แม้แต่ในราชวงศ์ต้าเหยียนก็ยังเป็ผู้มีเกียรติยศสูงส่งอย่างยิ่ง
ใต้หล้าทุกคนทราบดีว่าในแผ่นดินใหญ่นี้ อำนาจสูงสุดหาใช่สำนักราชวงศ์ไม่ แต่เป็สามอาณาจักรมหาจักรพรรดิและสี่สำนักใหญ่แปดมหานิกาย ในระหว่างบรรดาสำนักราชวงศ์นับพันนับหมื่น อย่างน้อยมากกว่าครึ่งหนึ่งของสำนักราชวงศ์ล้วนต้องพึ่งพาอาศัยเหล่าบรรดาสำนักและนิกายต่างๆ ดังนั้นทุกๆ ปีจึงมีการพระราชทานสิ่งของต่างๆ แก่บรรดาสำนักใหญ่และนิกายชั้นนำต่างๆ เหล่านี้ แต่ละสำนักใหญ่และมหานิกายต่างๆ ได้กลายเป็ผู้นำสูงสุดของเหล่าบรรดาสำนักราชวงศ์โดยปริยายอย่างกลายๆ
ณ ห้องโถงหลักขนาดใหญ่ตระกูลเจิ้ง สีหน้าเจิ้งเวยอู่มืดทะมึน สายตามองชายชุดดำสวมหน้ากากภูตผีที่คุกเข่าหน้าห้องโถงอย่างเ็า กล่าวเสียงเฉยเมยเ็าว่า “ป้ายิญญาของลูกสามแตกสลายแล้ว เ้าไม่สามารถหาสาเหตุได้ ตอนนี้ป้ายิญญาของเจิ้งหงก็แตกสลายแล้วเช่นกัน เ้ารับหน้าที่ดูแลข่าวสารของตระกูล แต่กลับมิมีข่าวสารใดๆ เลยแม้แต่น้อย ข้ายัง้าเ้าเอาไว้ทำสิ่งใด?”
“เป็ความบกพร่องในหน้าที่ของผู้น้อยเอง ขอนายท่านได้โปรดให้โอกาสข้าอีกครั้ง” ชายชุดดำกล่าวขึ้นอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง
“ฮึ หากมิใช่เวลานี้กำลัง้าใช้คน เ้าคงไปเฝ้าพิทักษ์เหมืองูเาที่เทือกเขาเยือกแข็งเนิ่นนานแล้ว!” เจิ้งเวยอู่ยกม้วนเอกสารในมือโบกไปมา หัวเราะเสียงเ็ากล่าวว่า “การตายของคุณชายสามอาจเกี่ยวข้องกับตระกูลจ้านในเมืองมู่เหย่อันใด เื่ที่เกี่ยวข้องกับป่าสัตว์อสูร สถานการณ์ไม่ละเอียดชัดเจน…ผายลมสุนัข มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลจ้านก็คือมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลจ้าน เป็ไปได้อันใด สถานการณ์ไม่ละเอียดชัดเจนอันใด หากไม่ละเอียดชัดเจน เ้ามิรู้จักไปตรวจสอบหรือ? เื่ใดๆ ล้วนต้องให้ข้าทำเองทุกอย่าง เช่นนั้นยัง้าสวะไร้ประโยชน์อย่างพวกเ้าเหล่านี้ทำไม ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไป เ้าไปดำเนินการกับทุกคนภายใต้สังกัดให้เรียบร้อย ตระกูลเจิ้งเรามิ้าสวะไร้ประโยชน์”
“ไม่ว่าตระกูลจ้านจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของอวี้ฟูหรือไม่ เพียงเพราะพวกเขาปกป้องนางคนดื้อรั้นนั่น ตระกูลจ้านนี้ก็มิจำเป็ต้องดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังมิได้ข่าวของ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" จึงมิอาจแข็งกร้าวรุนแรงเกินไป เพื่อป้องกันกรณีปลาตายอวนขาดเสียหายทั้งสองฝ่าย แต่ก็มิอาจปล่อยให้ตระกูลจ้านดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขเช่นนี้ ข้าได้ข่าวว่าใน่หลายปีนี้เม็ดโอสถหลายขนานที่ตระกูลจ้านวางขายได้รับความนิยมยิ่งนัก เช่นนั้นข้าก็ทำให้พวกมันหมดสิ้นหนทางทำมาหากิน ข้า้าดูว่าพวกเขาจะยินยอมสูญเสียรากฐานเก่าแก่อายุกว่าร้อยปีเพื่อเห็นแก่นางคนดื้อรั้นนางหนึ่ง หรือว่ายินยอมรับตอบสนองเงื่อนไขของพวกเรา” เจิ้งเวยอู่แค่นเสียงเ็า
“ผู้น้อยทราบแล้ว เชื่อว่าหากได้รับความกระทบกระเทือนจากอิทธิพลของตระกูลเจิ้ง สามารถทำให้ตระกูลจ้านเคลื่อนไหวยากลำบากขึ้นโดยสมบูรณ์ พวกเราจะส่งคนไปเพิ่มที่ป่าสัตว์อสูรให้มากขึ้นหรือไม่ ครั้งนี้คุณชายสองระดมยอดฝีมือจากเมืองใกล้เคียงทั้งหมดไปชุมนุมกันที่เมืองมู่เหย่ คล้ายดั่งเป็เพราะเื่ของป่าสัตว์อสูรเช่นกัน มิทราบว่าเกิดเื่ใดขึ้นที่นั่นกันแน่ และเมื่อครู่…”
“เ้าส่งคนลอบเข้าไปในเมืองมู่เหย่อย่างลับๆ ดูว่าเกิดเื่ใดขึ้นที่นั่นกันแน่ ถ้ามีเื่ใหญ่เกิดขึ้นที่ป่าสัตว์อสูรจริงๆ พวกเราก็ต้องมีวิธีการรับมือด้วย ป้ายิญญาของอาหงเพิ่งแตกสลายเมื่อครู่นี้ ข้ากังวลใจว่าจะมีเกิดเื่ขึ้นกับหย่งเอ๋อร์ ในเมืองมู่เหย่ไม่น่าจะมีกลุ่มอำนาจใดกล้าปฏิบัติต่อตระกูลเจิ้งเช่นนี้ ข่าวสารจากหย่งเอ๋อร์ก่อนหน้านี้ไม่ได้ระบุว่ากลุ่มอำนาจใดมีข้อพิพาทกับพวกเรา แต่หลายวันก่อน ทั้งอวี้ฟูและหย่งฟูระดมคนชั้นสูงจำนวนมากเดินทางไปที่เมืองมู่เหย่ กระตุ้นความสนใจจากตระกูลหลิ่วและตระกูลเจิงขึ้นมาแล้ว ตระกูลตัวเรือดตัวไรสองตระกูลนี้ ถ้ามิใช่เพราะฝ่าาเกรงว่าตระกูลเจิ้งเราจะเป็ใหญ่อยู่เพียงตระกูลเดียว ทั้งคอยปกป้องดูแลพวกมันอยู่เสมอ เ้าควรจัดการกวาดล้างพวกมันไปเนิ่นนานแต่แรกแล้ว”
“ผู้น้อยเข้าใจ!” ชายชุดดำพยักหน้าด้วยความเคารพ
“ข้า้ารู้ข่าวนางหัวดื้อรั้นนั่น เ้าต้องให้ความสนใจมากขึ้น ยังมีหลานนอกผู้นั้นอีกคน นี่คือจุดอ่อนเพียงหนึ่งเดียวของนาง ถ้าหากเป็ไปได้ ข่าวของ "เคล็ดวิชาจักรพรรดิเหมันต์" ยังคงต้องเริ่มจากหลานนอกคนนี้ จำไว้ห้ามทำร้ายถึงชีวิตอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นด้วยอุปนิสัยของนางหัวดื้อรั้นนั่น คงจะปลาตายอวนขาดเสียหายทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน……”
“ท่านพ่อ…มิดีแล้ว!” เสียงร้อนรนเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะการพูดจาของเจิ้งเวยอู่
“เื่อันใดถึงใขนาดนี้?” สีหน้าเจิ้งเวยอู่แปรเปลี่ยน ตวาดถามขึ้น
“พี่รอง ป้ายิญญาของพี่รองแตกสลายแล้ว…” ชายวัยกลางคนทะยานเข้าห้องโถงอย่างร้อนรนพูดขึ้น
“อะไรนะ?” ดวงตาเจิ้งเวยอู่ปรากฏเจตนาฆ่าสุดเกรี้ยวกราด ถึงแม้เมื่อครู่เขาจะเดาว่าเจิ้งหย่งฟูอาจเป็อันตรายได้ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้นป้ายชีวิตก็แตกสลายแล้ว เจิ้งหย่งฟูก็เสียชีวิตแล้ว หลังจากเจิ้งหงเสียชีวิตหนึ่งวัน…
“ข้า้าทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเ้าผู้ใดสามารถบอกข้าได้บ้าง?” เจิ้งเวยอู่โบกมือคราหนึ่ง พลันอากาศภายในห้องโถงเคลื่อนไหวเชื่องช้าหนักเหมือนปรอทขึ้นมาทันที เก้าอี้ไท่ซือ[2] ทำจากไม้เถี่ยหลีมู่ของหานซานสลายกลายเป็ผงธุลีกองหนึ่ง ดุจดั่งผุพังก็ปาน
ชายชุดดำเงียบกริบดั่งจักจั่นเหมันตฤดู “โครม……” ชายชุดดำกำลังคิดจะพูด กลับถูกเจิ้งเวยอู่เตะออกเท้าหนึ่งกระเด็นออกจากห้องโถงใหญ่
“ไปตรวจสอบให้ข้า หากไม่มีคำตอบก็หิ้วศีรษะกลับมาหาข้า มิว่าผู้ใดทำให้หย่งเอ๋อร์ตาย ข้าจะให้พวกมันร่วมฝังเก้าชั่วโคตร!” เจิ้งเวยอู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ชายชุดดำเช็ดเืที่มุมปากอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าอยู่ต่อ แสดงความเคารพคารวะรับคำคราหนึ่งแล้วจากไป
……
สามชั่วโมงก่อน ณ ป่าสัตว์อสูร
จ้านอู๋มิ่งมุ่งหน้าตลอดทาง เหมือนเดินเล่นทอดน่องอยู่ในสวนดอกไม้หลังบ้านตนเองก็มิปาน สัตว์อสูรที่มาก่อกวนไม่มีแม้แต่ตัวเดียว แต่หลิ่วหว่านอวี๋มักรู้สึกว่ามีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ยากทนทานชนิดหนึ่ง ในที่สุดสรุปว่าจ้านอู๋มิ่งคนนี้ที่มิโดดเด่นและี้เีเกินไปแล้ว มิได้อาบน้ำให้สัตว์อสูรนกกระจอกสีขาวของเขา ดังนั้นร่างสัตว์อสูรนกกระจอกสีขาวจึงมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ยากจะทนยิ่งนัก สัตว์อสูรนกกระจอกสีขาวเองก็คล้ายดั่งอึดอัดไม่สบายตัว ทุกคนได้แต่บีบจมูกเดินตามจ้านอู๋มิ่ง สำหรับเื่ที่ไม่มีสัตว์อสูรมาก่อกวน ได้แต่สรุปว่าเพราะระดับคุณภาพพลังของคนอื่นๆ ดีขึ้นมาแล้ว
ทิศทางที่จ้านอู๋มิ่งมุ่งหน้าไปแทบจะเป็แนวเส้นตรง ตลอดการเดินทางแม้แต่การตรวจสอบก็ยังไม่มี ทำให้ทุกคนสงสัยเป็อย่างยิ่ง นี่คือการติดตามพวกเดนตายที่เหลือของตระกูลเจิ้งหรือ? ไฉนจึงดูเหมือนรู้จุดหมายปลายทางอยู่แล้วก็มิปาน ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกสงสัยเป็ที่สุด จ้านอู๋มิ่งก็แค่กำลังหลอกเล่นตลกกับทุกคนเท่านั้นเอง เพราะเขาเฉยเมยขาดความรับผิดชอบมากเกินไป ตลอดทางจ้านอู๋มิ่งกลับเป็เหมือนหมอดูก็ปาน เสแสร้งแกล้งพูดว่า “น้องหว่านอวี๋ พี่เห็นโครงสร้างกระดูกสวยงามของเ้า สง่าราศีเหนือผู้คน คิ้วเรียวยาวเหมือนจันทร์เสี้ยว เป็ลักษณะของผู้มีโชคลาภวาสนาสูงส่ง แต่ลานตรงกลางสั้นไปหน่อย กลับทำให้่เยาว์วัยประสบทุกข์ยากมีปัญหาอยู่บ้าง ต้องใกล้ชิดรวมกลุ่มกับผู้มีราศีชนชั้นสูงอย่างข้าให้มากไว้ จึงจะสามารถแปรเปลี่ยนทุกข์ให้เป็วาสนาได้ รับโชคลาภวาสนาอายุขัยยั่งยืนยาว…”
จ้านอู๋มิ่งพูดยิ่งลึกลับแปลกขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพูดยิ่งเหมือนไม้วิเศษกายสิทธิ์ สุดท้ายก็พูดตนเป็เหมือนผู้ช่วยกอบกู้โลกให้อยู่รอด การปรากฏตัวขึ้นของตนก็เพื่อมาช่วยเหลือหลิ่วหว่านอวี๋ก็มิปาน หลิ่วหว่านอวี๋ขุ่นข้องรำคาญแล้ว ยื่นหมัดหนักๆ อีกชุดหนึ่งให้ ถึงแม้จ้านอู๋มิ่งจะไม่มีจิติญญาแห่งการต่อสู้ แต่ิักลับหนายิ่ง แค่กุมศีรษะปล่อยให้ท่านทุบตีตามสบาย หลังจากการต่อสู้กลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดิม คุณหนูหลิ่วเสียอีกที่เหน็ดเหนื่อยจนหายใจหอบ สุดท้ายก็ได้แต่ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว
มีเพียงเหยียนควนเท่านั้นที่ได้ยินสิ่งที่จ้านอู๋มิ่งพูดแล้ว สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็แปลกใจยิ่งนัก เขาคิดจะพูดแต่ก็หยุดไว้ เขาเห็นหลิ่วหว่านอวี๋ั้แ่เล็กจนเติบใหญ่ สิ่งที่จ้านอู๋มิ่งพูดมาทั้งหมดเมื่อครู่ คล้ายกับชะตาชีวิตของคุณหนูที่ทำนายโดยชายแปลกหน้าผู้หนึ่งในตอนนั้นมาก
“เ้าไม้วิเศษกายสิทธิ์หน้าเหม็นผู้นี้ เ้าจะพาพวกเราไปไหนกันแน่? พวกเราไล่ตามกันมาหนึ่งวันเต็มแล้ว ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนตระกูลเจิ้ง” หลิ่วหว่านอวี๋หงุดหงิดรำคาญขึ้นมาแล้ว จ้านอู๋มิ่งมีที่ไหนเหมือนกำลังไล่ล่าติดตามคน นี่มันก็คือการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ป่าเขาลำเนาไพรดีๆ นี่เอง
“เฮอะ เ้าวางใจ พวกเรามีเ้าหมอนี่ ไล่ล่าติดตามคนไม่มีผิดพลาดแน่นอน” จ้านอู๋มิ่งยิ้มลึกลับคราหนึ่ง ผิวปากขึ้นครั้งหนึ่ง สัตว์อสูรตัวน้อยโผล่ออกมาจากไม่ไกลนัก หน้าเป็สุกร ลำตัวเป็สุนัข ตัวเล็กกะทัดรัดมาก
“สัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้…” หลิ่วหว่านอวี๋และพวกเหยียนควนกับคนอื่นๆ อุทานขึ้นด้วยความแปลกใจ พวกเขาเพียงแต่เคยได้ยินว่ามีสัตว์ประหลาดเช่นนี้อยู่ในโลก ร่างกายสุนัขผสมผสานใบหน้าสุกร สามารถติดตามร่องรอยนับพันลี้แม่นยำดุจจับวาง แต่กลับไม่เคยเห็นสัตว์อสูรนี้มาก่อน ไม่คิดว่าในมือจ้านอู๋มิ่งกลับมีอยู่ตัวหนึ่ง พวกเขามิมีข้อสงสัยใดๆ อีกต่อไป ในป่าสัตว์อสูรคิดจะหลบหนีการติดตามของสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ แทบจะเป็ไปไม่ได้เลย เว้นแต่อีกฝ่ายจะมีพลังบ่มเพาะเหนือกว่าจักรพรรดิา สามารถเคลื่อนกายนับพันลี้ในชั่วพริบตา
“น่ารักมาก!” ปกติหญิงสาวตัวเล็กๆ มักจะมีสัญชาตญาณความรักของมารดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสัตว์ตัวน้อยๆ ที่หาได้ยากยิ่งและน่ารักมากบางชนิด
“อย่าไปรบกวนการติดตามของมัน” จ้านอู๋มิ่งเห็นหลิ่วหว่านอวี๋เอื้อมมือจะไปอุ้มสัตว์อสูรแสวงหาควันพันลี้ จึงพูดดุขึ้นด้วยอารมณ์ที่มิค่อยดีนัก จากแล้วบ่นพึมพำว่า “เป็เด็กที่มิรู้จักโตจริงๆ เลย”
“เ้าพูดว่าผู้ใดมิรู้จักโต? เ้าพูดว่าผู้ใดเป็เด็ก? คุณหนูอย่างข้าปีนี้อายุสิบหกแล้ว!” หลิ่วหว่านอวี๋พูดอย่างขุ่นข้องรำคาญ
“ดูแล้ว เ้าไม่ทราบว่าข้าคือคุณชายไม้วิเศษกายสิทธิ์หรือ?” จ้านอู๋มิ่งค่อนข้างพึงพอใจหลิ่วหว่านอวี๋ดุด่าเขาว่าเป็คุณชายไม้วิเศษกายสิทธิ์ พูดอย่างดูแคลนว่า “ไม้วิเศษกายสิทธิ์นี้ยังเห็นคิ้วซ้ายของคุณหนูหลิ่วกางออก เห็นได้ชัดเจนว่าเป็่ชะตาหงหลวนซิง[3] มีคนเสนอเื่มงคลแล้วและสีปลายจมูกคุณหนูหลิ่วก็ไม่สม่ำเสมอ จะเห็นได้ว่าไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มุมแก้มคุณหนูหลิ่วสว่างใส เห็นชัดว่าเป็ลักษณะปรารถนาทลายกรงขังออกมา ดูแล้วการเดินทางมาป่าสัตว์อสูรของน้องสาวแสนดีของข้าครั้งนี้ยังคงเพราะเจตนาหลบเลี่ยงการแต่งงานนั่นเอง”
“อา…” พอจ้านอู๋มิ่งพูดออกมา หลิ่วหว่านอวี๋ตะลึงงันในทันใด จ้านอู๋มิ่งสามารถเจาะลึกเข้าไปในความคิดของนางอย่างง่ายดาย เื่ราวนี้แม้แต่คนตระกูลหลิ่วก็ยังทราบกันไม่กี่คน จ้านอู๋มิ่งที่เป็คนนอกคนหนึ่งทราบเื่นี้ได้อย่างไร?
“เ้า เ้าคงไม่ใช่ไม้วิเศษกายสิทธิ์จริงๆ ใช่หรือไม่?” หลิ่วหว่านอวี๋มองไปที่จ้านอู๋มิ่งด้วยความสับสน สายตาแลดูซับซ้อนและคาดหวังอยู่บ้าง
จ้านอู๋มิ่งยิ้มๆ อย่างลึกลับ “คุณชายข้าเคยพูดไว้ว่าสามารถมองทะลุเห็นชะตาชีวิตของผู้อื่นได้ แต่มันสิ้นเปลืองจิตสมาธิมากเกินไป หากมิใช่เพราะเห็นแก่น้องหลิ่วเรียกข้าว่าท่านพี่แสนดีละก็ ข้าี้เีเกินไปที่จะช่วยทำนายให้เ้า…”
“คุณชายจ้านเป็คนแปลกพิสดารจริงๆ ไม่คาดคิดว่าข้าเหยียนเหม่า[4] กลับได้พบกับยอดคนอาจารย์หมอดูดวงชะตาผู้ลึกลับที่สุดในใต้หล้า ณ ป่าสัตว์อสูรแห่งนี้ สิ่งที่คุณชายพูดมาทั้งหมดเมื่อครู่ มีเื่เช่นนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ดวงชะตาทั้งหมดที่คุณชายทำนายทายทักให้คุณหนู สิบกว่าปีที่แล้วมีผู้ยอดคนผู้ลึกลับท่านหนึ่งเคยชี้แนะมาก่อน ไม่คิดว่าคุณชายอายุเยาว์วัยเช่นนี้ กลับบรรลุขอบเขตของนักพยากรณ์ชะตาชีวิตแล้ว” เหยียนควนรู้สึกเคารพอย่างเคร่งขรึมจริงจัง แสดงการคารวะอย่างจริงใจต่อจ้านอู๋มิ่งครั้งหนึ่ง
จ้านอู๋มิ่งกลับยักไหล่ พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านอาเหยียนมิต้องทำเช่นนี้ ข้าก็ทราบเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ยังมิใช่นักพยากรณ์ชะตาจริงๆ เสียหน่อย เพียงแต่ว่าได้เห็นน้องสาวหว่านอวี๋แล้วจิตใจพอจะััรับรู้ได้บ้าง จึงพูดจาเพ้อเจ้อไปเท่านั้นเอง”
“ท่านอาควน หรือว่าสิ่งที่ไม้วิเศษกายสิทธิ์นี้พูดมาก่อนหน้านี้เคยมีคนพูดไว้แล้ว?” หลิ่วหว่านอวี๋ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“มิผิด เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วนั้น เคยมีชายแปลกพิสดารคนหนึ่ง เนื่องจากผู้นำตระกูลได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ดังนั้นเขาจึงทำนายทายทักให้ตระกูลหลิ่วครั้งหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ได้ดูดวงชะตาชีวิตให้คุณหนูด้วย คนผู้นั้นเคยพูดว่าภายในยี่สิบปีจะเกิดคราวเคราะห์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ในตระกูลหลิ่ว หากวิถี์มิมีการเปลี่ยนแปลง อาจถึงคราววิบัติจนดับสูญสิ้นสลาย หากเจตนาฟ้ามีข้อบกพร่อง หรือสามารถได้รับโอกาสวาสนาครั้งหนึ่ง อาจสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้ และเจริญรุ่งเรืองดุจเหินบินคราเดียวทะยานสู่นภากาศ พรั่งพร้อมด้วยเกียรติยศชื่อเสียง ดวงชะตาชีวิตคุณหนูนั้นสูงส่ง เกิดมาเพื่อเกียรติยศความรุ่งเรือง แต่ต้องผ่านพ้นคราวเคราะห์ก่อนแล้วจึงจะสามารถบรรลุ ถ้าหากสามารถผ่านพ้นคราวเคราะห์ภัยพิบัติครั้งนี้พร้อมกับตระกูลได้ จะเจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองสุดเปรียบปาน อายุขัยยืนยาวจนอธิบายมิได้”
สีหน้าจ้านอู๋มิ่งแปรเปลี่ยนเล็กน้อย อดที่จะถามไม่ได้ว่า “ไม่รู้ว่าท่านอาเหยียนยังจำชื่อคนผู้นั้นได้หรือไม่?”
“เื่นี้ไม่ทราบ เนื่องเพราะผู้นำตระกูลเคารพท่านผู้นั้นยิ่งนัก ต้อนรับขับสู้ด้วยตนเองทุกอย่าง ข้าทราบเพียงว่าคนนั้นแซ่โม่”
“แซ่โม่?” ภายในดวงตาจ้านอู๋มิ่งเปล่งประกายเย็นเยียบสายหนึ่ง ลอบคำนึงในใจ “โม่เทียนจี ในที่สุดคนที่เกี่ยวข้องกับข้าได้ออกมาแล้ว”
[1] พ่อตา
[2] เก้าอี้ที่มีที่เท้าแขน
[3] ดาวนกวิเศษสีแดง
[4] เหม่า คือการแทนตัวเอง เหยียนเหม่าคือผู้แซ่เหยียน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้