เมื่อหลิ่วถงแนะนำเสร็จ หลิ่วอู่พลันตะลึงวูบหนึ่งก่อนกุมท้องหัวเราะลั่น
เฉียวรุ่ยเห็นหลิ่วอู่มีท่าทางเช่นนั้นก็ถูกเสียงหัวเราะนั่นทำให้ตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้ผิดปกติตรงไหน ทำไมอยู่ดีๆ ถึงหัวเราะขึ้นมาเอง
“ฮ่าๆๆ ข้าก็คิดอยู่ว่าเ้าขยะน้อยเก็บตัวฝึกฝนสามปี ไหนจะวิ่งออกไปฝึกวิชาข้างนอกอีกครึ่งปีจะก้าวหน้าสักเท่าไร? ที่แท้ก็เป็ขยะเช่นนี้เอง ถึงกับหิ้วบุรุษสองเพศผู้ชายก็ไม่ใช่ผู้หญิงก็ไม่เชิงคนหนึ่งกลับมาเป็คู่หมั้นเสียอย่างนั้น!” หลิ่วอู่ทำสีหน้าดูแคลน ชำเลืองมองเฉียวรุ่ย ภรรยาของเ้าขยะเหมือนมองขยะกองหนึ่ง
“เ้า? เ้าพูดอะไร?” เฉียวรุ่ยได้ยินดังนั้น ใบหน้าถมึงทึงทันที
ที่แท้เ้าขยะน้อยในคำพูดของอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้อื่น แต่เป็เทียนฉีงั้นหรือ?
หลิ่วอู่ชำเลืองมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าถมึงทึง ตาขวางมองตนอย่างโกรธเกรี้ยวก็เบ้ปากอย่างรังเกียจ
“ทำไม ข้าพูดผิดหรือ? บุรุษสองเพศที่ทั้งชีวิตก็ให้กำเนิดทารกไม่ได้อย่างเ้า แต่งให้หลิ่วเทียนฉีเ้าขยะคนนั้น จะให้พูดอะไรนอกจากพวกเ้านี่สมน้ำสมเนื้อกันจริงเชียว! ฮ่าๆๆๆ...”
กล่าวได้ว่าคำพูดของหลิ่วอู่ แทงลงกลางดวงใจของเฉียวรุ่ยอย่างแรง
ในแคว้นจินอวี่มีคำกล่าวแต่โบราณว่า ‘สิบบุรุษสองเพศเก้าไร้ทายาท’ หมายถึง ความสามารถในการให้กำเนิดของบุรุษสองเพศนั้นต่ำเตี้ย หากมีบุรุษสองเพศสิบคน เก้าคนทั้งชีวิตจะให้กำเนิดบุตรไม่ได้ ต้องสิ้นไร้ทายาท ฉะนั้นในแคว้นจินอวี่ บุรุษสองเพศจึงมีฐานะจึงต่ำต้อย เป็ได้แค่อนุของผู้อื่น น้อยนักจะเป็ภรรยาเอก ต่อให้เป็ครอบครัวที่ยากจน ส่วนมากก็ไม่ยินดีสู่ขอบุรุษสองเพศมาให้สิ้นตระกูลเช่นกัน
ให้กำเนิดบุตร เป็คำต้องห้ามของเฉียวรุ่ยมาตลอด ยิ่งหลิ่วเทียนฉีดีกับตนเท่าไร เฉียวรุ่ยก็ยิ่งกลัวจะให้กำเนิดบุตรไม่ได้ ถึงคราวนั้นเทียนฉีคงไม่ดีกับเขา ตบแต่งผู้หญิงอื่น เป็ความกังวลลับๆ ที่ซ่อนอยู่ในใจเสมอมา เขาไม่กล้าเอ่ยถึงและหวาดกลัวที่จะถูกผู้อื่นเอ่ยถึงเป็อย่างยิ่ง
“ยัยอัปลักษณ์ รนหาที่ตายนัก!” เขากัดฟันกรอด หนึ่งหมัดต่อยเข้าใบหน้างามดั่งบุปผาแย้มบานที่กำลังยิ้มอยู่
“ว้าย...” หลิ่วอู่ร้องใ รีบร้อนหมุนตัวหลบหมัดของอีกฝ่าย
“ผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงไม่เชิงอย่างเ้าถึงกับกล้าต่อยข้างั้นหรือ?”
“ต่อยเ้านั่นแหละ!” สิ้นเสียง หมัดที่สองก็ต่อยเข้าใส่อีกฝ่ายทันที
ยัยอัปลักษณ์ไม่เพียงบอกว่าตนให้กำเนิดบุตรไม่ได้ ยังกล้าเรียกเทียนฉีว่าขยะ ชั่วร้ายอย่างที่สุดโดยแท้!
“ดี เ้าตัวสิ้นตระกูลหน้าไม่อาย ข้าชักอยากตบเ้าสักฉาดจริงๆ แล้ว!” หลิ่วอู่พูดพลางตบหนึ่งฝ่ามือเข้าใส่เฉียวรุ่ย บันดาลโทสะเข้าหาเช่นกัน!
“โธ่ นายน้อยเฉียว คุณหนูห้า พวกท่านอย่าตบตีกันสิขอรับ!” หลิ่วถงที่อยู่ด้านข้างเห็นคนหนึ่งปล่อยหมัดคนหนึ่งตบฝ่ามือ โรมรันพันตูก็ได้แต่ร้อนใจ พลังของเขาต่ำจึงสู้ทั้งสองคนได้ยาก เข้าไปแยกไม่ได้จริงๆ!
หลิ่วอู่กับเฉียวรุ่ยมีระดับฝึกปราณขั้นเจ็ด เรียกได้ว่าสูสีทัดเทียม แต่เพราะเฉียวรุ่ยเคยติดตามพรานป่าขึ้นเขาล่าสัตว์ั้แ่สิบขวบ วิชาต่อสู้มือเปล่าเมื่อเทียบกับหลิ่วอู่ คุณหนูตระกูลใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีผู้นี้จึงแข็งแกร่งกว่ามากนัก และเขายังได้เพลงหมัดขั้นสองที่หลิ่วเหอมอบให้ยิ่งก้าวหน้าไม่น้อย ฉะนั้นเพียงไม่กี่กระบวนท่า หลิ่วอู่ก็ตกเป็รองอย่างเห็นได้ชัด
“ผลั่ก...”
หลิ่วอู่ถูกหนึ่งหมัดของเฉียวรุ่ยต่อยปลิวออกไป กระแทกพื้นอย่างแรง
“อั่ก...” หลิ่วอู่ก้มหน้ากระอักเืคำโตออกมาคำหนึ่ง เงยใบหน้าที่อนาถทนมองไม่ได้ขึ้น ฝืนตบพื้นลุกขึ้นมา
“เ้าคนสิ้นตระกูล เ้ารนหาที่ตายเองนะ!” หลิ่วอู่ประกบสองมือเข้าด้วยกัน ผนึกลูกบอลวารีใสลูกหนึ่งกลางฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
“นายน้อยเฉียว ระวังขอรับ!” หลิ่วถงเห็นภาพนี้ก็ส่งเสียงร้องใ
“ปัง...”
เฉียวรุ่ยยกมือโยนยันต์ะเิห้าแผ่นออกมา พอดีกับลูกบอลวารีของหลิ่วอู่ถูกโยนออกมาชนกับยันต์วิเศษ ทำให้ลูกบอลวารีะเิแตก น้ำกระจายรอบทิศสาดพรมลานกว้าง
“เ้า เ้าสารเลว!” หลิ่วอู่ถูกปลายคลื่นของะเิกระแทก โซเซถอยไปสามก้าวถึงยืนมั่นคงได้
“เ้ากล้าใช้วิชาพลังทิพย์กับข้า ข้าจะเผาเ้าให้ตายไปซะ!” เฉียวรุ่ยหรี่ตา น้ำเสียงเย็นเยียบ ในดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็พี่สาวฝั่งพ่อของเทียนฉี เฉียวรุ่ยจึงอยากให้บทเรียนอีกฝ่ายสักยกเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะกล้าใช้วิชาพลังทิพย์หมายทำร้ายชีวิตเขา แล้วจะให้ทนต่อไปได้อย่างไร?
“เผาข้าให้ตายหรือ? เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใครกัน แค่กล้าเอ่ยวาจาใหญ่โตเช่นนี้ก็นับว่าเ้าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้ว!” หลิ่วอู่พูดพลางหยิบยันต์วิเศษขั้นสองกำหนึ่งออกมา
เห็นหลิ่วอู่ทำเช่นนั้น เฉียวรุ่ยก็เอาอุปกรณ์อาคมชิ้นหนึ่งที่ซื้อมาไม่กี่วันก่อนออกมาจากในแหวนมิติโดยสัญชาตญาณ
“เก็บยันต์วิเศษเสีย วิ่งมาคลุ้มคลั่งอะไรถึงในเรือนของข้าหรือ?”
ได้ยินเสียงจากด้านหลัง เฉียวรุ่ยรีบเก็บอุปกรณ์อาคมในมือทันที
ส่วนหลิ่วอู่เห็นท่านอาสามหน้าเขียวเดินออกมาจากในห้องหนังสือก็อิดออด ก่อนเก็บยันต์วิเศษลงไป
“ท่านอาสาม!” หลิ่วอู่ก้มศีรษะรีบคำนับ
หลิ่วเหอมองหลิ่วอู่ที่จมูกเขียวหน้าบวม เปียกไปทั้งตัวทีหนึ่งก่อนหันมาหาเฉียวรุ่ยที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวรุ่ย เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม?”
“ท่านอาหลิ่วไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็ไร!”
ได้ยินคำพูดของเฉียวรุ่ย หลิ่วเหอยังคงไม่วางใจอยู่บ้างจึงมองสำรวจอีกฝ่ายั้แ่หัวจรดเท้า กระทั่งมั่นใจว่าไม่าเ็จริงๆ ถึงวางใจ
เมื่อเห็นว่าตนาเ็ ท่านอาสามกลับเมินเฉย สนใจบุรุษสองเพศคนนั้น หลิ่วอู่ก็กัดริมฝีปาก ยิ่งชิงชังเฉียวรุ่ยหนักขึ้น
หลิ่วเหอชำเลืองมองหลิ่วอู่อีกครั้งหนึ่ง
“ไม่มีธุระก็กลับไปเรือนของเ้าเสีย อย่าวิ่งมาก่อเื่ รังแกผู้อื่นถึงนี่!”
หลิ่วอู่เห็นท่านอาสามตำหนิตนอย่างรุนแรงก็ยิ่งน้อยใจ
“ท่านอาสาม ไม่ใช่ข้านะ เป็เขา เป็เขาที่ลงมือต่อยข้าก่อน!” หลิ่วอู่รีบฟ้องพลางชี้ที่จมูกตน
“หากเ้าไม่พูดวาจาไม่น่าฟังเ่าั้ ไม่บอกว่าเทียนฉีเป็ขยะ ใครจะต่อยเ้าล่ะ?” เฉียวรุ่ยมองอีกฝ่าย โต้กลับเสียงเย็นขา
ในใจคิด ‘ยัยอัปลักษณ์ช่างหน้าไม่อายเสียจริง ถึงกับกล้าเป็คนชั่วชิงฟ้องก่อน!’
“เ้า เ้า...” ได้ยินเฉียวรุ่ยเอ่ยเื่นี้ หลิ่วอู่รู้สึกเคียดแค้น ถลึงดวงตารูปเมล็ดซิ่ง1คู่นั้นจนกลม
สามปีก่อน หลังนางกับน้องหกทำร้ายเ้าขยะน้อยจนาเ็หนัก ท่านอาสามก็ไม่ต้อนรับพวกเขาพี่น้อง คราวนี้เมื่อเฉียวรุ่ยเอ่ยเื่นี้ออกมาอีก ยิ่งเป็การสาดน้ำมันลงกองเพลิง
จริงดังที่คิด เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวรุ่ย สีหน้าของหลิ่วเหอไม่น่ามองขึ้นสามส่วนทันที “ข้าว่าผ่านมาสามปี เ้าคงลืมรสชาติของแส้ิญญาไปแล้วสินะ”
“ท่าน ท่านอาสาม ข้า ข้า...”
“ไม่ต้องพูดมาก กลับไปที่เรือนของเ้าเสีย ข้าไม่อยากเห็นเ้า หลังจากนี้เ้าไม่ต้องมาที่เรือนของข้าแล้วรังแกเสี่ยวรุ่ยกับฉีเอ๋อร์อีก” หลิ่วเหอเอ่ยปากไล่แขก
“ท่านลุงใหญ่กับท่านพ่อให้ข้ามาเชิญท่านกับน้องเจ็ดไปเรือนหน้าเพื่อหารือธุระเ้าค่ะ!” หลิ่วอู่รีบเอ่ยเสียงเบา
“ข้ารู้แล้ว!”
หลิ่วอู่เหลือบมองท่านอาสามทีหนึ่ง ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่หนีหางจุกตูดกลับไป
“ท่านอาหลิ่ว คนผู้นี้มักรังแกเทียนฉีหรือ?” เห็นหลิ่วอู่จากไปแล้ว เฉียวรุ่ยจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ก่อนหน้านี้ ท่านอาหลิ่วพูดถึงสามปีก่อน หลิ่วอู่ผู้โอหังราวตางอกอยู่บนกระหม่อม2คงรังแกเทียนฉีไม่น้อย
“ใช่ สามปีก่อน หลิ่วอู่กับหลิ่วเทียนลู่ พวกเขาสองพี่น้องทำร้ายฉีเอ๋อร์จนาเ็หนัก พักรักษาตัวหนึ่งเดือนกว่าฉีเอ๋อร์ถึงหายดี” คิดถึงเื่นี้ หลิ่วเหอก็แค้นจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“น่าชังนัก!” ได้ยินอย่างนั้น เฉียวรุ่ยก็กำหมัดแน่นอย่างเคียดแค้น หากรู้ก่อนว่ายัยอัปลักษณ์น่าชังเคยรังแกเทียนฉี เขาควรต่อยให้หนักอีกสักหน่อย
หลิ่วเหอเห็นเฉียวรุ่ยโกรธเกรี้ยวอย่างยากที่จะเก็บไว้ ในใจก็ปลื้มปีติ แม้เฉียวรุ่ยชาติกำเนิดไม่ดีและเป็บุรุษสองเพศ ทำให้ภายในใจเขามีความกังวลอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นเฉียวรุ่ยทุ่มทั้งหัวจิตหัวใจปกป้องบุตรชายตนเช่นนี้ ได้ยินว่าถูกรังแกก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟ เขายิ่งรู้สึกดีต่อเฉียวรุ่ยมากขึ้น
สายตาของบุตรชายนี่ไม่เลวเลย คนที่ทุ่มใจรักให้ฉีเอ๋อร์ได้อย่างนี้สิถึงจะคู่ควร!
“เสี่ยวรุ่ย ก่อนหน้านี้ฉีเอ๋อร์พลังต่ำต้อย นิสัยใจอ่อนจึงมักถูกรังแกอยู่เสมอ แต่อาเห็นนิสัยของเ้าแข็งกร้าวกว่าฉีเอ๋อร์มากนัก หลังจากนี้ หากในจวนมีใครกล้ารังแกฉีเอ๋อร์กับเ้าอีก ไม่ต้องไว้ไมตรี สู้กลับไปได้เลย หากเกิดเื่อาจะหนุนหลังให้เ้าเอง!”
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว!” เฉียวรุ่ยพยักหน้ารับ
หลิ่วอู่สินะ? ยัยอัปลักษณ์ ข้าจำเ้าไว้แล้ว ครั้งหน้าหากมาให้ข้าเห็นอีก จะต่อยเ้าเหี้ยมๆ สักยกเลย
“หลิ่วถง ดูแลเสี่ยวรุ่ยด้วย ข้าจะไปโถงด้านหน้าเสียหน่อย!”
“ขอรับ นายท่านสาม!”
“ท่านอาหลิ่ว ระวังตัวด้วย!”
.........
โถงด้านหน้า
หลิ่วเหอเดินเข้ามาก็เห็นพี่ชายสองคนรวมถึงหลานสาวสามคนอยู่ในโถงรับแขก
“คารวะพี่ใหญ่ พี่รอง!” เขาประสานมือคำนับ แล้วค้อมกายนั่งบนที่นั่งตน
“เ้าสาม นี่เ้าเป็อะไรไปฮึ? เ้าดูสิ ลูกสะใภ้ชายไม่ใช่หญิงไม่เชิงของเ้ามาต่อยลูกสาวข้าจนเป็อย่างนี้เสียแล้ว?” หลิ่วไห่รีบบ่นทันที
“ในตระกูลหลิ่วของพวกเรา การแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างพี่น้องเป็เื่ที่มีอยู่บ่อยๆ ก่อนหน้านี้ฉีเอ๋อร์ของข้า ทุกสองสามวันก็ถูกทำร้ายจนาเ็ ไหนยังเคยาเ็หนักจวนเจียนสิ้นชีวิต ข้าน้องคนนี้หาได้เคยคิดเล็กคิดน้อยกับพี่รองเมื่อไร?” หลิ่วเหอเอ่ยเสียงเ็า ไม่สะทกสะท้านกับคำบ่น
“เ้า เ้า...” หลิ่วไห่ถูกคำพูดของหลิ่วเหออุดปากจนไปต่อไม่ถูก ชั่วขณะไม่รู้จะเอ่ยอะไร
“ใช่แล้ว แค่แลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างพี่น้องเท่านั้น น้องรอง เ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย!” หลิ่วเจียงรีบร้อนเข้ามาไกล่เกลี่ย
เฮ้อ คิดไม่ถึงเลย ก่อนหน้านี้เขาเคยใช้คำพูดนี้กล่อมน้องสาม วันนี้กลับต้องมาใช้กล่อมน้องรองอีก โชคชะตาพลิกผันจริงๆ เชียว!
“ไม่ นั่นไม่ใช่การแลกเปลี่ยนความรู้ในตระกูล เฉียวรุ่ยใช้ยันต์วิเศษกับข้า!” หลิ่วอู่เอ่ยปากอย่างไม่ยอมแพ้ ฟ้องพฤติกรรมชั่วช้าของเฉียวรุ่ย
“ใช่แล้วเ้าสาม ลูกสะใภ้ของเ้าเอายันต์วิเศษมาโยนใส่ลูกสาวข้า เป็การแลกเปลี่ยนความรู้อะไรที่ไหนเล่า? จะเอาชีวิตลูกสาวข้าชัดๆ มิใช่หรือ?” หลิ่วไห่พยักหน้าคล้อยตามคำพูดของบุตรสาวทันที
“เสี่ยวรุ่ยเอายันต์วิเศษมาโยนใส่หลิ่วอู่เพราะนางหาเื่ หลิ่วอู่วิชาหมัดเท้าสู้เฉียวรุ่ยไม่ได้จึงใช้วิชาพลังทิพย์โจมตีใส่ เสี่ยวรุ่ยเพียงหยิบยันต์วิเศษมาขวางการโจมตี หากเขาไม่ทำเช่นนั้นคงาเ็ด้วยฝีมือนางไปแล้ว นางเป็พี่สาวกลับลงมือโหดร้ายเช่นนี้ ข้าสงสัยนัก หลิ่วอู่อยากแลกเปลี่ยนวิชากับเสี่ยวรุ่ยงั้นหรือ? หรืออยากเอาชีวิตลูกสะใภ้ของข้ากันแน่?” หลิ่วเหอหรี่ตา มองไปทางหลิ่วอู่ที่อยู่ด้านหลังหลิ่วไห่
“ฮือ...” หลิ่วอู่เผชิญสายตาของหลิ่วเหอพลันรู้สึกแขนขาอ่อนยวบ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ทั้งร่างโซเซทีหนึ่งก่อนล้มคว่ำกับพื้น
“น้องสาม!” หลิ่วเจียงััได้ว่าหลิ่วเหอถึงกับใช้อำนาจกดดันหลิ่วอู่ก็ร้องอย่างใ
“เ้าสาม เ้าทำได้อย่างไร? ถึงกับปล่อยอำนาจกดดันใส่หลานสาวตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้!” หลิ่วไห่ตบโต๊ะทีหนึ่งอย่างโกรธเกรี้ยวพลางลุกขึ้นยืน
“น้องห้า!” หลิ่วซือกับหลิ่วซานร้องเรียกเบาๆ รีบร้อนพยุงหลิ่วอู่ขึ้นจากพื้น
“ท่านอาสามไว้ชีวิตด้วย ละเว้นข้าเถิด ข้าเป็หลานสาวแท้ๆ ของท่านนะ!” หลิ่วอู่ร่างสั่นระริกไม่หยุด เอนพิงอ้อมกอดของหลิ่วซือผู้เป็พี่สาวพลางอ้อนวอนไม่หยุด
“นี่เป็เพียงคำเตือนเล็กๆ เท่านั้น ครั้งหน้าถ้ารู้ว่ามีคนกล้ารังแกลูกชายกับลูกสะใภ้ของข้าอีก ข้าไม่สนว่ามันเป็ใคร ข้าจะทำลายมันเสีย ให้ทั้งชีวิตมันอย่าได้คิดที่จะฝึกฝนอีก!” หลิ่วเหอพูดจบก็เก็บอำนาจกดดันกลับ สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“เ้าสาม เ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วไห่เดินเข้ามาขวาง
“พี่รอง ท่านระดับสร้างรากฐาน่ปลาย ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!” หลิ่วเหอหรี่ตามองหลิ่วไห่ พลังอำนาจไม่ลดลง ในดวงตาร่ำๆ อยากลองสู้อยู่เต็มเปี่ยม
“ข้า...” หลิ่วไห่ได้ยินคำนี้ก็หงอทันที เขากับน้องสามห่างกันหนึ่งขอบขั้นใหญ่เชียวนะ หากลงมือ เขาต้องไม่ได้อะไรแน่
“โธ่ ล้วนเป็พี่น้องกัน นี่พวกเ้าคิดจะทำอะไร?” หลิ่วเจียงรีบร้อนลุกขึ้นมาแยกน้องชายทั้งสอง
“เฮอะ...” หลิ่วเหอแค่นเสียงหยันทีหนึ่งก็เชิดหน้าเดินจากไป
“พี่ใหญ่ ท่านดูเขาสิ เขาเหิมเกริมเกินไปแล้วไหม เขา?”
“เอาล่ะ เป็พี่น้องกันก็ช่างมันเถิด!” หลิ่วเจียงมองเ้าสองที่โกรธฮึดฮัดก็เอ่ยปลอบเสียงเบา ในดวงตาฉายแววแผนการบางอย่าง
------------------------
1 ซิ่ง (杏) ผลไม้ชนิดหนึ่ง มีสีเหลืองอมส้ม รสหวานอมเปรี้ยว ตัวผลทรงรีแต่ค่อนข้างกลม ขนาดเล็กกว่าลูกท้อ
2 เปรียบเปรยว่าหยิ่งยโส