ทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน ทั้งสองคนออกเดินทางด้วยความระมัดระวัง พิษในร่างของฉินเฮ่าถูกสะกดเอาไว้แล้ว แต่ยังไม่สามารถใช้ิญญายุทธ์ได้
ในความมืดมิดได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรจากระยะไกล สิ่งที่พวกเขาทั้งสองทำได้ในตอนนี้ก็คือก้าวเท้าให้เร็วและต้องระมัดระวังให้มาก
จากการคาดเดาของถังเหล่ย หากไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางหรือเกิดสถานการณ์ที่เกินความคาดหมาย พวกเขาสามารถไปถึงด่านซิวหลิวได้ภายในสองวัน
การเดินทางในคืนแรกผ่านไปด้วยดี เป็เพราะฉินเฮ่าพกสมบัติที่สามารถปกปิดกลิ่นอายของมนุษย์ได้
ถังเหล่ยมองเห็นเทือกเขาขนาดใหญ่จากระยะไกล ตรงกลางของเทือกเขามีช่องแคบคล้ายกับหน้าผา ด่านซิวหลัวอยู่ในช่องแคบนั้น
ด่านซิวหลัวมีผู้นำเพียงคนเดียว แต่ต่อให้เป็กองทัพที่มีคนมากกว่าหมื่นคนก็ไม่สามารถผ่านไปได้ การมีอยู่ของด่านซิวหลัวนั้นทำให้จักรวรรดิเทียนอวี่สงบสุข และไม่มีผู้ใดกล้ารุกรานพวกเขา
เส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังด่านซิวหลัวมีเพียงเส้นทางเดียว ทันทีที่ทั้งสองไปถึงเส้นทางดังกล่าว ก็มีมือสังหารมาซุ่มรอมากกว่าสิบคน
ถังเหล่ยกับฉินเฮ่าหันหลังชนกัน ถึงแม้จะมองไม่เห็นคนเ่าั้ แต่พวกเขารู้ว่าตัวเองถูกล้อมไว้แล้ว มือสังหารที่เยียนหลิงเทียนส่งมาไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปตามคาด
“ข้าอาจจะมีชีวิตรอดก็ได้ หากข้าทิ้งเ้าไว้ตรงนี้” ถังเหล่ยกล่าวเสียงต่ำ
“หากเ้ามั่นใจก็ลองดู” ฉินเฮ่ากล่าวขณะกวาดสายตาไปรอบๆ
ตอนนี้พวกเขาไม่อาจรับมือกับอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
ทันใดนั้นก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เสียงของการสู้รบดังออกมาจากความมืด ถังเหล่ยมองรอบๆ ด้วยความมึนงง
“ผู้คุมกฎหรือไม่?” ถังเหล่ยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ถังเหล่ยยังคงสับสนกับสถานการณ์ในขณะนี้ เยียนหลิงเทียนส่งมือสังหารมาที่นี่ แต่ใครตลบหลังมือสังหารเ่าั้?
“ต้องไม่ใช่หน่วยผู้คุมกฎแน่ พวกเราฉวยโอกาสหนีจะดีกว่า” ฉินเฮ่าไม่รู้ว่าใครกำลังต่อสู้กับคนที่เยียนหลิงเทียนส่งมา
แต่สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็โอกาสที่ดีในการหลบหนี ถังเหล่ยกับฉินเฮ่าวิ่งหนีอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าตรงไปยังด่านซิวหลัว
…
การต่อสู้อันดุเดือดยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มมือสังหารสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันโดยไม่หยุดพักแม้แต่ลมหายใจเดียว การต่อสู้ดำเนินต่อไปอีกหนึ่งก้านธูปเสียงของการสู้รบก็เงียบลง จากนั้นชายสวมหน้ากากเก้าคนก็ก้าวออกมาจากความมืด
“หัวหน้าพวกเราจะทำอย่างไรดี? พวกเขากำลังจะเข้าไปในด่านซิวหลัวแล้ว!” เสียงของชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังถามออกมา
คนเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับผู้ทรงยุทธ์ และหนึ่งในนั้นก็เป็ถึงยอดยุทธ์ขั้นสอง
“หม่าเทียนเจิ้งแห่งด่านซิวหลัวไม่ใช่คนที่เราจะเอาชนะได้ง่ายๆ” ยอดยุทธ์ที่เป็ผู้นำมองไปยังเส้นทางที่ถังเหล่ยและฉินเฮ่ามุ่งหน้าไป
ด่านซิวหลัวมีสถานะเป็หัวเมืองของจักรวรรดิเทียนอวี่และขุนพลที่ปกป้องด่านซิวหลัวก็คือหม่าเทียนเจิ้ง เขาคือขุนพลคนโปรดของาาอวี่
หลายปีแล้วที่หม่าเทียนเจิ้งถูกส่งมาประจำการอยู่ที่ด่านซิวหลัว ตราบใดที่เขายังอยู่ที่ด่านซิวหลัวจักรวรรดิเทียนอวี่ก็จะสงบสุขต่อไป
และในขณะนี้ถังเหล่ยมากับฉินเฮ่าซึ่งเป็คุณชายสามของตระกูลฉิน ตระกูลฉินถือว่าเป็ตระกูลใหญ่ในจักรวรรดิเทียนอวี่ และบรรพชนของตระกูลฉินหลายคนก็เป็ถึงผู้บัญชาการหน่วยผู้คุมกฎของจักรวรรดิเทียนอวี่
ฉินเฮ่ากับถังเหล่ยกำลังวิ่งมุ่งหน้าสู่ด่านซิวหลัวด้วยความเร็วสูงสุด แต่เส้นทางที่พวกเขากำลังวิ่งอยู่นั้น เป็หน้าผาปิดกั้นทั้งสองฝั่งไม่มีทางหลบหนีออกจากเส้นทางได้อีกแล้ว
หลังจากวิ่งติดต่อกันอย่างยาวนาน และเห็นว่าไม่มีผู้ใดไล่ตามมาทั้งสองคนก็ผ่อนความเร็วลงเล็กน้อย
ทันใดนั้นด้านหน้าของพวกเขาก็ปรากฏคนกลุ่มหนึ่งถือหน้าไม้ก้าวออกมาขวางหน้าถังเหล่ยกับฉินเฮ่า
“ข้าคือฉินเฮ่า ข้า้าพูดคุยกับขุนพลหม่า!” ฉินเฮ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
ขณะเดียวกันถังเหล่ยก็มีความกลัวผุดขึ้นในใจ เขาเกรงว่ากลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าจะลงมือสังหารพวกเขาทันที
ตรงกันข้ามฉินเฮ่ากลับก้าวออกไปด้านหน้าและกล่าวอย่างจริงจัง สีหน้าของเขามีความผ่อนคลายเล็กน้อยเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าสู่สถานที่ปลอดภัยแล้ว
ทันทีที่ผู้พิทักษ์เ่าั้ได้ยินคำพูดของฉินเฮ่า พวกเขาจึงลดหน้าไม้ลงอย่างรวดเร็ว
“คุณชายฉิน! ข้าก็นึกว่าคนเร่ร่อนหลงทางมาจากที่ใด” หัวหน้ากลุ่มผู้พิทักษ์รีบวิ่งเข้าไปหาฉินเฮ่าพร้อมกับแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม
“ข้าคือสหายของขุนพลหม่า ข้ามีเื่ด่วนให้เขาช่วย” ฉินเฮ่ากล่าวอย่างเร่งรีบ
หัวหน้ากลุ่มผู้พิทักษ์พยักหน้าก่อนจะนำทางถังเหล่ยและฉินเฮ่าไปยังด่านซิวหลัวเพื่อพบกับขุนพลหม่าเทียนเจิ้ง
ถังเหล่ยที่เดินอยู่ด้านหลังฉินเฮ่ากวาดสายตาไปรอบๆ ยิ่งเข้าใกล้ด่านซิวหลัวมากเท่าไรโอกาสที่จะหลบหนีก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ หลังจากเดินทางมาเป็เวลาหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดเขาก็มาถึงด่านซิวหลัว
ด่านซิวหลัวเป็เหมือนก้อนหินั์ก้อนหนึ่งที่ติดอยู่ระหว่างหน้าผาสองฝั่ง จากสายตาของเขาด่านซิวหลัวมีความสูงมากกว่าหนึ่งร้อยวา ความปลอดภัยที่นี่ถือว่าเป็เลิศ ประตูทางเข้ามีทหารเฝ้าอยู่ตลอดเวลา
ถังเหล่ยคาดการณ์ว่าทหารที่รักษาการณ์ของด่านซิวหลัวน่าจะมีประมาณหนึ่งพันคน สิ่งที่เขาเห็นในขณะนี้บ่งบอกว่าจักรวรรดิเทียนอวี่ให้ความสำคัญกับด่านซิวหลัวมากเพียงใด
หลังจากเข้าไปด้านในของด่านซิวหลัวแล้ว กลุ่มทหารที่นำทางมาก็หยุดเดินทันที หัวหน้ากลุ่มผู้พิทักษ์หันกลับมาแล้วกล่าวว่า
“ข้ามาส่งท่านได้เพียงเท่านี้ ขุนพลหม่ารอท่านอยู่ในหอคอย ไม่ต้องเป็ห่วงพวกเขาจะดูแลท่านเป็อย่างดี ท่านคือแขกคนสำคัญของพวกเรา”
ฉินเฮ่าพยักหน้าตอบรับ เขาเคยมาที่นี่บ่อยครั้ง
ถังเหล่ยกับฉินเฮ่าเดินหน้าเข้าสู่อาคารหลักและขึ้นบันไดไปจนถึงจุดสูงสุดของด่านซิวหลัว จากมุมนี้สามารถมองเห็นอีกฝั่งของด่านซิวหลัว คือจักรวรรดิซือฉี
ถังเหล่ยจ้องมองไปที่ดินแดนอันรกร้างในจักรวรรดิซือฉี
จุดสูงสุดของด่านซิวหลัวสร้างหอคอยขนาดใหญ่เอาไว้ หอคอยดังกล่าวสร้างจากเหล็กกล้าทำให้ดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
ทางเข้าหอคอยมีผู้พิทักษ์สองนายประจำการอยู่ ฉินเฮ่าพาถังเหล่ยเดินเข้าไปในหอคอย หลังจากที่ทั้งสองคนเดินผ่านผู้พิทักษ์ที่ประจำการอยู่ที่ประตูทางเข้าก็รีบแสดงความเคารพต่อทั้งคู่
“รอสักครู่ ข้าจะไปรายงานว่าคุณชายฉินมาถึงแล้ว” ผู้พิทักษ์เข้าไปในหอคอย ไม่กี่อึดใจผู้พิทักษ์คนดังกล่าวก็กลับออกมา
“คุณชายฉินเชิญด้านใน!”
ฉินเฮ่าเข้าไปในหอคอยและมีถังเหล่ยเดินตามเข้าไปด้วย
“ฮ่าๆๆ สถานที่แห่งนี้แม้แต่นกก็ไม่กล้ามาวางไข่ นี่คือคำพูดของเ้าเมื่อหลายปีที่แล้ว” หม่าเทียนเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถังเหล่ยจ้องมองหม่าเทียนเจิ้ง เขาเป็ชายอายุประมาณสี่สิบปี ร่างกายกำยำ พลังเต็มเปี่ยม เมื่อเขายิ้มจะมองเห็นรอยแผลเป็บนใบหน้าได้อย่างชัดเจน
“คนผู้นี้มีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากคาดเดาไม่ผิดเขาคงกำลังเข้าใกล้ระดับปรมาจารย์ยุทธ์อย่างแน่นอน” ถังเหล่ยพึมพำกับตัวเอง
ถึงแม้ว่าหม่าเทียนเจิ้งจะไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับถังเหล่ย แต่เขาก็รับรู้ได้จากกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของอีกฝ่าย
………..