ความจริงแล้วในเขตเหอซีไม่ใช่เขตที่มีพื้นที่ใหญ่มากนัก เพียงแต่อยู่ใกล้กับด่านเยี่ยนเหมินเท่านั้น สามารถพูดได้ว่าเป็ด้านหลังของด่านเยี่ยนเหมิน ทั้งเขตเมืองถูกล้อมรอบไปด้วยูเาและแม่น้ำ และยังมีที่นาอีกมากมาย เพราะเช่นนี้เหอซีจึงเป็ตำแหน่งที่มีความสำคัญมาโดยตลอด หากอยากจะผ่านเขตเหอซีเข้าไปในต้าเหลียงจะต้องผ่านช่องแคบของูเา ซึ่งช่องแคบแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อนเคยเป็สถานที่สู้รบของทหาร หลายปีมานี้ เพราะมีทหารของกองทัพเฝ้าอยู่ที่ด่านเยี่ยนเหมิน พวกโจรูเาที่เคยซ่องสุมกองกำลังอยู่ใกล้ๆ จึงไม่มีอีกต่อไป ตลอดทางจากเหอซีเดินทางไปยังก่านโจวจึงถือว่าปลอดภัยเป็อย่างยิ่ง
เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยูเา ทั้งยังเป็สถานที่ที่ไม่มีความแน่นอนทางด้านสภาพอากาศ การเกษตรจึงไม่ได้พัฒนามากนัก ดังนั้น ชีวิตความเป็อยู่ของประชาชนที่พึ่งพาธรรมชาติหากินจึงไม่ค่อยจะมีฐานะที่ดีนัก บางสถานที่ถึงขั้นที่แม้แต่เื่ของการอุปโภคบริโภคก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
จากการเดินสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างจริงจังใน่หลายวันมานี้ ในใจของสวี่เหราก็ยิ่งหนักอึ้ง ทั้งการเดินทางที่ไม่สะดวก พืชพันธุ์ที่ออกผลผลิตได้มีไม่มาก และหลังจากจ่ายภาษีรายปีไปแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะจัดสรรเื่ของการอุปโภคบริโภคในครัวเรือนให้เพียงพอได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งในพื้นที่ไม่มีของที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ อยากจะให้ประชาชนมีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีขึ้น ช่างเป็เส้นทางที่มีอุปสรรคมากมายเสียจริงๆ
ทางด้านสวี่เหราที่วันๆ ก็เอาแต่วุ่นวายอยู่กับแผนการพัฒนาเขตเหอซี จางจ้าวฉือก็ได้พาสวี่จือไปฝึกอ่านเขียนอักษรด้วยกันทุกวัน จากนั้นก็ไปสอนวิชาแพทย์ที่จวนแม่ทัพทุกๆ ห้าวัน สามคนพ่อแม่ลูกรวมทั้งแม่นมลู่มีแค่ยามรับประทานอาหารเย็นเท่านั้นถึงได้กลับมารวมตัวกันครบ พูดคุยถึงความคืบหน้าของแต่ละคน นอกจากนั้นก็มีพูดคุยเื่เล็กใหญ่ภายในเรือน
สวี่เหรากับจางจ้าวฉือมีความคิดเดียวกัน คือหน้าที่การงานจะต้องใส่ใจ แต่ว่าคนในครอบครัวยิ่งต้องใส่ใจให้มากกว่า โดยเฉพาะในเรือนที่เลี้ยงเด็ก จะต้องทำหน้าที่พ่อแม่ให้ดีที่สุด ถึงแม้ภายนอกสวี่ตี้จะอายุยังน้อย แต่ว่าภายในของเขาเป็ผู้ใหญ่แล้ว ต่อไปไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด สวี่เหรากับจางจ้าวฉือจะทำเพียงแค่คอยให้การสนับสนุนอยู่ด้านหลัง เพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนมีความคิดเดียวตรงกันก็คือ เพื่อความก้าวหน้าของลูก คนเป็พ่อแม่ทำได้แค่ช่วยให้กำลังใจสนับสนุน แต่ว่าไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไปได้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวของตนเองจะทำให้อนาคตของลูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
สำหรับสวี่จือ ทั้งสองคนคิดว่าจะต้องเลี้ยงเด็กหญิงให้ดีที่สุด ทางด้านสิ่งของภายนอกจะต้องมั่งมีร่ำรวย ไม่รู้สึกขาด แต่ทว่าทางด้านจิตใจจะต้องร่ำรวยยิ่งกว่า ทางด้านสิ่งของภายนอกจะต้องมั่งมีร่ำรวยนั้น คือทำให้ในภายภาคหน้าสวี่จือจะต้องมีความใส่ใจด้านการเงินทองซึ่งเป็สิ่งสำคัญ ส่วนทางด้านจิตใจจะต้องร่ำรวยยิ่งกว่านั้น คือการที่สั่งสอนไม่ให้สวี่จือถูกความโลภครอบงำได้ง่ายๆ นางเป็เพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง สิ่งต้องห้ามที่สุดก็คือการหลงละเลิงในอำนาจเงินทองแสนจอมปลอมมากจนเกินไป แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้หลงละเลิงกัน? แน่นอนว่าจิตใจจะต้องแข็งแกร่งถึงจะปฏิบัติได้
เพราะสวี่จือยังเด็กมากนัก ปกติแล้วก็จะมีการสอนตัวหนังสือง่ายๆ ให้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ่นี้แม่นมลู่ได้สอนเื่ต่างๆ ให้กับสวี่จือแล้ว มิใช่เพียงแค่การเรียนเท่านั้น ยังมีเื่อื่นๆ อีกมากที่ต้องเรียน เช่น กฎระเบียบเอย เย็บปักเอย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอ่านตำราเรียนรู้ตัวอักษรเลย หากเด็กคนอื่นๆ ได้เรียน เด็กในเรือนก็ต้องเรียนเช่นเดียวกัน การเรียนเช่นนี้ก็มิใช่เพื่อให้เด็กโดดเด่นขึ้นมาแต่อย่างใด เด็กผู้หญิงไม่จำเป็ต้องไปสอบเข้าขุนนาง แต่ว่าหากเรียนรู้เื่พวกนี้ไปแล้วก็จะทำให้เด็กเต็มไปด้วยจิติญญา จนถึงตอนนี้ประโยคหนึ่งที่จางจ้าวฉือจำได้มาตลอดก็คือ ตอนนี้หากเ้ารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดทำ เหตุใดเ้าไม่ไปอ่านตำรา หรือไม่ก็ไปออกกำลังกาย การอ่านตำราสามารถทำให้จิติญญาของเด็กเปลี่ยนให้เต็มเปี่ยมมากยิ่งขึ้นได้ ออกกำลังกายสามารถทำให้ตนเองเปลี่ยนมามีวินัยในตนเองมากยิ่งขึ้น หากตอนที่เ้าทำทั้งสองอย่างนี้ได้ดีเหมือนกันแล้วละก็ เ้าก็จะรู้ว่าตนเองจะต้องทำอย่างไรต่อไป
พริบตาเดียวคิมหันต์ฤดู [1] ก็จะผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ได้มีเพียงแค่ใจของสวี่เหราที่หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ใจของจางจ้าวฉือเองก็เช่นกัน
หน้าร้อนในปีนี้พื้นที่แถบทุ่งหญ้าได้รับอากาศที่พอเหมาะ ได้ยินมาว่าพวกวัวแพะเลี้ยงได้อ้วนท้วมสมบูรณ์ สวี่เหรากลับมาแล้วก็พูดถึงเื่นี้ และยังกล่าวอีกว่าหวังว่าปีนี้พวกเขาจะสามารถมีปีที่ดีได้ แต่จางจ้าวฉือไม่กล้าที่จะประมาท นางทำการขุดห้องใต้ดินเอาไว้สองแห่ง หนึ่งเอาไว้ซ่อนสมบัติของมีค่า อีกที่เอาไว้เก็บพืชผักโดยเฉพาะ จางจ้าวฉือเอาของไปจัดการ และเตรียมกักตุนอาหารเอาไว้ด้วย
อาหารแห้งส่วนมากเป็ข้าวธัญพืช ข้าวธัญพืชมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก แต่วิธีการทำก็ยุ่งยากมากเช่นกัน มิสู้ข้าวสาลีที่โม่เอามาเป็แป้ง ที่พอทำออกมาแล้วพบว่าสะดวกมากกว่าที่คิด อีกทั้งรสชาติยังอร่อยมากอีกด้วย
จางจ้าวฉือมีความคิดที่จะปลูกข้าวสาลีที่นี่ นางอยากจะทดลองดู เผื่อผลลัพธ์จะออกมาดี
หลังจากพูดความคิดของตนเองกับจิ้งเป่ยโหวซื่อจื่อแล้ว ซื่อจื่อก็ช่วยจัดหาเมล็ดพันธุ์ในด่านให้ แล้วยังเชิญเกษตรกรที่ถนัดด้านการปลูกพืชมาหนึ่งคน ทั้งยังหาที่ว่างระหว่างเขตเมืองเหอซีกับจวนแม่ทัพ จากนั้นก็ให้คนเริ่มจัดการพื้นดินเพื่อลองเพาะปลูก
อยู่ในยุคนี้ก็มีข้อดีเช่นนี้ เ้าอยากจะทำสิ่งใด ก็ไม่จำเป็จะต้องลงมือด้วยตนเอง ขอแค่บอกความคิดของตนเองออกมา ก็มีคนจัดการให้ จางจ้าวฉือรู้สึกว่านี่คือความสะดวกเดียวที่สังคมที่แสนย่ำแย่นี้มอบให้นาง
ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับงานของตนเอง สวี่จือจึงคิดว่าตนเองนั้นไร้ประโยชน์ ส่วนใหญ่จะนั่งรอเงียบๆ อยู่ข้างกายคนที่กำลังทำงานยุ่ง ถึงแม้ตนเองอยากจะเข้าร่วม ก็มักจะถูกคนห้ามเอาไว้
นานวันเข้าสวี่จือก็ยิ่งนิ่งเงียบ จางจ้าวฉือรู้สึกว่า่นี้ลูกสาวที่น่ารักของนางพูดน้อยลง เงียบลง อีกทั้งท่าทางก็เคร่งขรึมมากขึ้น ปัญหาจิตใจของลูกก็เป็เื่ที่พ่อแม่ต้องให้ความสนใจมากเช่นกัน คนที่เป็หมอคนหนึ่ง อีกทั้งยังได้รับการสั่งสอนระดับสูง จางจ้าวฉือรู้สึกว่าที่สำคัญที่สุดคือตนเป็แม่ของสวี่จือ ตนเองควรที่จะใส่ใจกับสภาพจิตใจของลูกให้มากกว่านี้ ดังนั้นจางจ้าวฉือจึงหาเวลาตอนบ่ายที่แดดไม่ค่อยจะแรงมาก เข้ามาพูดคุยกับสวี่จือสักครั้ง
ร่างเล็กๆ นั่งอยู่บนตั่งริมหน้าต่างเงียบๆ บนโต๊ะวางกระดาษที่เมื่อครู่เด็กน้อยเขียนตัวอักษรออกมาน้อยใหญ่ หนาบางไม่เท่ากันไว้หลายแผ่น จนกระทั่งยังมีตัวอักษรที่ยุ่งเหยิงจนกลายเป็ก้อน จางจ้าวฉือมองลูกสาวก็รู้สึกกังวลและปวดใจอยู่ไม่น้อย ก่อนจะถามออกมาอย่างระมัดระวังว่า “จือเอ๋อร์ แม่เห็นเ้าไม่สดใสเลย เกิดเื่อันใดขึ้นหรือไม่?”
สวี่จือเห็นใบหน้าระมัดระวังของมารดา ก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย “ท่านแม่เ้าคะ ท่านว่าจือเอ๋อร์ไร้ประโยชน์มากใช่หรือไม่เ้าคะ สิ่งใดก็ทำมิเป็ อันใดก็ทำได้ไม่ดี”
จางจ้าวฉือฟังแล้วก็รีบเอ่ย “ไอ๊หยา จือเอ๋อร์ของพวกเราเพิ่งจะอายุกี่ปีเอง แม่รู้สึกว่าจือเอ๋อร์ในตอนนี้เก่งมากแล้วนะ”
สวี่จือถอนหายใจ “ท่านแม่เ้าคะ ครอบครัวพวกเราไม่ว่าผู้ใดก็ต่างยุ่งกันหมด มีเพียงข้าที่ไม่มีสิ่งใดทำ อีกทั้งคนอื่นทำงานหนักข้าก็ช่วยอันใดมิได้ ข้ารู้สึกว่าตนเองนั้นช่างไร้ประโยชน์ อีกทั้งท่านดูตัวอักษรที่ข้าเขียนสินี่เ้าคะ ท่านแม่ ข้าพยายามแล้ว แต่ก็มักจะเขียนได้ไม่ดี ข้ารู้สึกว่าข้าพ่ายแพ้เป็อย่างยิ่งเ้าค่ะ”
ท่าทางน้อยใจนั้นโจมตีใจของจางจ้าวฉือเสียอยู่หมัด นางกอดสวี่จือเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะหอมเข้าไปเต็มรักสองที แล้วค่อยพูดออกมาว่า “แม่คิดว่าไม่ใช่ลูกเขียนออกมาไม่ดีหรอกนะ ควรจะเป็พวกเราสอนได้ไม่ดีมากกว่า แม่กับแม่นมลู่เขียนตัวอักษรก็ไม่ดี ตอนกลางคืนท่านพ่อกลับมาแล้วพวกเราก็ให้ท่านพ่อสอนลูกดีหรือไม่? ท่านพ่อของลูกสอบเข้าขุนนางได้สำเร็จเชียวนะ ให้ท่านสอนเ้าเขียน จะต้องเขียนออกมาได้สวยงามมากแน่นอน”
สวี่จือเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง “แต่ว่าท่านแม่ ท่านพ่องานยุ่งมากแล้วนะเ้าคะ กลับมาถึงเรือนยังต้องสอนจือเอ๋อร์เขียนตัวอักษร ท่านพ่อจะเหนื่อยหรือไม่เ้าคะ?”
จางจ้าวฉือเอ่ยตอบ “ไม่หรอกๆ พี่ชายลูกตอนแรกก็เป็ท่านพ่อของลูกที่สอน ดูตัวอักษรของพี่ชายเ้าตอนนี้สิ สวยมากเลยใช่หรือไม่ ลูกยังเด็ก ไม่ต้องรีบร้อน คนเขาพูดกันไว้ไม่ใช่หรือ คนใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนมิได้นะ”
สวี่เหรากลับมาในตอนกลางคืน จางจ้าวฉือก็เล่าเื่เมื่อตอนบ่ายให้ฟัง สวี่เหรามองบุตรสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างพร้อมมองตนด้วยสายตาระยิบระยับ ก่อนจะกล่าว “ไม่มีปัญหาแน่นอน พ่อจะสอนจือเอ๋อร์ด้วยตัวเอง ต่อไปจือเอ๋อร์ของพวกเราจะกลายเป็เด็กหญิงแสนฉลาด”
พูดตามจริงแล้ว แม่นมลู่ไม่มีหน้าไปฟังสองสามีภรรยาที่วันๆ เอาแต่พูดชมสวี่จือเช่นนี้ ถึงแม้ตนเองจะเป็แม่นมที่ติดตามมาด้วย แต่พวกเขาเป็บิดามารดาของสวี่จือ พวกนางชมลูกกันขนาดนั้นแล้ว ตนเองยังสามารถห้ามได้หรือ?
ดังนั้นทุกวันที่กลับมาจากงานสวี่เหราก็จะตรวจสอบตัวอักษรที่สวี่จือเขียนอย่างละเอียด ตรงไหนไม่สมบูรณ์ก็จะชี้แจงออกมาอย่างตรงจุด จากนั้นก็ค่อยกำหนดตัวอักษรที่จะต้องฝึกคัดในวันต่อไป
ตอนที่สวี่เหราสอนสวี่จือ เด็กน้อยก็จะมองบิดาตนเองอย่างนับถือมาก ฟังบิดาตนเองคอยสอน อีกทั้งยังตั้งใจเรียนมากเช่นกัน เื่นี้ทำให้สวี่เหราที่เป็อาจารย์มาหลายปีมีความปิติยินดีมาก แต่คุณสมบัติของสวี่จือนั้นแสนธรรมดา ตอนที่สวี่เหราแอบคุยกับจางจ้าวฉือยังเคยพูดเอาไว้ว่า คาดว่าสมาชิกในครอบครัวสี่คนนี้ จะมีเพียงแม่นางน้อยผู้นี้ที่ไม่มีพร์ในด้านการเรียน
หลังจากเหอซีเข้าสู่่วสันตฤดู [2] ความเย็นของอากาศในตอนเช้าและตอนกลางคืนก็จะเริ่มลดลง จางจ้าวฉือเรียนรู้จากคนอื่นๆ โดยการไปซื้อผัดกาดขาวติดรากมา เพื่อนำมาปลูกที่แปลงดอกไม้หลังเรือน ก่อนจะไปซื้อหัวไชเท้ามาเพิ่ม หลังจากนั้นก็หามุมหนึ่งในเรือนขุดหลุมแล้วฝังลงไปในดิน
พระอาทิตย์ในวสันตฤดูกำลังอุ่นดี ผักที่ทานไม่หมดใน่คิมหันต์ฤดูก็เอาไปตากแดดทำเป็ผักตากแห้งแล้วเก็บเอาไว้ บนโต๊ะอาหารตอนหน้าหนาวก็สามารถเพิ่มกับข้าวเข้าไปได้อีกสองสามอย่าง ตอนที่จางจ้าวฉือมาถึงก็ช้าไปมากแล้ว ดังนั้นนางจึงไปซื้อผักแห้งที่ตากเอาไว้อย่างดีแล้วกลับมา ซื้อมาทีละอย่างแล้วเอาไปเก็บไว้ในห้องใต้ดินที่ทำขึ้นมาเพื่อเก็บวัตถุดิบโดยเฉพาะ
ตอนนี้ขอแค่ในมือมีเงินก็ไม่ต้องกังวลเื่กินดื่มแล้ว ไม่ว่าแม่นมลู่หรือว่าจางจ้าวฉือก็ต่างเตรียมตัวเอาไว้พร้อม เหมือนหนูที่เตรียมตัวผ่านฤดูหนาว พวกนางเอาของกินพวกนี้ไปเก็บที่เรือน พอซื้อกลับมาแล้วจะต้องเก็บดีๆ แค่ผ่านหน้าหนาวไปได้นั้นยังไม่นับเป็อันใดได้ หลังจาก่วสันตฤดูมาถึงต่างหากจึงจะเป็่เวลาที่ชักหน้าไม่ถึงหลังของจริง จึงต้องพึ่ง่เวลานี้เตรียมกักตุนอาหารต่อไป ไม่ว่าผู้ใดก็ต่างไม่กล้าทำอะไรลวกๆ และไม่กล้าทำสิ่งใดที่ไม่รอบคอบ
เพียงครู่เดียวก็ถึงวันที่สิบห้าเดือนแปดแล้ว จางจ้าวฉือนับวันเวลา สวี่ตี้เดินทางไปได้สองเดือนแล้ว การเดินทางไม่สะดวกนัก ช่องทางการติดต่อก็ไม่สะดวกเช่นกัน เมื่อไม่มีจดหมายส่งกลับมา ภายในใจของทุกคนนอกจากความกังวลก็มีแล้ว ก็เปี่ยมไปด้วยความเป็ห่วง โชคดีที่อยู่กับคนสกุลจาง เื่นี้เป็เื่เดียวที่จางจ้าวฉือวางใจ
วันที่สิบห้าเดือนแปดเป็เทศกาลตามธรรมเนียมที่สำคัญมาก ทั้งครอบครัวจะมารวมตัวกันพร้อมหน้า หลังจากแม่ครัวในเรือนทำอาหารเย็นเสร็จ จางจ้าวฉือก็ส่งคนไปจัดโต๊ะสองตัวทีเรือนหลัง ครอบครัวตนเองบวกกับแม่นมลู่โต๊ะหนึ่ง อีกโต๊ะให้ลูกจ้างแล้วก็พวกชิงเหมี่ยว ชิงซุย เสี่ยวิ เสี่ยวเหลียงนั่ง ทั้งครอบครัวทานอาหารพูดคุยกันไปมาอย่างสนุกสนาน จากนั้นจางจ้าวฉือก็มอบขนมไหว้พระจันทร์ให้กับทุกคน แล้วค่อยแยกย้ายกันไป
ตัดขนมไหว้พระจันทร์เป็ชิ้นเล็กๆ ก่อนที่สามคนพ่อแม่ลูกจะมานั่งชมจันทร์ทานขนมในเรือน
แสงจันทร์ใสสว่างราวกับธารธารา ในค่ำคืนนี้อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย จางจ้าวฉือใส่ชุดคลุมตัวเล็กเพิ่มให้สวี่จืออีกหนึ่งตัว จากนั้นก็อุ้มสวี่จือมานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ในเรือน
สวี่เหรามองพระจันทร์ดวงกลมแล้วถอนหายใจ “คนยุคปัจจุบันไม่เห็นพระจันทร์ในยุคโบราณ พระจันทร์ในวันนี้เคยส่องแสงให้คนโบราณ คนยุคโบราณกับคนยุคปัจจุบันก็เหมือนสายน้ำที่หลั่งไหล เมื่อได้มองแสงจันทร์ดวงเดียวกันเช่นนี้ช่างน่าเสียใจจริงๆ”
จางจ้าวฉือเอ่ยถาม “เ้ากำลังเสียใจอันใดหรือ?”
สวี่เหราตอบ “ก็แค่รู้สึกว่าพระจันทร์เต็มดวงรอบนี้ ไม่รู้ว่าส่องแสงให้คนมากี่รุ่นแล้ว ไม่รู้ว่าเห็นวันเวลาผันเปลี่ยนไปเท่าใด คนที่มีชีวิตน่ะ บางครั้งก็ยังสู้ของสิ่งหนึ่งมิได้”
จางจ้าวฉือจับใบหน้าที่เย็นเล็กน้อยของสวี่จือ “ข้ารู้สึกว่ามันก็ดีเหมือนกันนะ สวี่ตี้ของพวกเราก็โตแล้ว ตอนนี้ข้างกายก็ยังมีลูกสาวอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็่เวลาไหน อย่างไรมันก็เป็แบบนี้ไปแล้ว คิดมากไปมันจะมีประโยชน์อันใด? ทำเื่ที่ตัวเองทำได้ ใช้ชีวิตของตัวเองไปก็พอแล้ว”
สวี่เหราหัวเราะแล้วกล่าว “เป็ข้าที่คิดมากไปเองแล้ว กลับมิสู้เ้าที่ปล่อยวางได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้สวี่ตี้จะชมจันทร์เหมือนพวกเราอยู่หรือไม่”
จางจ้าวฉือตอบ “เื่นี้ผู้ใดจะไปรู้กัน ไม่แน่นะตอนนี้เขากำลังอยู่ในที่ที่ฝนตกอยู่ก็ได้ เื่นี้พูดยากจริงๆ ”
สวี่เหราเอ่ย “ข้าขอเดานะ พวกสวี่ตี้คงจะใกล้กลับมาแล้ว คาดว่าทางครอบครัวเ้าต้องมีคนตามมาด้วย เ้าเป็ถึงบุตรสาวของสกุลจางเชียวนะ ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะหมดหนทางแล้ว ก็คงไม่ให้เ้าแต่งงานกับข้าแล้วย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวงหรอก ตอนนี้พอรู้ข่าวของพวกเรา อีกทั้งยังออกมาจากจวนไกลขนาดนี้ พวกเขาก็ต้องมาเยี่ยมไม่ใช่หรือ?”
จางจ้าวฉือตอบกลับ “หากเ้าสามารถไปรับราชการที่ทางใต้ได้ก็คงดี ถึงตอนนั้นพวกเราไปที่ทางใต้ด้วยกัน อยู่ใกล้ที่นั่น อยากจะเจอกันก็เป็เื่ที่ง่ายมากมิใช่หรือ?”
สวี่เหรายิ้มแล้วเอ่ย “ข้าเพิ่งจะเป็ขุนนางนะ หากทำที่นี่ให้ได้ดีเมื่อไหร่ ทำให้ประชาชนของที่นี่กินอิ่ม มีชีวิตที่มั่นคงแล้วค่อยคิดเื่อื่นต่อ แต่ว่าหากเ้าอยากไป พวกเราหาทหารป้องกันที่เก่งกาจมาส่งเ้าไปก็เพียงพอแล้ว”
จางจ้าวฉือตอบ “มันจะง่ายดายแบบนั้นที่ไหนกัน จากเหนือลงใต้ระยะทางไกล ูเาสูงแม่น้ำยาว หากเดินทางง่ายๆ ก็ยังดี แต่นี่ไม่รู้ว่าเส้นทางจะเป็อย่างไร ข้าไม่กล้าไปจริงๆ ”
หลังจากผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปแล้ว ทางด้านตลาดแลกเปลี่ยนก็ครึกครื้นขึ้นมาหลายวัน จางจ้าวฉือจึงอาศัยโอกาสนี้แลกหนังสัตว์และขนสัตว์กลับมา จนถึงขั้นซื้อสมุนไพรจากนอกด่านมามากมาย ตอน่ปีใหม่จำเป็ต้องส่งของขวัญปีใหม่กลับไปให้คนที่จวนใหญ่ จางจ้าวฉือรู้สึกว่าส่งของอื่นๆ ไปให้ไม่สู้ส่งหนังสัตว์ที่มีประโยชน์ไปให้จะดีกว่า ที่เมืองหลวงหนังสัตว์ราคาสูงมาก อยากจะหาของดีๆ ก็ยาก แต่ว่าที่นี่ราคาถูก ตนเองส่งของพวกนี้กลับไป ได้หน้าได้ตาทั้งยังได้ใช้จริง ที่สำคัญที่สุดก็คือราคาตอนนี้ไม่แพงเลย ครอบครัวเล็กๆ ใช้ชีวิตเช่นนี้จะต้องละเอียดรอบคอบ ไม่เช่นนั้นการกินดื่มของครอบครัวหนึ่งในทุกๆ วัน อีกทั้งยังมีของขวัญที่จะต้องให้ลูกทั้งสองตอนแต่งงานในอนาคต ที่สำคัญที่สุดคือสินเดิมของบุตรสาว เมื่อลองตรึกตรองให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนจำเป็ต้องใช้เงิน หากไม่วางแผนเอาไว้ให้ดีเสียก่อนเมื่อถึงตอนนั้นจะคว้าเอาแบบมั่วๆ คงไม่ดี
สวี่ตี้กลับมาตอนหิมะแรกของเหอซีร่วงหล่น
เตาไฟในเรือนถูกจุดขึ้นมา สวี่ตี้กลับมาพร้อมกับกลุ่มพ่อค้าสกุลจาง ที่ตามกลุ่มพ่อค้ามาด้วยนอกจากคุณชายสามจางจ้าวจื่อแล้ว ยังมีคุณชายใหญ่ คุณชายรอง คุณชายสี่ของสกุลจางติดตามมาด้วย
จางจ้าวฉือคิดไม่ถึงว่าพวกพี่ชายแล้วก็น้องชายจะมากันหมด ตอนที่เห็นทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตา นางก็ร้องไห้โฮออกมา กลับเป็จางจ้าวจื่อที่ไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ บอกว่าครั้งที่แล้วที่ตนมาน้องสาวไม่ได้ร้องไห้เพราะเจอตน
สวี่ตี้ตัวสูงขึ้นและผิวคล้ำขึ้นมาก ดูแล้วเหมือนเด็กที่กำลังโตแล้วจริงๆ
สวี่ตี้ไม่เพียงแต่จะไปทางใต้กับจางจ้าวจื่อเท่านั้น ยังตามออกทะเลไปด้วยครั้งหนึ่ง แต่ว่าเรือไม่ได้ออกไปยังสถานที่ที่ไกลเกินไป ใช้เวลาไปกลับเพียงหนึ่งเดือน เป้าหมายที่สวี่ตี้ออกทะเลนั้นความจริงแล้วก็เพื่อไปหาเมล็ดพันธุ์ ครั้งนี้เขาเอาเมล็ดข้าวโพด มันเทศหนึ่งถุง มันฝรั่งหนึ่งถุง ทั้งยังมีเมล็ดพริก เมล็ดปวยเล้งกลับมาด้วย
เห็นเมล็ดพันธุ์พวกนี้แล้ว คนที่ดีใจที่สุดคงไม่พ้นสวี่เหรา เขาคิดไม่ถึงว่าลูกชายตนเองจะมีความสามารถขนาดนี้ ทั้งยังเอาของที่เขาอยากได้กลับมาด้วย ในมือมีของพวกนี้แล้ว ฤดูร้อนปีหน้าเขาจะลองปลูก จากนั้นก็ดูปริมาณผลผลิต หากผลลัพธ์ยิ่งดีก็จะรีบผลักดันออกไป หากมีของที่สามารถเอามาทำอาหารได้ ยังจะต้องกังวลเื่ประชาชนกินไม่อิ่มอีกหรือ?
เชิงอรรถ
[1] คิมหันต์ฤดู คือ ฤดูร้อน
[2] วสันตฤดู คือ ฤดูใบไม้ร่วง