เมื่อฟังจบแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ถอนหายใจเป็อย่างแรก
คิดไม่ถึงว่าเพียงเื่การขโมย กลับลากไปเกี่ยวกับเื่ภายในมากมายเช่นนี้
เื่ผ่านมานานจนถึงตอนนี้ แต่โหยวเสี่ยวโม่ก็จากคนที่ชื่อผูฉานนี้ได้บ้าง เพราะเขาคือคนแรกที่เจอหลิงเซียวแล้วกล้าชักสีหน้าใส่ อีกทั้งท่าทางที่จองหอง แต่ที่เขาอู๋ซวง เขาก็เคยได้ยินว่าผูฉานกับเ้าสำนักนั้นสนิทกันราวพี่น้องก็ไม่ปาน
“ศิษย์น้องเล็ก เื่อะไรก็ตามดูแค่ภายนอกไม่ได้” หลิงเซียวดูหน้าเขาก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ พลันขำขึ้นเบาๆ
“ระหว่างพวกเขามีความแค้นอะไรกันแน่?” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยถามคับข้องใจ เขารู้สึกว่าหลิงเซียวเหมือนเป็ผู้ที่รู้เื่ราวทุกอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
“ข้าจะไปรู้ได้ไง!” หลิงเซียวยักไหล่ นั่งพิงเสาเตียง ตาหยีท่าทางเกียจคร้าน เขาไม่ใช่เทพผู้รู้ทุกอย่าง อีกทั้งเขาก็ไม่ได้สนใจว่าระหว่างทังฝานกับผูฉานจะมีความแค้นอะไรกัน จึงไม่ได้สืบต่อ
เื่หนอนบ่อนไส้ก็จบลงแล้ว ส่วนตำรับสูตรยาที่ถูกขโมยไปยังไม่สามารถเอาคืนได้ในตอนนี้
สำนักเทียนซินไม่อาจคุมตัวผูฉานไปกล่าวโทษลั่วเฉินหยวนได้ หนึ่งเพราะสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อตนเอง สองลั่วเฉินหยวนจิ้งจอกเฒ่าเ้าเล่ห์นั่นก็ไม่มีทางสารภาพแน่ แถมอาจหาทางกัดพวกเขาตอบก็ได้ หาว่าพวกเขาสร้างเื่ขึ้นมาเอง เพื่อใส่ร้ายสำนักชิงเฉิง อีกทั้งสำนักเทียนซินไม่เคยเปิดเผยเื่ตำรับสูตรยา จุดนี้จึงยิ่งไม่เป็ผลดีกับพวกเขา
แต่อย่างไรเสียต้องเอาตำรับสูตรกลับมาให้ได้ หากปล่อยให้สำนักชิงเฉิงหลอมยาเซียนตันขั้นเก้าจากตำรับยานั่น สำนักเทียนซินคงตกเป็รองสำนักชิงเฉิงแน่
โชคดีที่ส่วนผสมของยาเซียนตันขั้นเก้านั้นไม่ได้หาง่ายๆ แม้สำนักชิงเฉิงจะมีตำรับสูตรยาตอนนี้ ก็ไม่สามารถหลอมยาออกมาได้ทันที แต่แดน์วิมานก็ใกล้เปิดแล้ว ด้านในมีหญ้าเซียนนานาชนิดนับไม่ถ้วน สำนักชิงเฉิงต้องส่งคนไปหาแน่ และไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะหาเจอก็ได้
ดังนั้นทังฝานกับเหล่าผู้าุโจึงตัดสินใจ อาศัยการเดินทางไปแดน์วิมาน ไม่ใช่เพียงเพื่อขัดขวางการหาหญ้าเซียนขั้นเก้าของพวกเขาทุกวิถีทาง อีกทั้งยังต้องเอาคืนสำนักชิงเฉิงอย่างสาสมให้ได้
ทว่าการเข้าแดน์วิมานของผู้มีพลังนั้นจำกัด ดังนั้นทังฝานจึงตัดสินใจว่าอีกสามเดือนที่เหลือ ให้หลิงเซียวและโจวเผิงพร้อมกลุ่มคนทั้งหมดเร่งฝึกฝนพลัง ถึงตอนนั้นจะมอบหมายหน้าที่ให้พวกเขา
“ศิษย์พี่หลิง ภารกิจนั่นคงไม่ใช่ให้พวกท่านไปฆ่าศิษย์สำนักชิงเฉิงหรอกนะ?”
เมื่อโหยวเสี่ยวโม่ได้ยินคำว่าภารกิจ สีหน้าเริ่มเปลี่ยน คิดว่าคำตอบคงไม่ไกลจากนี้
หลิงเซียวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “นี่แค่หนึ่งในภารกิจ ที่สำคัญที่สุดคือ ขัดขวางไม่ให้พวกเขาหาหญ้าเซียนที่สำคัญๆ ในตำรับสูตรยาใบนั้นได้”
โหยวเสี่ยวโม่คิ้วผูกเป็ปม “จากความหมายของท่านคือ เมื่อเข้าสู่แดน์วิมาน พวกท่านต้องคอยตามดูพวกเขางั้นหรือ?”
ได้ยินเช่นนี้ หลิงเซียวอดไม่ไหวหัวเราะออกมา จ้องเขาปานหยอกล้อแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก เ้าคงไม่คิดว่าข้าจะทำตามที่ทังฝานบอกหรอกนะ?”
“เอ่อ…” เขาลืมไปจริงๆ ว่าหลิงเซียวไม่ใช่ศิษย์สำนักเทียนซิน หมอนี่เป็แค่ของปลอม “แต่หากท่านไม่ทำตามคำสั่งเขา หลังจากนั้นเขาจะไม่รู้เื่เข้าหรือ?”
เขารู้สึกว่า จากความฉลาดหลักแหลมของทังฝาน ต้องมีสายอีกแน่ อย่างเช่น ในกลุ่มพวกเขาก็มีสายแทรกซึมอยู่คนหนึ่ง เพื่อรายงานสถานการณ์ทุกอย่างในแดน์วิมาน
“เ้าคิดว่าหญ้าเซียนขั้นเก้าจะได้มาง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ? ไม่พูดถึงว่าพวกเขาจะหาหญ้าเซียนขั้นเก้าได้หรือเปล่า เ้าปีศาจที่เฝ้าต้นหญ้าเซียนก็ใช่ว่าจะรับมือได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่” หลิงเซียวเอ่ยอย่างเกียจคร้าน ไม่ได้เป็ห่วงจากจุดยืนของตัวเองแม้แต่น้อย
โหยวเสี่ยวโม่มาคิดดู สัตว์ปีศาจที่เฝ้าต้นหญ้าเซียนขั้นเก้าก็คงไม่ต่ำกว่าขั้นเก้าเช่นกัน นั่นเท่ากับจอมยุทธ์ชั้นราชัน ดูแล้วเป็ภารกิจที่เป็ไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าเ้าสำนักชิงเฉิงออกโรงเอง แต่เนื่องจากมีการจำกัดพลัง ดังนั้นลั่วเฉิงหยวนไม่สามารถเข้าแดน์วิมานได้อยู่ดี
หลิงเซียวจ้องหน้าโหยวเสี่ยวโม่ที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ผุดความคิดบางอย่างขึ้น พลันเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก เ้าก็เป็นักหลอมโอสถ ตำรับสูตรยาขั้นเก้านั่นเ้าสนใจรึเปล่า?”
โหยวเสี่ยวโม่สะดุ้ง ฟังจากที่เขาพูดเขาคิดจะทำอะไรกัน เพราะตอนนี้เขากำลังฝึกฝนคัมภีร์ิญญา์ ตอนนั้นก็เพราะคำพูดไม่ทันคิดของเขา ปรากฏว่าเขาก็หามาให้ทันที
“ท่านคงไม่ได้จะไปขโมยที่สำนักชิงเฉิงหรอกนะ? ไม่ได้ๆ!” โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัวแรง
“ทำไมไม่ได้?” หลิงเซียวหรี่ตาเอ่ยถาม
“ตอนนี้ข้าเป็เพียงนักหลอมโอสถขั้นสาม ขั้นเก้าข้ายังห่างไกลมากนัก อีกอย่าง ศักยภาพของข้านั้นด้อยอย่างมากก็เป็ได้แค่นักหลอมโอสถขั้นกลางออกไปทางต่ำ อีกหน่อยคงไม่มีทางเลื่อนขั้นพลังได้ถึงขั้นนั้น อีกอย่างลั่วเฉิงหยวนนั่นก็เป็จอมยุทธ์ชั้นราชัน หากถูกพบเข้าจะทำยังไง? ไม่ได้ อันตรายเกินไป”
โหยวเสี่ยวโม่คิดมาตลอดว่าพลังของหลิงเซียวหากไม่ใช่ชั้นิญญาก็คงชั้นราชัน ดังนั้นหากปะทะกับลั่วเฉิงหยวนจริง โอกาสที่จะสำเร็จก็คงต่ำ ความเสี่ยงแบบนี้ เขาไม่เห็นด้วยสักนิด
หลิงเซียวเผยรอยยิ้มบางๆ แม้คำพูดของเขาจะเอนเอียงไปทางเื่ที่เขามีศักยภาพด้อย แต่ก็ฟังออกว่าเขากำลังเป็ห่วง แต่พอฟังคำพูดแรกๆ ที่ดูแคลนตัวเองแล้ว พลันขมวดคิ้ว
ศักยภาพขั้นกลางค่อนไปทางต่ำ?
หลิงเซียวกระตุกคิ้วขึ้นมองเขา จากที่เขาสามารถเลื่อนขั้นจากขั้นหนึ่งถึงขั้นสามในเวลาอันสั้นไม่ถึงหนึ่งปี เขาไม่รู้ว่าความเร็วในการฝึกฝนของคนอื่นเป็เช่นไร แต่จากความทรงจำของหลินเซียว ความไวนี้ก็ถือว่าหาได้ยากทีเดียว
เขารู้ว่าคัมภีร์ิญญา์อาจเป็ตัวช่วยที่ดีที่สุด แต่หากศักยภาพด้อยเช่นนั้นจริง แล้วทำไมถึงบรรลุขั้นพลังของคัมภีร์ิญญา์ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังบรรลุขั้นหนึ่งได้ในสามเดือน
แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของเขาแล้ว เหมือนไม่ใช่คำโกหก อีกทั้งไม่มีความจำเป็ต้องโป้ปดด้วย แต่จากโอกาสความล้มเหลวในการหลอมยาแทบจะเป็ศูนย์ รวมถึงการฝึกฝนวิชายุทธ์ของเขาแล้ว แทบไม่เหมือนผู้ที่มีศักยภาพขั้นกลางค่อนไปทางต่ำ
หลิงเซียวก็ได้รู้สึกว่า ศักยภาพของโหยวเสี่ยวโม่นั้นไม่ชอบมาพากล แน่นอน เขาไม่มีทางคิดได้แน่ว่าโหยวเสี่ยวโม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ภายใต้เปลือกนี้มีิญญาอีกดวงมาแทนที่แล้ว
โหยวเสี่ยวโม่เองก็ไม่รู้ว่าแน่ชัดว่าทดสอบกันแบบไหน อีกทั้งมีเื่ให้ใอยู่เรื่อยๆ เขาจึงลืมเื่นี้ไปหมดสิ้น จนนึกว่าตัวเองมีปราณิญญาสีเขียวมรกตจริงๆ
“ศิษย์น้องเล็ก ตอนที่ทดสอบปราณิญญา ปราณิญญาของเ้าแสดงเป็สีเขียวมรกตจริงรึ?” หลิงเซียวจ้องหน้าเขาแล้วเอ่ยถาม
“หา?” โหยวเสี่ยวโม่ตามความคิดเขาไม่ทัน สักพักถึงจับใจความได้ว่าเขาพูดถึงเื่อะไร ทันใดก็รู้สึกประหม่า
ใครจะไปรู้ว่าปราณิญญาของเขาใช่สีเขียวมรกตจริงหรือไม่ ตอนนั้นที่เขาข้ามภพมา การทดสอบปราณิญญาก็ผ่านพ้นไปแล้ว อีกอย่างโหยวเสี่ยวโม่ตัวจริงก็มีจิตใจบอบบางราวกระจก ไม่เช่นนั้นเขาจะมาแทนที่เขาได้หรือ
คำพูดพวกนี้เขาไม่มีทางพูดกับหลิงเซียวเด็ดขาด ทั้งตัวเขาเหลือความลับนี้แล้ว หากบอกออกไปจริง เขาก็ไม่มีความลับอะไรอีก
แต่จากที่เขาพูด ในที่สุดเขาก็นึกเื่นี้ที่สงสัยขึ้นได้ หากคุณสมบัติของนักหลอมโอสถเกี่ยวข้องกับปราณิญญาจริง หากร่างกายที่เปลี่ยนิญญาไปแล้วอย่างเขาก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลงไปด้วยสิ?
“ศิษย์น้องเล็ก?” หลิงเซียวเห็นเขาเหม่อลอยขึ้นมา จึงโบกมือเรียก
โหยวเสี่ยวโม่ดึงสติกลับมา หัวเราะลั่น “แน่ แน่นอนต้องเป็สีเขียวมรกตสิ หากท่านไม่เชื่อ ก็ไปถามคนที่ร่วมทดสอบกับข้าก็ได้”
หลิงเซียวจ้องหน้าที่ประหม่าอย่างเห็นได้ชัด จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น เอ่ยอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้องเล็ก เ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเ้างั้นรึ?”
“…ไม่เชื่อ” โหยวเสี่ยวโม่ที่แกล้งยิ้มพลันคอตก เอ่ยอย่างหดหู่ ดูจากสีหน้ากับน้ำเสียงหลิงเซียวแล้ว ก็รู้ว่าเขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
หลิงเซียวยิ้มตาพริ้มโอบไหล่เขา ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบา “ศิษย์น้องเล็กเด็กดี พูดความจริงออกมาเถอะ เ้าคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า สารภาพผิดแล้วบาปจะลดลงนะ อย่าบีบให้ข้าต้องใช้ขั้นเด็ดขาด”
พูดถึงขั้นเด็ดขาด เขาก็ยิ่งเน้นเสียงหนัก
โหยวเสี่ยวโม่น้ำตาไหลพราก คำกล่าวนี้เคยได้ยินสิ คุ้นเสียจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรดี ชาติที่แล้วพี่ชายกับน้องชาย ชาตินี้มาหลิงเซียว ดูเหมือนว่าแม้จะเปลี่ยนโลกอีกใบหนึ่ง แต่เขาก็หนีไม่พ้นชะตาชีวิตแบบนี้
กระนั้น ความลับสุดท้ายของเขาจะเก็บไว้ไม่อยู่จริงๆ หรือ?
ไม่ ในนามของมนุษย์โลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เขาได้รับการถ่ายทอดสิ่งที่ยอดเยี่ยมมา นั่นก็คือ การโกหก!
อะไรคือที่สุดของการพูดโกหก? นั่นก็คือพูดสิบคำมีคำโกหกปนอยู่หนึ่งคำ
แม้การพูดโกหกแบบนี้จะใช้ไม่ได้แล้วในยุคศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ใครๆ ก็รู้ แต่อย่าลืมสิ นี่คือแผ่นดินหลงเสียง สถานที่แปลกใหม่ที่ไม่มีโลกของวิทยาศาสตร์!
กระนั้น โหยวเสี่ยวโม่จึงแต่งเื่เล่าประสบการณ์ชีวิตที่น่าอนาถขึ้น
เขาปั้นแต่งตัวเองให้กลายเป็น้องชายฝาแฝดของ ‘โหยวเสี่ยวโม่’ ที่ตายั้แ่อยู่ในท้อง ท้ายสุดน้องชายและพี่ชายจึงลงเอยด้วยการใช้ร่างเดียวกัน แต่พี่ชายนั้นไม่ได้รู้เลยว่ามีตัวตนของน้องชายอยู่ด้วย แต่น้องชายรู้ถึงตัวตนของพี่ชายมาตลอด แต่เนื่องจากดวงิญญาหลักนั้นเป็พี่ชาย ดังนั้นิญญาน้องชายจึงไม่เคยออกมา จนเมื่อพี่ชายทนรับความชอกช้ำใจไม่ไหวตรอมใจตาย ดังนั้นน้องชายจึงได้ร่างอย่างสมบูรณ์แทนที่พี่ชาย
เื่ราวนิทานคร่าวๆ ทั้งหมดเป็เช่นนี้ แต่เื่จริงคือ สิบคำนั้นล้วนเป็คำโกหก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้