เซียวซื่อจื่อย่อมประนีประนอมแล้ว ยอมรับการชดเชยของฮ่องเต้ ถึงได้สามารถเป็ข้าหลวงใหญ่ผู้ประกาศราชโองการ!
แม้แต่เซียวซื่อจื่อยังต้องประนีประนอม เฉิงชิงไม่คิดว่าบัดนี้ตนเองจะสามารถทำให้ฆาตกรได้รับโทษปะา
นางถึงขนาดไร้หนทางส่งคืนสิ่งชดเชยของฮ่องเต้กลับไป พระราชทานอำนาจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด นางเป็แขนเล็กไม่อาจไปงัดกับขาใหญ่[1]——แต่เฉิงชิงไม่มีทางล้มเลิกไปเช่นนี้ เื่นี้นางจะจดจำเอาไว้ในใจ หลังจากนี้นางจะไปพิสูจน์ด้วยตนเอง
ไฟโทสะที่โหมไหม้ถูกกดทับลงไปแล้ว ความเป็เหตุเป็ผลกลับคืนมา เฉิงชิงไม่เชื่อคำพูดของเซียวอวิ๋นถิงทั้งหมด
แม้จะหาสาเหตุที่เซียวอวิ๋นถิงให้ความสำคัญนางไม่พบ เฉิงชิงเองก็ไม่ได้ดูถูกตนเองว่าไม่มีคุณค่าให้ใช้สักนิด!
เซียวอวิ๋นถิงถูกนางเสียดสีไม่แรงไม่เบาไปเล็กน้อย สีหน้าไม่ยินดี
เฉิงชิงประสานมือแล้วหันกายแล้วเดิน
“เ้าบังอาจ——“
เสี่ยวจี้ยืนรับใช้อยู่ด้านนอกศาลา จิตใต้สำนึก้าสั่งสอนเฉิงชิงที่ไม่เคารพซื่อจื่อเสียหน่อย ถูกเซียวอวิ๋นถิงเอ่ยยั้งไว้ “ดึกแล้ว เ้าส่งเฉิงชิงกลับไป เฉิงชิงคือแขกของข้า อย่าได้เสียมารยาท”
เฉิงชิงและเสี่ยวจี้เป็ไม้เบื่อไม้เมากันอย่างชัดเจน
แต่หากไม่มีเสี่ยวจี้ช่วยเหลือ นางก็ไม่มีวิธีที่จะกลับถึงบ้านโดยไม่ทำให้พวกนางหลิ่วตื่นใ
หากทำให้พวกนางหลิ่วใตื่น เฉิงชิงก็ต้องอธิบายว่าตนเองออกไปไหนกลางดึก ประตูใหญ่ถูกมัดจากด้านในแล้วนางออกไปได้อย่างไร?
เมื่อบอกก็ต้องเอ่ยถึงการพบเจอและพูดคุยกับเซียวอวิ๋นถิง——เื่ที่เซียวอวิ๋นถิงกล่าว เฉิงชิงไม่้าให้นางหลิ่วและเหล่าพี่สาวรู้
ท่าทีของเสี่ยวจี้เ็า เฉิงชิงอารมณ์ไม่ดีเช่นเดียวกัน รอจนเสี่ยวจี้ส่งนางกลับห้อง เฉิงชิงก็ไม่เกรงใจอย่างยิ่ง
“เมื่อแม่นางเสี่ยวจี้มาอีกครั้งหน้า ต้องจำไว้ว่าเดินทางประตูใหญ่ ครอบครัวข้าเล็กเช่นนี้ จ้างผู้คุ้มกันเรือนที่มีวรยุทธ์สูงส่งไม่ไหว ข้าวางแผนจะเลี้ยงสุนัขดุร้ายสักหลายตัวหน่อยไว้เฝ้าบ้าน”
ปีนกำแพงอีกก็ง่ายต่อการถูกสุนัขกัด เฉิงชิงเอ่ยคำพูดหยาบคายนี้ในหัว
เสี่ยวจี้ส่งเสียงฮึ่ม
หากไม่ใช่คำสั่งของซื่อจื่อ ถึงเฉิงชิงใช้เกี้ยวแปดคนหามก็เชิญนางมาไม่ได้หรอก!
อีกทั้งก็ไม่รู้ว่าเหตุใดซื่อจื่อจึงให้ความสำคัญเฉิงชิงผู้นี้
บัณฑิตอั้นโส่วแห่งอำเภอผู้หนึ่งนับว่าเป็อันใดได้ คุณชายเมิ่งที่เป็เช่นเทพเซียนเดินดินเป็บัณฑิตเจี้ยหยวนแล้ว ยังไม่อวดดีเหมือนเฉิงชิง กล้าปฏิเสธการชักชวนของซื่อจื่อ
เมื่อเสี่ยวจี้จากไป กลายเป็เฉิงชิงที่นอนไม่หลับทั้งคืน เกือบจะลืมตาตื่นถึงรุ่งสาง
ตอนเช้าตรู่นางเอ่ยว่า้าไปบ้านห้า
“ข้า้าไปหารือกับท่านปู่ เื่ฝังร่างท่านพ่อขอรับ”
นางหลิ่วพยักหน้า “เ้าอายุยังน้อย ยังไม่เคยมีประสบการณ์เื่พิธีศพ สอบถามให้มากว่าท่านปู่ห้าของเ้ามีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างไร”
เฉิงชิงรับปาก
เมื่อเช่าเรือนแยกของตระกูลวังเกินกว่าครึ่งแล้ว เด็กรับใช้ซือเยี่ยนและซือโม่ทั้งสองคนก็มีที่พักแล้ว ก่อนเฉิงชิงออกจากบ้านก็ได้กำชับซือโม่ให้ไปเป็คนกลางคัดเลือกคน
“้าคนเฝ้าประตูหนึ่งคน ทำอาหารในครัวหนึ่งคน แล้วก็ซื้อสาวใช้ฝีเท้าคล่องแคล่วสองคน แล้วก็ให้ชาวนาส่งสุนัขตัวใหญ่ที่เชื่อฟังมาสองตัวเพื่อเฝ้าบ้าน… ใช่แล้ว วันนี้หากมีคนจากบ้านรองมาเยี่ยมเยียนให้รั้งไว้ที่ประตูทางเข้าก่อน ไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้าบ้านตามใจชอบ”
เฉิงชิงยังอยากปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่เื่ทางโลกก็เป็เช่นนี้ ไม่เซ็นสัญญาขายตัวอย่าว่าแต่นายท่านไม่วางใจเลย แม้แต่ความคิดของคนรับใช้ที่จ้างก็ไม่มั่นคง รู้สึกว่าตนเองเป็แหนที่ไร้ราก
ถึงอย่างไรเฉิงชิงก็ไม่มีทางทารุณคนรับใช้ ขอเพียงนางจ่ายเงินจ้างคนทำงานแล้ว คนรับใช้ที่ทำงานให้นางสามารถเก็บหอมรอมริบเงินไถ่ตัวพอ เฉิงชิงไม่ลังเลที่จะปล่อยอีกฝ่ายไปในอนาคต
ซือโม่ตอบรับเสียงดัง
เฉิงชิงสอบได้เป็บัณฑิตอั้นโส่วประจำอำเภอ อีกทั้งราชสำนักก็ได้เลื่อนขั้นเฉิงจือหย่วนย้อนหลัง ชีวิตของตระกูลเฉิงในตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน เด็กรับใช้ทั้งสองมีใจฮึกเหิมในการทำงานอย่างเต็มเปี่ยม หลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงความยากลำบากที่ทั้งสองเคยเผชิญยามตระกูลเฉิงถูกตรวจสอบ
ตอนนี้การเงินของเฉิงชิงไม่ตึงมือเหมือนเมื่อปีก่อนแล้ว เงินสองร้อยกว่าตำลึงเงินของนางเองล้วนใช้จ่ายไปกับการบุกเบิกเนินเขา เมื่อวานเซียวอวิ๋นถิงประกาศราชโองการ นอกเสียจากบรรดาศักดิ์ของนางหลิ่วและสิทธิ์จำกัดในการเข้าสำนักศึกษาหลวงของเฉิงชิงแล้ว ก็ยังมีชุดประจำบรรดาศักดิ์กงเหรินและหนึ่งร้อยตำลึงทองที่พระราชทานลงมา
หนึ่งร้อยตำลึงทองสามารถเปลี่ยนเป็หนึ่งพันตำลึงเงิน เมื่อวานยามเฉิงชิงรับราชโองการยังรู้สึกว่าฮ่องเต้ของแคว้นเว่ยให้เงินชดเชยอย่างใจกว้าง เมื่อเย็นวานนี้พอได้ฟังคำบอกเล่าของเซียวอวิ๋นถิงแล้วก็หมดคำพูดทันใด
เงินชดเชยอะไรกัน กล่าวว่าเป็ค่าปิดปากยังเหมาะสมกว่า!
เป็ฮ่องเต้ที่ปกป้องฆาตกร ให้ค่าปิดปากตระกูลเฉิง
เฉิงชิงไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น นางต้องข่มความสะอิดสะเอียน ใช้ค่าปิดปากก้อนนี้ให้เกิดประโยชน์อย่างดี เงินที่ใช้ชีวิตของเฉิงจือหย่วนแลกมาย่อมต้องใช้เพื่อให้คนตระกูลเฉิงมีชีวิตความเป็อยู่ที่ดี
แผนการปลูกดอกไม้สามารถดำเนินการต่อไปได้ ให้คนในครอบครัวอยู่อย่างกว้างขวางเสียหน่อย ให้พวกนางหลุดพ้นจากภาระงานบ้านที่หนักหนา เงินก้อนนี้จึงจะไม่นับว่าสูญเปล่า——
เมื่อพบนายท่านห้าแล้วนางจะเอ่ยเช่นนี้
นายท่านห้าไม่ได้เห็นเงินหนึ่งพันตำลึงนี้ในสายตา เฉิงชิงจะใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ รายได้ของเคหาสน์พร้อมที่ดินร้อยหมู่ก็มากประมาณนั้น เฉิงชิงคิดจะเพิ่มรายรับ จึง้าปลูกดอกไม้อะไรนั่น…คนอ่อนวัยรักความท้าทาย ล้วนต้องเคยผ่านประสบการณ์ความล้มเหลวมาแล้วถึงจะนิ่งขึ้น นายท่านห้าปล่อยให้เฉิงชิงท้าทายตนเองไป
รอยามเฉิงชิงไม่มีค่าเดินทางไปสอบเข้ารับราชการ ถึงอย่างไรคนในตระกูลก็ไม่มีทางอยู่เฉย
ที่นายท่านห้า้าจะกล่าวคืออีกเื่หนึ่ง
“คนในครอบครัวนั้นที่อวี๋ซานจับตัวส่งที่ว่าการอำเภอสารภาพแล้ว นายอำเภอหลี่ยินยอมขายไมตรีให้แก่ตระกูลเฉิง ให้พวกเราจัดการเื่นี้กันเอง เ้าตั้งใจไว้ว่าอย่างไร”
“ท่านปู่ขอรับ แคว้นเว่ยมีกฎหมาย ข้ารู้สึกว่าใต้เท้าหลี่จัดการตามกฎหมายก็ไม่เลวแล้ว ท่านว่าเช่นไรขอรับ?”
ความหมายของเฉิงชิงคือไม่ให้ไว้หน้า ให้นายอำเภอหลี่ควรไต่สวนผู้ใดก็ไต่สวนผู้นั้น เจาะตุ่มหนองของตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋!
“เ้าเด็กคนนี้…”
นายท่านห้าถอนหายใจ สุดท้ายแล้วก็ยังคงไม่เอ่ยอะไร
เดิมเขาคิดจะถือโอกาสอาศัยจุดอ่อนเรียกร้องผลประโยชน์จากบ้านรองแทนเฉิงชิงอีกครั้ง สมบัติตระกูลของครอบครัวเฉิงชิงยังคงเบาบาง ในเมื่อมีโอกาสเพิ่มให้หนาขึ้นหน่อย เหตุใดจะไม่ทำเล่า? เดิมทรัพย์สินของบ้านรองมีส่วนหนึ่งที่ควรเป็ของเฉิงจือหย่วน
ครั้งแรกที่บ้านรองก่อเื่ เฉิงชิงได้รับเคหาสน์น้อยหนึ่งร้อยหมู่ ทำผิดครั้งที่สองอีก เฉิงชิงกลับไม่คิด้าการชดเชยของบ้านรองแล้ว นายท่านห้าเองก็ไม่อาจกล่าวว่าเฉิงชิงทำผิด
ผู้ที่ทำผิดคือบ้านรอง ถือดีอะไรมาทำให้เด็กคนนี้ลำบากใจ!
“เจาะก็เจาะเถิด แม้จะเป็การทำให้คนในอำเภอนินทา แต่เ้าเองก็อย่ามีความหวังมากเกินไป นายอำเภอหลี่ไม่มีทางลงโทษคนบ้านรองจริงๆ หรอก สุดท้ายแล้วก็ยังเป็ข้ารับใช้ที่ออกมารับผิดชอบ ข้าได้ยินมาว่าข้างกายนางจูมีแม่นมชราผู้หนึ่งที่ปรนนิบัตินางมาหลายปี ติดโรคร้ายถูกส่งไปรักษาอาการป่วยที่เคหาสน์ในชนบท”
ส่งผู้ใดไป ผู้นั้นก็คือผู้ที่เป็แพะรับบาป
ในเมื่อราชสำนักถ่ายทอดราชโองการเลื่อนขั้นย้อนหลังให้เฉิงจือหย่วน ทั้งยังส่งเยี่ยอ๋องซื่อจื่อมาเป็ข้างหลวงใหญ่ผู้ประกาศราชโองการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ถูกเยี่ยอ๋องซื่อจื่อล่วงรู้แล้วว่าบ้านรองเคยขัดขวางเฉิงชิงในการเข้าร่วมการสอบระดับอำเภอ… แม่นมชราที่ถูกส่งไปชนบทชัดเจนว่าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
เฉิงชิงร้องอืมเบาๆ “คงจะเป็แม่นมโจวกระมัง ฮูหยินผู้เฒ่าจูเชื่อใจแม่นมโจวมาโดยตลอด”
ผู้ที่รักษาอาการป่วยกลับมาไม่ได้อีกแล้ว คดีนี้คนตายเองก็ไม่อาจให้การได้
ชีวิตของคนผู้หนึ่งขาดหายไปเช่นนี้
เฉิงชิงนึกว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวได้ แต่คาดไม่ถึงว่านางกลับไม่มีความรู้สึกมากมายนัก
ที่แท้นางโเี้มากกว่าที่ตนเองจินตนาการเอาไว้!
แต่การที่แม่นมโจวสูญเสียชีวิตเกี่ยวอะไรกับนางด้วย?
ยามทำลายอนาคตของนาง แม่นมโจวเองก็ไม่ได้ยั้งไมตรี
เื่ราวถูกเปิดโปง ผู้ที่้าปิดปากแม่นมโจวคือฮูหยินผู้เฒ่าจู หากแม่นมโจวรู้สึกว่าตายอย่างอยุติธรรม กลายเป็ผีแล้ว ผู้ที่ต้องไปหาก็ควรเป็ฮูหยินผู้เฒ่าจู
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉิงชิงก็สบายใจขึ้นแล้ว
ที่จริงแล้วนายท่านห้าเองก็รู้สึกว่า การที่ราชสำนักเลื่อนขั้นให้เฉิงจือหย่วนย้อนหลังเป็จ้านจื่ออิ่นขั้นสี่เต็มขั้นผิดปกติอย่างมาก นายท่านหกเฉิงเองก็ไม่ได้ส่งจดหมายกลับหนานอี๋ ข้าหลวงใหญ่เซียวซื่อจื่อมาอย่างกะทันหัน นายท่านห้าไม่เข้าใจสาเหตุโดยชัดเจน จึงไม่เอ่ยออกมาทำให้เฉิงชิงหงุดหงิดใจ
เมื่อยุ่งเื่การฝังร่างเฉิงจือหย่วนเสร็จ เดือนหน้าก็เป็การสอบระดับเมืองอีก เฉิงชิงไม่ควรถูกเื่อื่นมาแบ่งความสนใจ
กล่าวถึงเื่การฝังร่างเฉิงจือหย่วน สามวันหลังจากนี้คือวันที่เหมาะสมวันหนึ่ง พลาดวันนั้นไปก็ต้องรออีกหนึ่งเดือนกว่า เฉิงชิงจึงเลือกอีกสามวันหลังจากนี้
“โลงศพของท่านพ่อเก็บไว้ที่บ้านโลงศพมาโดยตลอด ในฐานะบุตรชายก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ฝังร่างเร็วหน่อยก็ขจัดเื่กังวลได้เร็ว หากทางใต้เท้าหลี่้าไต่สวน ยังคงต้องรอหลังจากฝังบิดาข้าไปแล้วเถิด หลีกเลี่ยงการปัญหาใหม่สอดแทรกเข้ามา”
นายท่านห้าเองก็รู้สึกว่าเฉิงชิงยุ่งขึ้นมาจะดีกว่า ทั้งยังเลี่ยงเฉิงชิงและเซียวซื่อจื่อในการติดต่อกันมากด้วย เซียวซื่อจื่อผู้นั้นไม่มีทางอยู่อำเภอหนานอี๋ได้ตลอดโดยไม่จากไปหรอก!
กลับจากบ้านห้า ประตูทางเข้าตรอกหยางหลิ่วก็มีคนสอดส่องมากมาย
ซือโม่ขวางอยู่ตรงประตูใหญ่ เฉิงจือซู่แห่งบ้านรองเหมือนคางคกที่พองลมตัวหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะรอที่ประตูทางเข้านานมากแล้ว
[1] มาจากสำนวน “แขนมิอาจงัดขาใหญ่” หมายถึงผู้ที่อ่อนแอมิอาจต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่ง
