กว่าจะเดินมาถึงบ้านก็เป็เวลาเกือบตีห้า และหันมองไปเห็นรถของคุณภูมิพลจอดอยู่ ผมในร่างมยุรากำหมัดแน่น แทบอยากพุ่งตัวไปต่อยเขาแรง ๆ แต่ความรู้สึกของมยุรากลับย้อนแย้งกลายเป็ห่วงเขา กลัวว่าจะเป็อะไรไป เธอรีบวิ่งขึ้นไปดูคุณภูมิพลทันที หลังจากเปิดประตูห้องนอนพบร่างของคุณภูมิพลนอนหลับอยู่ในชุดสูทเดิมของเมื่อคืน
“คุณภูมิพลคะ คุณภูมิพล” เธอเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กลัวว่าเขาจะเป็อะไรไปใน่ที่เธอไม่อยู่ ทว่าเขาค่อย ๆ ขยับกายแล้วลืมตาขึ้นช้า ๆ ผมที่หลุดออกมาจากร่างของมยุราอย่างไม่ทันตั้งตัว ได้แต่ส่ายศีรษะมองเขานิ่ง
“กลับมาแล้วเหรอ” เขาบิดตัวไปมาทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางสายตาของมยุราที่ไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยม
“คุณไม่สบายจริง ๆ เหรอคะ กินยาหรือยัง เดี๋ยวฉันไปหายามาให้”
“ไม่ต้อง ผมจะอาบน้ำ ไปทำงานแล้วล่ะ คุณช่วยไปทำอาหารเช้าให้ผมหน่อยสิ”
“แน่ใจเหรอคะว่าจะไม่กินยา คุณเผลอหลับไปขนาดนั้น ฉันคิดว่าคุณต้อง...” เขาไม่เพียงไม่ฟัง แต่ถกผ้าห่มออกจากกายแล้วลุกขึ้นเข้าห้องน้ำไป โดยไม่ถามสักคำว่ามยุรากลับบ้านมายังไง
‘ถ้าผมต่อยคุณได้นะ ผมจะต่อยไม่ยั้งเลย’ ผมที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ได้แต่กำหมัดแน่น ก่อนจะเดินตามมยุราลงมายังชั้นล่าง เธอรีบหันไปหยิบไข่ที่เหลืออยู่ไม่กี่ใบ มาเจียวให้เขา ด้วยความตั้งใจ โดยไม่รู้เลยว่าสามีตัวตัวดีไม่ได้ป่วย แต่แอบไปหารักเก่าจนอิ่มใจมาแล้วต่างหาก
‘คุณจะเลิกโง่กี่โมงมยุรา’ ผมกอดอกยืนมองเธอ แล้วขบคิดอย่างเงียบ ๆ เป็ความสัมพันธ์โง่เง่าที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ ๆ ผมก็น้ำตาไหลออกมาจนต้องปาดออก โกรธตัวเองทุกครั้งที่เขาทำไม่ดีกับมยุรา
จากนั้นความรู้สึกผม ได้ถูกโลกปัจจุบันดึงกลับมา และค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นหันมองไปยังม่านหน้าต่างที่มีแสงลอดเข้ามา แล้วหลับตาลงช้า ๆ เพื่อปรับความรู้สึกตัวเอง
“คุณฝันร้ายเหรอ?” เสียงคุ้นหูทำให้ผมขมวดคิ้ว แล้วหันไปพบกับร่างของคุณหมอนาวินยืนมองผมพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น แต่นั่นแหละ ยิ่งเข้าไปเห็นว่าอดีตเคยเป็ยังไง ผมก็ควรอยู่ห่างเขาไว้ดีที่สุด
“หมอรู้ได้ยังไงว่าผมฝันร้าย?” เขาเลื่อนสายตามาที่หมอนของผม ปรากฏว่าบนหมอนใบนี้มีคราบน้ำตาอยู่เต็มไปหมด ไม่เท่านั้นใบหน้าของผมก็มีน้ำตาเปื้อนอยู่ ผมรู้ตัวจึงรีบปาดออกอย่างรวดเร็วแล้วพูดแก้ในทันที
“ปกติผมชอบฝันร้าย”
“ฝันว่าอะไรเหรอ” เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วเลิกคิ้วถาม
“ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร ไม่เกี่ยวกับการกายภาพซะหน่อย คุณหมอไม่จำเป็ต้องรู้หรอก” คิดว่าจะโกรธแต่เขากลับยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“อยากออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้างไหม?” ทั้งที่ใจจริงอยากต่อยเขาสักหมัดสองหมัด แต่พูดแบบนี้ทำให้ผมสองจิตสองใจอยู่เหมือนกัน อยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก ไม่ได้ออกมาไปไหนมาไหนเกือบเดือนแล้ว
“นิ่งแบบนี้ ไม่ไปใช่ไหม”
“ไปสิ” ผมตอบเขาทันที ที่เคยคิดอยากต่อยเขา สักหมัดสองหมัดหายไปในพริบตา เขาพาผมนั่งรถเข็น ไปนั่งสูดอากาศยังสวนน้อย ๆ ของโรงพยาบาล สถานที่ตรงนั้นสะอาด สดชื่น และเงียบสงบ แตกต่างจากใจของผม ที่มีคำถามมากมายผุดขึ้น อะไรที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งใจร้ายกับภรรยาตัวเองได้ขนาดนั้น ให้ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเท้ากลับบ้านดึก ๆ คนเดียว แต่เขากลับไปนอนอย่างสบายใจโดยไม่นึกห่วง ต้องเป็คนแบบไหนถึงใจร้ายได้ขนาดนี้ สายลมอ่อน ๆ พัดมาปะทะผมกับคุณหมอเบา ๆ
“ที่นี่เงียบดีนะ” ผมพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเรา และเขาเพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ ตอบรับ ผมมองหน้าของเขาลังเลว่าจะถามสิ่งที่ค้างคาในใจดีไหม แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้สายลมพัดพาความกล้าทิ้งไป เกรงว่าคำตอบนั้นจะทำให้ผมเกลียดเขามากกว่าเดิม
“ผมไม่เคยรู้มาก่อน ว่าคุณหมอนาวิน เป็แพทย์ประจำตัวคุณปู่ธลากร”
“ที่จริง ผมจำได้ว่าเราเคยเจอกันแล้วหลายครั้ง แต่คุณอาจจำไม่ได้” ผมหันมองหน้าเขา ก่อนเขาจะยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผมไปตรวจอาการคุณธลากรเดือนละสองครั้งที่บ้าน และก็เห็นคุณในชุดนักศึกษาเดินผ่านไปมา เพียงแต่ว่าคุณไม่เคยมองผมตรง ๆ ก็แค่นั้น” คำตอบของคุณหมอทำให้ผมนึกย้อนกลับไป จริง ๆ แล้วผมก็มีนิสัยอย่างนั้น ไม่เคยสนใจว่าใครจะมาบ้าน ไม่เคยสนใจว่าแขกนั้นจะเป็ใคร มาจากไหน ทำธุระอะไร เพราะพวกเขาเ่าั้ ไม่ใช่คนสำคัญ เท่ากับกลุ่มเพื่อนที่ให้ความสุขในทุกวัน ผมได้แต่นิ่งแล้วยิ้มเล็กน้อย มองตรงไปยังดอกไม้สีสดที่ชูช่อสวยงามตรงหน้า
“ถ้างั้นคุณหมอก็พอรู้บ้างสินะ ว่าผมไม่ใช่คนดี เป็คนเอาแต่ใจและรักอิสระมาก ๆ การที่ผมอยู่ติดกับคุณหมอมานาน บางทีผมก็เริ่มเบื่อแล้ว” ผมตัดสินใจพูดไปตรง ๆ เพราะไม่อยากเห็นเื่ราวในอดีตของเขาอีกแล้ว ความเห็นแก่ตัวของเขามีมากเกินกว่าผู้ชายเทา ๆ อย่างผมจะรับได้ แต่แทนที่จะสะท้านกับคำพูดของผม เขากลับย่อตัวลงมองมาด้วยแววตาสงบนิ่ง ราวกับว่าเป็เพียงแค่ลมที่พ่นผ่านหูเท่านั้น
“เบื่อก็ต้องทน” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกหูร้อนขึ้นมาแล้วตอบกลับ
“ผมจะเปลี่ยนหมอคนใหม่”
“ใครนะ ยังขอบคุณผมอยู่เลย ที่ผมช่วยชีวิตไว้” คราวนี้ผมหันมองไปยังเขา เอาจริง ๆ ไม่เคยคิดอยากต่อยใครเท่านี้มาก่อน ที่เขากล้าท้าทายเพราะรู้ว่าการตัดสินใจทั้งหมด ไม่ได้อยู่ที่ผม แต่อยู่ที่พ่อกับแม่ ซึ่งพวกท่านไม่มีทางเปลี่ยนหมอใหม่ให้ผมแน่ ๆ หมอคนนี้ชักจะเข้ามาในชีวิตผมมากเกินไปแล้วจริง ๆ
“คุณมีปานชมพูตรงข้อมือมาั้แ่เกิดเหรอ?” คำถามของเขาทำให้ผมก้มมองปานชมพูอ่อน ๆ ข้างขวา หากไม่สังเกตดี ๆ จะไม่มีใครเห็น ที่จริงมันติดตัวผมมาั้แ่เกิดและไม่มีใครพูดถึงมานานหลายปีมากแล้ว ผมก้มมองมันอย่างเงียบ ๆ แล้วพยักหน้า
“คุณหมอคะ มีคนมาขอพบค่ะ” อยู่ ๆ พยาบาลคนสวยที่ผมไม่คุ้นหน้า ก็เดินเข้ามาทำลายบรรยากาศอึมครึม
“ใครเหรอครับ” คุณหมอนาวินละสายตาจากข้อมือของผม แล้วถามพยาบาลด้วยกิริยาราบเรียบดังเดิม
“บอกว่าชื่อ พรรณีค่ะ” สิ้นเสียงของพยาบาล ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า ผมกำลังเจอเื่บ้าอะไรกันแน่ ชื่อนี้ตามหลอกหลอนผมมาสองครั้งแล้ว ความคิดผมยังไม่ทันจางหาย ร่างของหญิงสาวบอบบาง สวมชุดกระโปรงสีขาว ผมตรงยาว ก็เดินสวนเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แน่นอนว่าเพียงแค่เห็นเธอเท่านั้น ทุกอย่างรอบกายก็หยุดนิ่ง
ใช่ครับ เธอคือพรรณี คนเดียวกันกับคนรักของคุณภูมิพลที่ผมเห็นในภวังค์บ่อย ๆ และนั่นทำให้ผมสะท้อนใจขึ้นมาว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เื่บังเอิญ ในตอนนั้นไม่รู้ว่าสีหน้าของผมแสดงออกมากน้อยเพียงใด แต่ก็ทำให้คุณหมอนาวินเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงเป็ห่วง
“คุณอาคิราห์ เป็อะไรหรือเปล่า?”
“เปล่า ถ้าคุณหมอมีธุระ ก็ไปคุยเถอะ ผมรอตรงนี้ได้” ว่าแล้วเขาก็หันไปยังคุณพรรณี แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ปิดบัง
“ตอนนี้ผมอยู่ในเวลางาน และยังมีคนไข้ต้องดูแล คุณกลับไปก่อนเถอะ”
“แต่ว่าคุณพ่อของคุณ ให้ฉันมารอรับคุณกลับบ้านค่ะ” คุณหมอหันหน้ามายังผม และผมที่กำลังตั้งใจฟังอยู่นั้น ก็เผลอทำตัวไม่ถูกจนต้องหันหน้าไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อน
“วันนี้ผมเอารถมาทำงาน เสร็จงานแล้วผมจะแวะไปหาคุณพ่อเอง ไม่ต้องลำบากให้คุณรอ คุณกลับไปก่อนเถอะ” แทนที่เธอจะโกรธหรือแสดงความไม่พอใจ กลับพยักหน้ายิ้มแล้วยอมจากไป ผมรู้สึกแปลกกับท่าทีไม่ดื้อรั้นของเธอ ก่อนหันมาพบสายตาคุณหมอนาวิน ที่เห็นผมกำลังชะเง้อมองแฟนเขา จึงกลบเกลื่อนด้วยการหันไปทางอื่นทำไม่รู้ไม่ชี้
“อยากขึ้นห้องพักหรือยัง?” เขาถามขึ้นทันที ผมพยักหน้าตอบรับ เพราะไม่อยากรบกวนเวลาเขามากเกินไปนัก
“แฟนคุณหมอเหรอ?” ขณะที่เขากำลังเข็นรถผมขึ้นห้องพัก ระหว่างนั้นบทสนทนามีแต่ความเงียบ ผมจึงเอ่ยถามอยากรู้ว่าจะเดาถูกไหม กับความสัมพันธ์ของพวกเขาที่สืบทอดมาจากอดีต
“ใคร?” เขาหยุดเดินแล้วถาม
“ผู้หญิงคนนั้นไง ที่ชื่อพรรณี” เขาเงียบครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ
“เธอไม่ใช่แฟน”
“อีกหน่อยก็ใช่”
“ไม่มีใครรู้ดีเท่าผม” คำตอบของเขา ทำให้ผมนึกแย้งในใจ ความจริงแล้ว ผมต่างหากที่รู้ว่าเขาเคยเป็คนยังไง เห็นแก่ตัวแค่ไหน บางทีผมอาจรู้จักเขาดีกว่าใครด้วยซ้ำ แต่นั่นก็ทำให้ผมเงียบและไม่ตอบโต้