ฟู่ถิงเย่หันกลับมามองนาง
นางมีรูปโฉมงดงาม แต่ก็เป็เพียงแค่พอใช้ได้เท่านั้น นางอ่อนโยนนิ่มนวล ดูอายุราวๆ สิบแปดสิบเก้าปี ท่าทางราวกับเด็กน้อย สำเนียงแปลกประหลาด ทั้งยังไม่รู้ที่มาที่ไป...
ยามนี้ สตรีผู้ไร้ที่มาที่ไปนางนี้ ้าจะพูดอะไรกับเขากันแน่?
หวาชิงเสวี่ยจ้องมองชายร่างั์ตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล นางเดาถูกแล้ว แท้จริงแล้วเขาคือท่านแม่ทัพฟู่! หวาชิงเสวี่ยรู้สึกตื่นเต้นปนประหม่าเล็กน้อย นางถามเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่ทัพ ท่านพาข้าออกจากเมืองไปด้วยไม่ได้จริงๆ หรือ? ข้า...ขอแค่ได้ออกจากเมืองไปก็พอแล้ว...”
จริงๆ นะ นางขอแค่ได้ออกจากเมืองไปก็พอแล้ว
นางจะไม่เกาะติดองค์รัชทายาทอีก และจะไม่ไปเมืองเซิ่งจิงซึ่งเป็เมืองหลวงกับองค์รัชทายาท นางแค่อยากหาเมืองที่ค่อนข้างสงบสุข เพื่อใช้ชีวิตต่อไป...
ฟู่ถิงเย่ไม่ได้ปฏิเสธนางในทันที
เขาเคยผ่านศึกา รู้ว่าหากสถานที่เช่นนี้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาจะเป็อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงสตรีเพียงนางหนึ่ง ต่อให้เป็บุรุษก็ยังเอาตัวไม่รอด
การปล้น ชิงทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย หรือแม้กระทั่งฆ่าคน...เื่ทำนองนี้ล้วนต้องอาศัยวิธีนองเืข่มขวัญผู้คน
เดิมที เขาแค่อยากปกป้ององค์รัชทายาท ไม่อยากก่อเื่วุ่นวายไปมากกว่านี้ แต่เมื่อมองดวงตาคู่นั้นของหวาชิงเสวี่ย ฟู่ถิงเย่ก็ลอบถอนหายใจเงียบๆ ...
“ข้าจะหาวิธีให้ได้” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฟู่ถิงเย่ก็ตอบกลับ
ไม่ได้รับปาก เพียงแค่กล่าวอย่างชัดเจน เขาจะหาวิธีให้ได้
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกโล่งใจ หากหาวิธีได้ ก็มีความหวัง
บนใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ “ขอบคุณท่านแม่ทัพมากเ้าค่ะ”
ฟู่ถิงเย่ยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหลังเดินจากไป
ทันทีที่ฟู่ถิงเย่จากไป หวาชิงเสวี่ยก็ไม่กล้าอยู่นอกประตูนาน นางเคาะประตู แล้วลากถุงเสบียงที่ฟู่ถิงเย่ทิ้งไว้เข้าไปในเรือน
...
เสียงอึกทึกครึกโครมด้านนอกยังคงดังก้องไม่หยุดจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ระหว่างนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอย่างแรงดังหลายครั้ง เป็คนแปลกหน้าที่หวาชิงเสวี่ยไม่เคยเห็นมาก่อน นางจึงไม่กล้าเปิดประตู
ตอนกลางคืน ทั้งสองคนต้มโจ๊กกับผักรวมกันง่ายๆ รสชาติไม่ค่อยดีนัก นี่เป็ครั้งแรกที่หลี่จิ่งหนานไม่พูดจาเสียดสี หวาชิงเสวี่ยรู้ว่าเขาตึงเครียดยิ่งกว่านางเสียอีก
พอตกดึก ในที่สุดเสียงด้านนอกก็เงียบสนิท แต่หวาชิงเสวี่ยนั่งไม่ติด นางรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก
หลี่จิ่งหนานก็ไม่ง่วงนอนเช่นกัน ดวงตาเหลือบมองไปทางประตูเป็ระยะ ราวกับว่าจะมีสัตว์ร้ายกระโจนเข้ามาทุกเมื่อ
ถึงแม้จะเข้าสู่ยามราตรีแล้ว แต่ภายนอกกลับสว่างไสว แสงจันทร์สีขาวสะท้อนแสงนวลบางลงบนพื้นหิมะ
ทันใดนั้นหวาชิงเสวี่ยก็ลุกขึ้นนั่ง สวมรองเท้าลงจากเตียงโดยไม่พูดอะไร
หลี่จิ่งหนานก็รีบลงจากเตียงเตาตามนางไป เดินติดตามหวาชิงเสวี่ยอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าว
หวาชิงเสวี่ยเดินเข้าไปที่ลานเรือน นางนำไม้ไผ่ทั้งหมดในลานมาตั้งขึ้น มัดให้แน่นด้วยเชือกป่าน ร้อยเชือกป่านเส้นใหญ่เข้าไปตรงกลาง จากนั้นก็นำเสื้อผ้าของทหารเหลียวทั้งหมดแขวนขึ้นไป!
หลี่จิ่งหนานก็มาช่วยนางตากผ้าด้วย หลังจากผูกเชือกป่านทั้งสองเส้นแล้ว หวาชิงเสวี่ยยังรู้สึกว่าไม่พอ จึงนำเชือกอีกเส้นไปผูกไว้กับคานด้านนอกห้อง ดึงไปผูกกับต้นไม้เตี้ยๆ ในลาน มัดให้แน่น แล้วแขวนเชือกที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า
เดิมทีลานเรือนก็ไม่ได้กว้างขวางนัก ตอนนี้ยิ่งเหมือนถูกเสื้อผ้าถมเต็มไปหมด เดินไปทุกๆ สองก้าวก็ต้องหลบเสื้อผ้าที่ขวางทาง
หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จ หวาชิงเสวี่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางลูบหัวของเด็กน้อยข้างๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า “เอาล่ะ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว...”
ถึงแม้จะดูเหมือนตั้งใจสร้างสถานการณ์ข่มขู่เพื่อตบตาเกินไปบ้าง แต่เสื้อผ้าของทหารเหลียวเหล่านี้ก็น่าจะสร้างความหวาดหวั่นได้
เมื่อความตึงเครียดผ่อนคลายลง ความง่วงก็ตามมา
ตากเสื้อผ้าเยอะเกินไป แขนจึงรู้สึกหนักอึ้ง เอวก็รู้สึกปวดเมื่อยอย่างยิ่ง ทั้งสองกลับเข้าไปในห้องแล้วก็หลับไปอย่างรวดเร็ว
แต่คืนนี้กลับไม่สงบสุขนัก
พอผ่าน่กลางดึกไป หวาชิงเสวี่ยก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงอึกทึกครึกโครม พอนางลืมตาขึ้นมาก็พบว่าหลี่จิ่งหนานไม่อยู่ที่นี่!
หวาชิงเสวี่ยลุกพรวดขึ้นมา แล้ววิ่งออกไปทันที!
เห็นหลี่จิ่งหนานปีนอยู่บนต้นไม้เตี้ยๆ ต้นนั้น ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่
“ข้างนอกเกิดเื่อะไรขึ้น?” หวาชิงเสวี่ยถาม
หลี่จิ่งหนานไม่พูดอะไร
หวาชิงเสวี่ยหาอิฐมาจำนวนหนึ่ง ยืนเขย่งเท้าเหยียบแล้วมองออกไปนอกกำแพง
ข้างนอกเกิดเื่ขึ้นจริงๆ ด้วย!ดูเหมือนจะเป็ทางถนนใหญ่ด้านตะวันออก ห่างจากที่นี่ไปไม่กี่่ถนน ที่นั่นมีคบเพลิงนับไม่ถ้วนส่องสว่างเป็ผืนเดียว! ขณะที่แสงไฟส่องสว่าง ก็มีเสียงผู้คนโห่ร้องดังระงม!
ในหัวของหวาชิงเสวี่ยเหลือเพียงสองคำปรากฏขึ้น คือ แย่แล้ว!
นางรีบดึงหลี่จิ่งหนานที่นิ่งอยู่บนต้นไม้ลงมา!
ตอนนี้บนใบหน้าของหลี่จิ่งหนานเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความปีติยินดี!
“พวกเขาก่อจลาจลแล้ว! พวกเขากำลังลุกฮือต่อต้านชาวเหลียว!”
หวาชิงเสวี่ยรีบปิดปากเขา “หยุดพูดเดี๋ยวนี้!”
สถานการณ์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว การต่อต้านในตอนนี้สำหรับทหารเหลียวก็ไม่ต่างอะไรกับการเกาไม่ถูกที่คัน! หวาชิงเสวี่ยไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ นางเกือบจะเห็นจุดจบที่โหดร้ายและการนองเืแล้ว! สำหรับทหารเหลียว นี่เป็โอกาสดีที่สุดในการเชือดไก่ให้ลิงดู!
หวาชิงเสวี่ยผลักหลี่จิ่งหนานเข้าไปในห้อง หลี่จิ่งหนานยังคงสงบสติอารมณ์ไม่ได้ ในฐานะองค์รัชทายาทแห่งแคว้นต้าฉี ความแค้นต่อชาวเหลียวได้ฝังลึกอยู่ในจิติญญาของเขา เมื่อคิดว่าชาวต้าฉีกำลังต่อต้านชาวเหลียว เขาจึงตื่นเต้นจนควบคุมไม่ได้!
“ฆ่าชาวเหลียว ฆ่าชาวเหลียว! ...หวาชิงเสวี่ย! ข้าจะไปหาฟู่ถิงเย่! ให้ฟู่ถิงเย่ช่วยพวกเขาฆ่าชาวเหลียว!”
หวาชิงเสวี่ยคว้าจับแขนของหลี่จิ่งหนานไว้แน่น “เ้าใจเย็นๆ ก่อน!”
“เพราะเหตุใด?!” หลี่จิ่งหนาน้าวิ่งออกไป เขาพยายามขัดขืน “หากช้ากว่านี้ก็ไม่ทันแล้ว! ต้องใช้โอกาสตอนนี้ ในตอนที่เป็่ที่พวกเขามีกำลังใจมากที่สุดสิ!”
หวาชิงเสวี่ยได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ก็รู้สึกเ็ปในใจ นางไม่อยากทำลายจินตนาการของเด็ก แต่ตอนนี้มีแค่นางที่อยู่ข้างๆ เขา!
หวาชิงเสวี่ยโอบกอดเขาไว้แน่น พยายามหยุดเขาด้วยกำลังทั้งหมดที่มี “เ้าไปไม่ได้! พวกนั้นเป็แค่กลุ่มคนไร้ระเบียบ! จุดจบของพวกเขามีแต่ความตาย!”
เพี้ยะ!
หลี่จิ่งหนานเหมือนลูกสัตว์ที่กำลังโกรธ ดิ้นสุดแรงเพื่อให้หลุดออกไปได้! เขาทั้งเตะทั้งทุบตีหวาชิงเสวี่ย เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและฟาดฝ่ามือไปครั้งหนึ่ง!
“สารเลว! เ้ามันสารเลว!” หลี่จิ่งหนานผลักนาง แผดเสียงะโออกมา “พวกเขาคือนักรบผู้กล้าหาญแห่งแคว้นต้าฉีของข้า! เ้ากล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?! เ้ามันสตรีโง่เง่า!!!”
หลี่จิ่งหนานแม้จะอายุยังน้อย แต่แรงตบของเขาก็ไม่เบา ใบหน้าของหวาชิงเสวี่ยบวมแดงขึ้นมาครึ่งหนึ่งทันที แต่นางก็ไม่สนใจ รีบเดินไปถึงประตูหน้า แล้วขวางประตูเอาไว้ กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ใช่ พวกเขาคือนักรบผู้กล้าหาญ เพียงแต่ว่า พวกเขาไม่ใช่ทหารที่ผ่านการฝึกฝน! ยิ่งไม่ใช่กองทัพที่ผ่านการฝึกฝน! เมื่อทหารเหลียวมาถึง พวกเขาก็จะกลายเป็เหมือนทรายที่ไม่มีรูปร่าง ใครอยากจะทำอะไรก็ได้!”
หลี่จิ่งหนานยืนะโอยู่กลางห้อง “แต่ฟู่ถิงเย่อยู่ในเมือง! ฟู่ถิงเย่เป็แม่ทัพที่เก่งที่สุดของแคว้นต้าฉี!”
“ไม่ ฟู่ถิงเย่จะถูกคนบ้าพวกนั้นลากไปตายด้วย” หวาชิงเสวี่ยยืนขวางประตูอย่างแน่วแน่ ไม่ขยับเขยื้อน
ไม่นานนักก็มีเสียงต่อสู้วุ่นวายดังมาจากที่ไกลๆ เสียงร้องไห้ เสียงะโ เสียงกรีดร้องเสียดแทง เสียงต่างๆ ดังระงมไปทั่วเมืองที่ส่องสว่างด้วยแสงไฟ
า การฆ่าฟัน ที่แท้ก็อยู่ใกล้ตัวขนาดนี้...
ร่างกายของหวาชิงเสวี่ยค่อยๆ ทรุดลง จนนั่งลงกับพื้น นางมองหลี่จิ่งหนานด้วยสายตาที่แทบจะอ้อนวอน “อย่าออกไปเลย พวกเขาแค่ถูกความฮึกเหิมและความโกรธแค้นครอบงำ การกระทำที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบนั้นอยู่ได้ไม่นาน ต่อให้เ้าไปพบแม่ทัพฟู่ เขาก็จะไม่เข้าร่วม! ไม่มีแผน ไม่มีเป้าหมาย แม้แต่ระเบียบวินัยก็ไม่มี คนกลุ่มนี้ต้องตายอย่างแน่นอน!”
หลี่จิ่งหนานกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาดำขลับมีน้ำตาเม็ดโตไหลอาบเต็มหน้า หวาชิงเสวี่ยรู้สึกปวดใจอย่างยิ่ง...
แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้...
นางไม่มีทางเลือกจริงๆ
นี่เป็ครั้งแรกที่หลี่จิ่งหนานร้องไห้ต่อหน้านาง โดยไม่สนใจมารยาทของราชวงศ์ เขา...ร้องไห้สะอึกสะอื้นฟูมฟาย!
“ฮือฮือฮือฮือ!...” หลี่จิ่งหนานโผเข้ากอดหวาชิงเสวี่ย “ฮือฮือฮือ...ข้าจะฆ่าพวกมัน! ...ข้าจะฆ่าพวกมัน!”
คนที่ยึดครองดินแดนของข้า! คนที่ฆ่าประชาชนของข้า! สักวันพวกมันจะต้องชดใช้!
...
หลี่จิ่งหนานร้องไห้อยู่นาน จนแทบหมดแรง หลังจากนั้นก็ยังสะอึกสะอื้นขณะนอนหลับ
หวาชิงเสวี่ยก็เหนื่อยมากเช่นกัน เสียงอึกทึกครึกโครมด้านนอกดังขึ้นเป็ระลอกๆ ตลอด่ครึ่งคืนก่อนรุ่งสาง บางครั้งก็เสียงดัง บางครั้งก็เสียงเบา นางทั้งง่วงทั้งเหนื่อย แต่ก็กลัวจนไม่กล้าหลับตาลง พอท้องฟ้าเริ่มเป็สีขาวสว่าง หวาชิงเสวี่ยจึงแตะหน้าผาก พบว่าตัวเองมีอาการตัวร้อนเล็กน้อย
ข้างนอกเพิ่งเกิดเื่วุ่นวายขึ้น ในเวลานี้ ไม่เหมาะที่จะออกไปหาหมอเพื่อซื้อยาเลย
หวาชิงเสวี่ยถอนหายใจเบาๆ ภายในใจ นางสวมเสื้อคลุมแล้วลงจากเตียงเตา หยิบคีมคีบเขี่ยถ่านในเตาเบาๆ เมื่อเปลวไฟลุกโชนขึ้น นางจึงตั้งหม้อใบใหญ่เพื่อต้มน้ำ แล้วเอาน้ำแข็งจากข้างนอกใส่ลงไปในหม้อต้มน้ำร้อน
หากเดินลึกเข้าไปในซอยจะมีบ่อน้ำอยู่ที่หัวมุม คนในซอยนี้ใช้น้ำจากบ่อน้ำนั้น ถึงแม้ระยะทางจะอยู่ไม่ไกล แต่หวาชิงเสวี่ยก็ไม่อยากเสี่ยง
โชคดีที่ฤดูหนาวก็มีข้อดีเช่นกัน อย่างเช่นตอนนี้ ถ้าอยากดื่มน้ำ ก็แค่ขนหิมะเข้ามาในห้องก็พอ
ในบ้านไม่มียา หากป่วย ทางออกเดียวที่หวาชิงเสวี่ยคิดได้คือวิธีดื่มน้ำร้อนเท่านั้น
...
บางเื่ ยิ่งไม่อยากให้มันเกิดขึ้น มันก็ยิ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากที่หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าตัวเองตัวร้อนเล็กน้อย ผ่านไปแค่ชั่วยามเดียว หลี่จิ่งหนานก็เริ่มมีไข้สูงเช่นเดียวกัน
หวาชิงเสวี่ยพยายามรวบรวมสติ เช็ดหน้าผากและรักแร้ของหลี่จิ่งหนานซ้ำไปซ้ำมา
นางเคยต้องทนทุกข์แบบนี้ที่ไหนกัน? ั้แ่มาถึงโลกแปลกๆ แห่งนี้ ก็ต้องอยู่อย่างหวาดผวา กินไม่อิ่ม นอนไม่อุ่น แม้กระทั่งชีวิตก็อาจจะถูก่ชิงไปได้ทุกเมื่อ
หลี่จิ่งหนานอยู่ในอาการมึนงง สติสัมปชัญญะเลือนราง เสียงของเขาแหบแห้ง “หวาชิงเสวี่ย ข้าปวดหัวมาก...”
หวาชิงเสวี่ยจึงนำผ้าชุบน้ำเย็นมาวางไว้ที่หน้าผากของเขา “ไม่ปวดแล้ว ไม่ปวดแล้ว...อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว...”
นางมองหลี่จิ่งหนานด้วยความทุกข์ระทมใจ นางไม่รู้ว่าตัวเองจะทนกับชีวิตที่หวาดผวาเช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหน...
ตัวนางเองนั้นช่างเถอะ แต่หลี่จิ่งหนานยังเล็กขนาดนี้ ์ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว...
หากมีวีรบุรุษสักคน หากว่า...หากตอนนี้มีวีรบุรุษสักคนมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากนี้ได้ก็คงจะดี...
หวาชิงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น ตนเองถูกบีบคั้นจนต้องมีความคิดที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ได้อย่างไร
มีเสียงดังมาจากนอกประตู ตามด้วยเสียงฝีเท้าเบาๆ หลายครั้ง
หวาชิงเสวี่ยรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู เนื่องจากตัวร้อน ฝีเท้าของนางจึงไม่มั่นคงนัก ทันทีที่เปิดประตู แสงอาทิตย์ยามเช้าก็ทำให้นางหน้ามืด
ในขณะที่อยู่ในอาการวิงเวียน หวาชิงเสวี่ยมองเห็นร่างของชายคนหนึ่ง...