ยามนี้ชายหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์เย้ายวนกลับนิ่งสงบ แลดูอบอุ่นอ่อนโยน โม่เสวี่ยถงลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยสัญชาตญาณ ร่างกายที่แข็งเกร็งพลันอ่อนยวบ หัวเราะฝืดเฝื่อนในหัวใจ นี่เขาปีนหน้าต่างเข้าห้องผู้อื่นยามดึกบ่อยเกินไปแล้วกระมัง แต่นางกลับไม่รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิด คล้ายว่าหากเขาไม่มาปรากฏตัวในยามนี้จึงจะเป็เื่แปลก
ความรู้สึกเคยชินของคน เป็อีกเื่หนึ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
เฟิงเจวี๋ยหร่านยกยิ้มพราวเสน่ห์หลอมหัวใจให้ละลาย ดวงตาสุกใสพราวระยับเสมือนคลื่นน้ำชักขวางใส่นางทีหนึ่ง กล่าวเสียงขุ่น “ทำไม ไม่รู้จักข้าแล้วหรือ? เกินไปแล้วนะ ข้าอุตส่าห์ฝ่าลมหนาวแล่นมาหาเ้าถึงที่นี่”
“ข้าก็ไม่ได้เชิญท่านมาเสียหน่อย...” พอโม่เสวี่ยถงได้ยินคำพูดที่มักหาเหตุผลให้ตนเองอยู่เสมอของเขาก็ขบริมฝีปาก โต้กลับอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นคลึงศีรษะที่คล้ายยังมึนงงแล้วหยัดกายลุกขึ้น ทำให้เส้นผมสีดำสนิทดั่งราตรีปรกลงมาคลุมใบหน้าเล็กขาวซีด ยิ่งดูยิ่งน่าสงสาร
“ข้าดูเป็คนที่เ้าอยากเชิญก็เชิญมาได้กระนั้นหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านต่อปากอย่างไม่อินังขังขอบ เอื้อมมือเข้าไปหยิบหมอนหนุนใบใหญ่มาวางรองไว้ด้านหลังให้นางพิง “ข้าช่วยเ้าแต่ละเื่มีแต่เื่ใหญ่ๆ ทั้งนั้น ดึกดื่นค่อนคืนแล้วก็ยังไม่วายมาเยี่ยมเยียน เ้ากล้าชักสีหน้าใส่ข้าได้อย่างไรกัน นี่หรือคือวิธีที่เ้าใช้ปฏิบัติต่อแขกที่มาหาด้วยความหวังดี แบบนี้... นิสัยไม่ดีเลย”
พอเห็นเขาจงใจแสร้งตัดพ้อเหมือนไม่ได้รับความเป็ธรรม โม่เสวี่ยถงก็โมโหจนไม่รู้จะว่าอย่างไร ได้แต่คลึงศีรษะที่ยังปวดอยู่หน่อยๆ แล้วเอนหลังพิงหมอน หายใจหนักๆ สองครั้งก่อนเบิ่งตาขึ้น ไม่แยแสว่าตนเองจะอ่อนแรง เอ่ยวาจากระแทกกระทั้นอย่างอดไม่ได้ “นิสัยไม่ดี... ก็ยังดีกว่าคนที่ชอบปีนเข้าห้องผู้อื่นกลางดึกก็แล้วกัน”
คนผู้นี้ช่างยั่วโมโหเก่งจริงๆ ปีนห้องจนติดนิสัย นางมองแสงจันทร์จากนอกหน้าต่าง ดึกดื่นค่อนคืนเยี่ยงนี้ไม่หลับไม่นอน กลับแล่นมาหาชาวบ้าน ซ้ำยังมาตำหนิว่าผู้อื่นนิสัยไม่ดีอีก
หากใครเห็นเข้า นางยังจะแต่งงานออกอีกหรือ!
ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาย่อมไม่นำพาต่อชื่อเสียง แต่นางยังต้องออกเรือนอยู่นะ จะให้ยอมสละชื่อเสียงมาเล่นไร้สาระเป็เพื่อนเขาได้อย่างไร
“เอาหน่า... แม้ว่าเปิ่นหวางจะนิสัยไม่ดี แต่ก็ชมชอบของแปลกนี่นา ดังนั้นจึงแวะมาชมความคึกคักเสียหน่อย ด้วยนิสัยดื้อรั้นสู้ไม่ถอย ตีไม่ตายอย่างเ้า ไฉนอยู่ดีๆ จึงกระอักเืจนเป็ลมไปได้เล่า หรือว่ามีสิ่งใดที่คิดอยากได้แต่ไม่ได้ดังใจ โอ้... หรือว่าสิ่งนั้นจะเป็เปิ่นหวางกันหนอ... เอาล่ะๆ จะลองพิจารณาอีกครั้งแล้วกัน ไม่ใช่เื่หนักหนาเปลืองแรงอันใด เปิ่นหวางแต่งกับเ้าก็ได้”
เฟิงเจวี๋ยหร่านหรี่ตาลงช้าๆ ลอยหน้ายั่วเย้าเข้ามา ความหล่อเหลาเจิดจ้าจนลายตา แต่มักเพียรพาแหกคอกไปในเื่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมอยู่เรื่อย ชวนให้นางรู้สึกชังน้ำหน้ายิ่ง
โม่เสวี่ยถงเหงือกฟันคันยุบยิบ โทสะแล่นพล่านไปทั่วร่างกระตุ้นให้แขนขามีเรี่ยวแรง ผลักใบหน้าคมสันที่ยื่นเข้ามาออกไปสุดกำลัง “หากท่านอ๋องไม่มีธุระอันใดก็ไปจัดการเื่ของพระองค์เองเถิด เื่ของผู้อื่นแม้จะมากมายเพียงใดก็เป็เื่ของผู้อื่น ได้ยินมาว่าท่านอ๋องชอบชมเื่สนุกเป็ที่สุด แต่ที่นี่หามีสิ่งเริงใจให้ท่านอ๋องชมไม่ หม่อมฉันเป็เพียงสาวน้อยต่ำต้อย เกรงว่าจะทำท่านอ๋องระคายเคืองพระทัยอยู่ไม่เป็สุขไปชั่วชีวิต ดังนั้นจึงไม่กล้าอาจเอื้อมรับสมรสจากท่านอ๋องหรอกเพคะ”
เห็นนางโมโห เฟิงเจวี๋ยหร่านจึงไม่แกล้งเข้าไปใกล้อีก ยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเองหัวเราะกล่าวว่า “เ้าไม่ยอมให้เปิ่นหวางชมความสนุก แต่กลับไม่คิดว่าเื่สนุกของตนเองถูกผู้อื่นเห็นหมดแล้ว”
คำกล่าวนี้โม่เสวี่ยถงฟังเข้าใจความหมาย หัวใจเต้นพลันระรัว สีหน้านิ่งขรึมลง ชั่วขณะนั้นไม่คิดต่อคำ ขบริมฝีปากแน่น สายตาทอดไปยังแสงจันทร์ที่ทอทาบลงมาที่มุมหนึ่งของห้องอย่างเหม่อลอย
“เปิ่นหวางชอบชมเื่คึกคักของผู้อื่น แต่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดมาแอบชมเื่สนุกของตนเองเด็ดขาด แม้สิ่งกีดขวางจะมากมายนักก็ค่อยๆ ผลักมันออกไปทีละอย่าง เดี๋ยวก็เดินต่อได้เอง เปิ่นหวางไม่เชื่อว่าจะมีสะพานใดที่เราไม่อาจเดินข้ามไปได้” เฟิงเจวี๋ยหร่านหันมามองนางปราดหนึ่ง ผลิยิ้มอ่อนบางแล้วลุกขึ้นจากเตียง ร่างสูงยืนย้อนแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาจากด้านหลัง เงามืดตกกระทบใบหน้า แม้เห็นไม่ชัดว่าเขารู้สึกเช่นไร แต่กลับััได้ถึงความลึกล้ำสุดประมาณในดวงตา
“แล้วหากพระองค์พบว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจข้ามอุปสรรคนี้ไปได้เล่าจะทำอย่างไร หากทรงทราบว่าทุกสิ่งที่ตนเองคิดล้วนไม่อาจตามแผนการของผู้อื่นทันได้เลย หรือแม้แต่คู่ต่อสู้อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ จะทรงทำเช่นไร ท่านอ๋อง... มาตรว่าเป็เช่นนี้แล้ว ยังทรงคิดว่าจะผ่านไปได้อยู่อีกหรือไม่ จำเป็ต้องให้ผู้อื่นมองไม่เห็นปัญหาของตนเองอยู่หรือเปล่า” นางกัดริมฝีปากกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง เื่ราวในอดีตแต่ละเื่ล้วนทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
ความเ็ปและเคียดแค้นชิงชังเยี่ยงนั้น ทำให้นาง้าลากโม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นลงนรกไปด้วยกัน กระเหี้ยนกระหือรือที่จะใช้ไฟโลกันตร์แผดเผาพวกเขาสองคนไปชั่วกัปชั่วกัลป์เพื่อการล้างแค้น นางยอมทนทุกข์ทรมานไปตลอดกาล แต่หากรู้ว่าเกิดมาใหม่แล้วยังต้องผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก นางก็ไม่มีแรงจะเดินต่อไปอีกแล้ว
ดวงตากระจ่างใสที่ลุกโชติ่ค่อยๆ หม่นแสงลง แพขนตากระพือวูบ เปลือกตาปิดลงอย่างสิ้นกำลังไร้แรงต้าน การปรากฏตัวของโม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นนำโศกนาฏกรรมมาสู่ชีวิตนาง แต่ความจริงเล่า... ความจริงก็คือนางยังหาศัตรูผู้แข็งแกร่งไม่พบ
เมื่อเป็เช่นนี้ แล้วตนเองจะก้าวออกจากเส้นทางแห่งชะตาชีวิตอันแสนรันทดนี้ได้อย่างไร
มีแต่ความสิ้นหวัง ไร้หนทางเดินต่อไป
“เพราะแค่พบอุปสรรคหนึ่งที่ไม่อาจผ่านไปได้ เ้าจึงหมดอาลัยตายอยากจนกลายเป็เช่นนี้เลยหรือ จะยอมแพ้จริงๆ กระนั้นหรือ โม่เสวี่ยถงที่ข้ารู้จักดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่เจออะไรหน่อยก็หดหัวอยู่ในกระดองแบบนี้ ยามอยู่อวิ๋นเฉิง เ้าก็ไม่มีทางถอยอยู่แล้วนี่ สตรีกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่ง ไม่มีใครคิดถึงและไม่มีใครเห็นใจ เกือบจะถูกคนทำลาย ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น เ้าก็ผ่านมันมาได้แล้วมิใช่หรือไร มาถึงเมืองหลวง ที่นี่มีจวนฝู่กั๋วกง มีบิดาของเ้า แล้วก็ยังมีข้าผู้เป็อ๋องที่เห็นการช่วยคนเป็เื่สนุกคนนี้อีก...”
“หากภายใต้เงื่อนไขที่มีแต่ผลประโยชน์เ้ายังไม่มีแรงสู้ โม่เสวี่ยถง... ข้าคิดว่าเ้าก็ตายๆ ไปเสียเถอะ ถึงอย่างไรเหล่าไท่จวินจวนฝู่กั๋วกงก็ใช่ว่าจะไม่เคยสูญเสียบุตรสาวเมื่อไร หากต้องมาเสียหลานสาวสุดที่รักไปอีกสักคนคงจะไม่เป็ไร บิดาของเ้าก็สูญเสียภรรยาที่รักสุดหัวใจไปแล้ว ยามนี้แม้แต่บุตรสาวก็คิดจะจากไปด้วย นับว่าหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วจริงๆ ทรัพย์สมบัติและสินเดิมของเ้ากับมารดาก็จะตกเป็ของพี่หญิงใหญ่กับอี๋เหนียงของนางทั้งหมด ความจริงเ้าก็นับว่าเป็สตรีที่ใจกว้างดีนะ ความคิดนี้ไม่เลวจริงๆ”
ใบหน้าหล่อเหลาของเฟิงเจวี๋ยหร่านเต็มไปด้วยการเยาะหยันเสียดสี เขาเดินไปที่หน้าต่าง เอามือวางพาดแล้วเอนกายพิงพลางกระตุกมุมปากขึ้น ภายใต้แสงจันทร์สลัว เขาในยามนี้ดูนิ่งลึกเ็า น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเมตตากลายเป็เสียงกระซิบประชดประชันที่ชวนให้หนาวสะท้าน คำพูดที่แสดงเจตนาดูิ่ไม่รักษาน้ำใจของเขากระทบหัวใจของโม่เสวี่ยถงอย่างแรง
หัวใจของนางประดุจถูกคมมีดกรีดแทงเข้าไปในาแที่อยู่ส่วนลึก ความเ็ปที่นางจงใจมองข้ามกำลังปริแตกแยกออกเป็ชิ้นๆ
ยกของทั้งหมดให้โม่เสวี่ยิ่กับฟางอี๋เหนียง ทำให้จวนฝู่กั๋วกงและบิดาร้าวรานใจ?
จะให้โม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นได้สมดังใจปรารถนาหรือ ไม่! นางไม่้า นางไม่มีวันยอมเด็ดขาด ถึงตายก็ไม่ยอม!
นางลืมตาขึ้น ั์ตาสีนิลสว่างวาบ แผ่รังสีความเกลียดชังขุ่นเข้ม นางจะให้พวกเขาสุขสมหวังได้อย่างไร
ชาติที่แล้วนางยอมให้ศัตรูคู่แค้นเหยียบร่างของตนเองตะกายขึ้นสู่ที่สูง เหยียบย่ำมารดาที่นางรัก อย่างไรก็ตามชาตินี้นางกลับมาเพื่อทวงแค้น ไม่ว่าความจริงจะเป็เช่นไร โม่เสวี่ยิ่กับซือหม่าหลิงอวิ๋นล้วนเป็ศัตรูคู่อาฆาตของตนเอง แม้ต้องร่างแหลกกระดูกป่น ิญญาถูกดึงสู่โลกันตร์ นางก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาได้อยู่เป็สุข
ดังนั้นเส้นทางนี้ แม้จะลำเค็ญแสนเข็ญเพียงใด นางก็จะต้องเดินไปให้จงได้...
เช่นนั้นแล้วจะคิดมากไปไยเล่า!
เมื่อหมายมั่นแล้วว่าจะต่อสู้กับโม่เสวี่ยิ่ต่อไป หากสำเร็จก็สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเอง ไม่สำเร็จก็ไม่ต้องละอายใจ อย่างน้อยก็ไม่ผิดต่อท่านแม่ ไม่ผิดต่อบุตรชายและไม่ผิดต่อตนเอง
นางสูดหายใจเข้าลึก ขบริมฝีปากพยายามฝืนร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงลุกขึ้นนั่งหลังตรงราวกับพู่กัน นางจะล้มไม่ได้ ยังมีคู่แค้นอีกมากมายที่ยังไม่ได้จัดการ พวกเขาคงกำลังหัวเราะ แล้วไยนางจะต้องร้องไห้ ไม่ว่าจะมีแผนการซ่อนเร้นมากมายเพียงใด ชีวิตที่ได้กลับมาเกิดใหม่นี้จะต้องไม่สูญเปล่า ความแค้นนางย่อมต้องทวงคืนด้วยตนเอง
ทัพมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินถม เมื่อเดินอยู่ต่างเส้นทางกับชาติที่แล้ว ก็ไม่จำเป็ต้องหมดหวังกับชีวิต
หลังจากสูดลมหายใจลึก มีพลังชีวิตกลับมาสู้ใหม่อีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดก็เผยรอยยิ้มอ่อนบางที่สงบเยือกเย็น หันไปมองเฟิงเจวี๋ยหร่านซึ่งยืนพิงอยู่อีกด้าน ยามนี้นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเมื่อครู่เขาจงใจพูดแบบนั้นเพื่อกระตุ้นให้นางคิดได้ ความซาบซึ้งใจทอวูบอยู่ภายใต้ก้นบึ้งดวงตา
“ท่านอ๋อง เพราะเหตุใดจึงทรง้าช่วยเหลือหม่อมฉัน”
“แต่ไหนแต่ไรมาเปิ่นหวางก็เห็นการช่วยเหลือคนเป็เื่สนุกอยู่แล้ว” น้ำเสียงเอ้อระเหยลอยมาจากความมืด แม้ไม่เห็นหน้า แต่รู้สึกได้ว่าเขากำลังยิ้ม ซ้ำยังยิ้มอย่างอารมณ์ดีเสียด้วย
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันขอถามได้หรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดพระองค์ถึงไปที่บ้านเก่าของหม่อมฉันที่เมืองอวิ๋นเฉิง ทรงกำลังตามหาสิ่งใดอยู่ แล้วคนชุดดำผู้นั้นก็กำลังหาของสิ่งนี้อยู่เหมือนกันหรือ” หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ โม่เสวี่ยถงก็เอ่ยถามขึ้น
เมื่อก่อนที่ไม่ถาม เพราะไม่อยากเข้าไปพัวพันด้วย เื่แบบนั้นอันตรายสำหรับนาง แต่บัดนี้เพิ่งกระจ่างใจว่าความจริงชีวิตของตนเองตกอยู่ในอันตรายมานานแล้ว
“เื่เ่าั้ไม่เกี่ยวข้องกับเ้า อย่าเพิ่งรู้มากเกินไปดีกว่า” มุมปากของชายหนุ่มหยักยกขึ้น หัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่ในความมืด
“หากต่อไปภายหน้า หม่อมฉันมีความจำเป็ต้องรู้ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องพอจะอนุเคราะห์ได้หรือไม่” โม่เสวี่ยถงถามซ้ำ นางมีลางสังหรณ์บางอย่าง รู้สึกว่าเส้นทางที่ตนกำลังจะก้าวเข้าไปยิ่งถลำลึกลงเท่าใดก็ยิ่งลึกลับมากขึ้นเท่านั้น ช้าเร็วนางก็จำเป็ต้องรู้ เมื่อก่อนนางเอาแต่หลบเลี่ยง แต่ยามนี้เมื่อไม่อาจหลีกหนีได้ นางจึงต้องมองมันตรงๆ ให้ชัดแจ้ง
“ได้ หากข้าพบว่าเ้ามีความจำเป็ต้องรู้ ย่อมต้องบอกแน่นอน” ภายใต้เงาจันทร์ น้ำเสียงเนิบนาบของเขาทุ้มนุ่มปานสุราเลิศรสที่ชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มมึนเมา ในกระแสเสียงแฝงการปลอบประโลม แทรกซอนเข้ามาในส่วนลึกของหัวใจ ทำให้นางรู้สึกจิตใจสงบอย่างน่าประหลาด
ชั่วเวลานี้ เขาไม่ใช่องค์ชายเ้าเสน่ห์ที่ลุ่มหลงมัวเมาในกลิ่นคาวโลกีย์ แสงจันทร์กระจ่างที่ตกกระทบลงมาด้านหลัง ทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัด ทว่าดวงตาเป็ประกายเจิดจ้าคู่นั้นยังชวนให้คนตื่นตะลึง ใบหน้าของนางร้อนผ่าวหัวใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่น ภายในห้องเงียบสนิทจนคล้ายได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ และยังรู้สึกว่ามิได้มีแค่ดวงเดียว
“ข้าไปก่อนล่ะ หากต่อไปมีเื่อันใดก็ให้โม่เฟิงไปแจ้งให้ข้ารู้ อย่าวิ่งไปวิ่งมาเหมือนแมลงวันไม่มีหัว เที่ยวถามชาวบ้านว่าในยาทาแผลมีส่วนประกอบอะไรบ้างอย่างตอนนั้นอีก จะได้ไม่ทำให้ผู้อื่นเกิดความแคลงใจได้” ในความมืด ชายหนุ่มถอนสายตากลับมาจากดวงตาคู่งามของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง
หัวใจของโม่เสวี่ยถงสะดุดไปหนึ่งจังหวะ รู้ได้ว่าเขากล่าวถึงเื่คราวที่แล้ว แต่ก็ตระหนักได้ว่าคำกล่าวของเขามีเหตุผล จึงพยักหน้ารับคำ
เห็นนางยอมว่าง่ายเชื่อฟัง ริมฝีปากของเฟิงเจวี๋ยหร่านก็ทอยิ้มพร่างพราย ครานี้มิเอ่ยวาจาต่อความ ผลักบานหน้าต่างออกแล้วพลิ้วกายออกไป หน้าต่างถูกปิดลง เหลือเพียงเสียงลมครวญจากภายนอก
เขาไปแล้วจริงๆ
หลังจากเฟิงเจวี๋ยหร่านจากไป โม่เสวี่ยถงก็นอนเงียบๆ อยู่ในความมืด แต่กลับนอนไม่หลับ จึงพลิกกายมานอนคว่ำแล้วหยัดตัวขึ้น ทอดมองแสงจันทร์กระจ่างที่ผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในห้อง หลังจากวางปมในใจลงแล้วก็ค่อยๆ ใคร่ครวญตามรอยความคิดเดิมต่อ ซือหม่าหลิงอวิ๋นกับโม่เสวี่ยิ่เดินอยู่ในเส้นทางเดียวกันเมื่อชาติที่แล้ว ใช้โลหิตของนางกับบุตรชายต่างสีแดงมงคล ฉลองงานเลี้ยงสมรสของพวกเขาอย่างเลิศหรู
แต่ตอนนี้ โม่เสวี่ยิ่ย่อมไม่เต็มใจแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วโหว ความละโมบของนาง สิ่งที่นาง้ายังมีอีกมากมาย จวนเจิ้นกั๋วโหวในเวลานี้ยังไม่อาจสนองความพึงพอใจของนางได้ ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวหรือซือหม่าหลิงอวิ๋นล้วนไม่้าให้โม่เสวี่ยิ่เป็ฮูหยินซื่อจื่อ ความคิดในใจของพวกเขา บุตรสาวอนุภรรยาคนหนึ่งหรือจะตอบสนองความ้าของพวกเขาได้
ด้วยความโลภมากของทั้งคู่ ทำให้เื่ที่เกิดขึ้นครานี้ต้องผิดเพี้ยนไป ริมฝีปากฉายแววยิ้มเยาะ หากเป็เช่นนี้ ต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนก็คงไม่ใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเช่นวันวานอีก
ดังนั้น... เื่บางเื่ย่อมจัดการได้สะดวกขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้