สองพี่น้องกลับถึงบ้านด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ทั้งคู่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามีช่องโหว่อยู่หนึ่งอย่าง คือบอกว่าไปทำการบ้านที่บ้านเพื่อน แต่ตอนนี้การบ้านของหมี่หลันหยางยังไม่ได้แตะเลยสักนิด แล้วจะทำยังไงดี ถ้าตอนนี้เอาการบ้านออกมาทำ ความจะต้องแตกแน่ๆ
หมี่หลันเยว่มองพี่ชายที่กำลังเกาหัวแกรกๆ ก็เกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา
"พี่คะ ทำไมพี่ไม่ลองอ่านทบทวนบทเรียนของพรุ่งนี้ดูล่ะคะ ยังไงก็ยังมีเวลาเหลือเฟือ ลองดูว่าพรุ่งนี้คุณครูจะสอนอะไรบ้าง จะช่วยให้ผลการเรียนของพี่ดีขึ้นนะคะ"
หมี่หลันหยางชะงักไปเล็กน้อย ยังไม่ทันตั้งตัว หมี่หลันเยว่ก็พูดเสียงดังขึ้นอีก
"ทำไมคะ หนูพูดอะไรพี่ไม่เชื่อเหรอคะ ไม่เชื่อพี่ถามแม่ดูสิคะ แม่คะ แม่เคยบอกไม่ใช่เหรอคะว่าทุกวันต้องอ่านทบทวนบทเรียนของวันพรุ่งนี้ จะได้จำได้แน่นอน"
คำพูดนี้เป็สิ่งที่หวังหย่วนฉิงมักจะพูดกับนักเรียนเป็ประจำ ไม่รู้ว่าลูกสาวได้ยินไปั้แ่เมื่อไหร่ หวังหย่วนฉิงไม่ได้คิดอะไรมาก
"ใช่แล้ว การเรียนก็ต้องคว้าโอกาสไว้ก่อน ลองอ่านหนังสือเรียนด้วยตัวเอง ทำการบ้านทบทวน ถ้ามีตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็จดไว้ในใจ พรุ่งนี้ตั้งใจฟังครูอธิบาย จะได้ผลดีเป็สองเท่า"
หมี่หลันเยว่ขยิบตาให้พี่ชาย หมี่หลันหยางยิ้มแหยๆ น้องสาวคนนี้นี่ ฉลาดเป็กรดจริงๆ
"ก็ได้ ฟังน้องแล้วกัน พี่จะอ่านทบทวนบทเรียนของวันพรุ่งนี้"
เขาหยิบกระเป๋าหนังสือออกมาอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ คว้าเอาการบ้านที่ต้องทำ ออกมาจัดการให้เสร็จอย่างโจ่งแจ้ง
เมื่อเห็นพี่ชายทำการบ้าน หมี่หลันเยว่ก็หยิบสมุดออกมาบ้าง แม้ว่าตอนนี้เธอจะยังใช้ดินสอและสมุดที่มีตารางสำหรับฝึกเขียน แต่ความพยายามของเธอก็กำลังได้รับการพิสูจน์ทีละน้อย ตัวอักษรที่เขียนด้วยดินสอเริ่มเป็ระเบียบแบบแผนมากขึ้น แน่นอนว่านี่มีเงื่อนไขคือ ตัวอักษรของหมี่จิ้งเฉิงนั้นสวยงามมาก
เป็ไปไม่ได้ที่หมี่หลันเยว่จะไม่มีแบบอย่าง แล้วฝึกเขียนตัวอักษรออกมาด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงขอร้องให้พ่อเขียนตัวอักษรตัวบรรจงในแถวแรกของสมุดตารางช่องทุกวัน เธอจะได้เขียนตาม เมื่อเห็นลูกสาวตั้งใจฝึกเขียนตัวอักษรแบบนี้ หมี่จิ้งเฉิงจะไม่ดีใจได้ยังไง เขาก็ยิ่งรู้สึกสนุกสนาน
สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อกลับถึงบ้านทุกวัน คือเขียนตัวอักษรห้าหน้าในสมุดตารางช่อง เขารู้ว่าลูกสาวรู้จักตัวอักษรเยอะ ก็เลยเขียนตามใจชอบ แต่ก็จะไม่เขียนตัวอักษรที่ยากเกินไป ยิ่งเป็ตัวอักษรที่มีเส้นขีดง่ายๆ ยิ่งฝึกยาก เขารู้ว่าลูกสาวจะใส่สมุดเล่มนี้ไว้ในกระเป๋าหนังสือ และในวันพรุ่งนี้ตอนที่เขาจะมาเขียนตัวอักษร ที่นี่ก็จะเปลี่ยนเป็สมุดตารางช่องเล่มใหม่
"น้องสาว ตัวนี้อ่านว่าอะไร"
เมื่อหมี่หลันหยางมีคำที่จำไม่ได้ เขามักจะถามน้องสาวเป็นิสัย สมองของน้องสาวเหมือนมีระบบความจำ ทุกสิ่งที่เธอเคยเห็น เคยได้ยิน เธอจะจดจำไว้ได้อย่างแม่นยำ
จริงๆ แล้วบางครั้งหมี่หลันเยว่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ชาติที่แล้วเธอเป็คนที่ใช้ชีวิตแบบงงๆ คนหนึ่ง สมองเหมือนโจ๊กเหลว ไม่มีอะไรที่เธอสามารถจดจำได้ แต่ชาตินี้แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าผ่านเื่อะไรมา ในสมองของเธอจะมีความทรงจำที่ชัดเจน
ไม่ใช่แค่สิ่งที่เธอเคยเจอในชาติที่แล้วเท่านั้น แม้แต่เื่ที่ไม่มีความทรงจำ ตราบใดที่เธอเคยเจอมา เธอก็จะจำได้อย่างแม่นยำ ทำให้เธอทำอะไรก็มั่นใจมากขึ้น บางที์กำลังให้รางวัลเธอในขณะที่ลงโทษเธอ
พอคิดถึงการลงโทษ เธอก็คิดถึงสาเหตุการตายของตัวเองในชาติที่แล้ว เธอแค่ใจร้อนไปหน่อยเท่านั้นเอง ์กลับปล่อยให้เธอจากไปอย่างนั้น จากคนรักและคนที่รักเธอไปอย่างง่ายดาย การลงโทษนี้ไม่เรียกว่าหนักได้ยังไง การพลัดพรากจากกันชั่วนิรันดร์ ยังไงก็ตาม มันก็มอบทุกสิ่งในชาตินี้ให้กับเธอ นี่นับว่าเป็การชดเชยไหมนะ
บางที์ก็รู้สึกว่าการลงโทษของมันรุนแรงเกินไป คงจะรู้สึกผิด ดังนั้นจึงคิดที่จะทำให้ชีวิตในชาตินี้ของเธอราบรื่น จึงไม่ได้ลบความทรงจำของเธอ ปล่อยให้เธอเกิดใหม่พร้อมความทรงจำ แถมยังมอบสมองที่ฉลาดแบบนี้ให้กับเธออีกด้วย
"หลันเยว่ ฉันถามเธอน่ะ ตัวนี้อ่านว่าอะไร"
เมื่อเห็นน้องสาวเหม่อ หมี่หลันหยางอดไม่ได้ที่จะผลักเธอเบาๆ เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย ทำไมพอถามตัวอักษรที่ไม่รู้จัก เธอก็เบลอขึ้นมา
"อ๋อ ตัวนี้น่ะเหรอ อ่านว่า 'มึน' มึนงง หมายถึง งงๆ ไม่เข้าใจ"
เมื่อมองดูหนังสือการ์ตูนในมือพี่ชาย หมี่หลันเยว่รีบอ่านออกเสียงที่ถูกต้องให้เขาฟัง แถมยังอธิบายง่ายๆ ให้อีกด้วย ครุ่นคิดแล้วก็อ่านออกเสียงเป็พินอินให้อีกรอบ
ั้แ่ชั้นกลางตอนต้น ก็ได้เรียนพินอินแล้ว ดังนั้นพินอินจึงไม่ใช่เื่ยากสำหรับหมี่หลันหยาง เขายังใช้ดินสอทำเครื่องหมายการออกเสียงของตัวอักษรนี้เป็พิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เขาลืมเมื่อเห็นมันในครั้งต่อไป จนกระทั่งเขาจำตัวอักษรนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เขาถึงจะลบพินอินออก สำหรับวิธีการเรียนรู้ของเขา หมี่หลันเยว่ค่อนข้างชื่นชม
"พี่คะ ใกล้ได้เวลาแล้ว พวกเราเลิกอ่านหนังสือ แล้วนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนอีกนะ"
หลังจากอ่านหนังสือแล้ว สองพี่น้องก็ดูหนังสือการ์ตูนอีกพักหนึ่ง หมี่หลันเยว่ก็เริ่มชวนให้นอนหลับ เพราะยังไงก็เป็แค่เด็ก ไม่ควรที่จะนอนดึก สุขภาพที่ดีต่างถ้าคือต้นทุนของการเปลี่ยนแปลง
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสามพี่น้องตื่นนอนกันแต่เช้า น้องชายตอนนี้ก็อายุสามขวบแล้ว ภายใต้อิทธิพลของพี่ชายและพี่สาว เขาไม่ได้งอแง สามารถใส่เสื้อผ้า ล้างหน้า และทานอาหารเช้าได้ด้วยตัวเอง ทำให้พ่อและแม่สบายขึ้นมาก เพราะพวกเขามีงานมากมายที่ต้องทำั้แ่เช้าตรู่
ตอนนี้หมี่หลันเยว่ได้เข้าเรียนในชั้นเตรียมประถมแล้ว แม้ว่าเธอจะอายุแค่ห้าขวบ แต่ผลการเรียนของเธอก็เป็ที่ประจักษ์ ดังนั้นเธอจึงได้เข้าเรียนในชั้นเตรียมประถมอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ยิ่งไปกว่านั้น เพราะเธอยังเล็ก เธอจึงกลายเป็ที่รักในชั้นเรียนเตรียมประถม ไม่ว่าจะเป็คุณครูหรือเพื่อนร่วมชั้น ต่างก็ปกป้องเธอ เธอก็ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นและมีความสุข
หลังจากเรียนคาบหนึ่งเสร็จ เพื่อนร่วมชั้นต่างก็ออกไปเดินเล่น หมี่หลันเยว่มองไปรอบๆ ตัว ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นอยู่ รีบเทเงินที่ได้จากเมื่อวานของตัวเองลงในลิ้นชักโต๊ะ จากนั้นก็ค่อยๆ นับเหรียญทีละเหรียญ แล้วโยนกลับเข้าไปในกระเป๋าหนังสือ นับเหรียญเสร็จก็จดจำนวนรวม จากนั้นก็นับธนบัตรจำนวนไม่มาก หมี่หลันเยว่ก็ยิ้มกว้าง
ทั้งหมดสองหยวนหกเหมาแปดเฟิน สองหยวนกว่าๆ เลย นี่มันเป็โชคลาภที่ไม่คาดฝันเลยนะ หนังสือการ์ตูนที่บ้านของตัวเองทั้งหมด มูลค่ารวมกันก็ไม่น่าจะเกินจำนวนนี้มั้ง ต่อให้เกินก็คงเกินไม่มาก หมี่หลันเยว่คำนวณในใจ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานกลับมีคนเช่ามากมายขนาดนี้ มันเกินจินตนาการของหมี่หลันเยว่ไปหน่อย
สองหยวนหกเหมาแปดเฟิน นั่นก็คือให้เช่าไปสองร้อยหกสิบแปดครั้ง หนังสือการ์ตูนทั้งหมดแค่ห้าหกสิบเล่ม จะให้เช่าได้เงินมากมายขนาดนั้นได้ยังไง หมี่หลันเยว่ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น ดูเหมือนว่าธุรกิจให้เช่าหนังสือของตัวเองจะต้องดำเนินต่อไป นี่มันเป็ธุรกิจที่มีอนาคตทางการเงินที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
เมื่อคิดถึงเงินเดือนของพ่อกับแม่แต่ละเดือน แค่ยี่สิบสามสิบหยวน แต่ตัวเองแค่สิบวัน ก็สามารถกอบโกยเงินเดือนของพวกเขาได้แล้ว หนึ่งเดือนต่อมา ก็เกินเงินเดือนรวมของพ่อแม่สองคนแล้ว นี่มันทำให้หมี่หลันเยว่ตื่นเต้นมาก เธอรู้ว่าสิ่งนี้สามารถทำเงินได้ แต่ไม่คิดว่าจะทำได้มากขนาดนี้
"หลันเยว่ เธอทำอะไรน่ะ"
พี่สาวที่นั่งข้างๆ กลับมาแล้ว หมี่หลันเยว่รีบดึงความคิดของตัวเองกลับมา ก้มหน้ามองกระเป๋าหนังสือ โชคดีที่กระเป๋าหนังสือผูกปากถุงเรียบร้อยแล้ว วางไว้ในลิ้นชักโต๊ะ
"อ๋อ ไม่ได้ทำอะไร รอเรียนอยู่น่ะ"
หมี่หลันเยว่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ และสายตาก็ค่อนข้างเลื่อนลอย พี่สาววัยเจ็ดขวบคนนี้มองดูสีหน้าของหมี่หลันเยว่ แล้วหัวเราะออกมา เด็กน้อยยังรู้จักการเล่นเล่ห์เหลี่ยมแล้ว
"ไม่ได้ทำอะไรเหรอ ไม่น่าใช่ เธอเป็คนที่เตรียมสิ่งของสำหรับคาบเรียนนี้ให้พร้อมก่อนเริ่มเรียนทุกคาบ แต่ตอนนี้เธอไม่ได้ทำ คิดอะไรอยู่รึเปล่า"
พี่สาวร่วมชั้นคนนี้ก้มหน้าลงมา แซวหมี่หลันเยว่
"ฉันจะมีความคิดอะไรได้ ก็แค่จะเตรียมตัวเดี๋ยวนี้น่ะ"
พี่สาวร่วมชั้นหัวเราะ แล้วดีดหน้าผากเธอเบาๆ
"ยัยหนู เธอรู้จักการปิดบังความลับจากพี่สาวแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"
หมี่หลันเยว่ไม่คิดว่ายัยหนูวัยเจ็ดขวบคนนี้จะรู้จักสำนวน แถมยังใช้ได้ดีอีกด้วย หรือว่าเธอก็เกิดใหม่อีกคนกันนะ นี่มันทำให้เธอรู้สึกสยองขวัญมาก
"อยากหลอกพี่สาวเหรอ ไม่มีทางหรอก บอกมาสิว่าเธอคิดอะไรสนุกๆ ได้ บอกฉันมาก่อน"
จินตนาการในใจของหมี่หลันเยว่พังทลายลงมา ในความคิดแบบนี้ มีแต่เด็กอายุเจ็ดขวบเท่านั้นที่มีได้
"ฉันไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แล้วถ้าฉันมีความคิดอะไรสนุกๆ ฉันจะบอกพี่สาวเป็คนแรกแน่นอน"
หมี่หลันเยว่ทำท่าทางเอาใจและแสร้งทำเป็ไร้เดียงสา พี่สาววัยเจ็ดขวบพอใจแล้ว
"นี่เธอพูดเองนะ ถ้าเธอมีอะไรใหม่ๆ แล้วไม่บอกฉันเป็คนแรก ดูสิว่าฉันจะจัดการเธอยังไง"
ทุกคนรู้ดีว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ แม้ว่าตัวเล็กอายุยังน้อย แต่ลูกเล่นใหม่ๆ ก็มีมาตลอด
"แน่นอน ฉันจะไม่ทำให้พี่สาวผิดหวังแน่นอน"
หมี่หลันเยว่ให้รอยยิ้มกว้างกับพี่สาวอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มเตรียมหนังสือสำหรับคาบเรียนนี้ เมื่อเห็นเธอเริ่มเตรียมตัว ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มวุ่นวาย ครูเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับเสียงกริ่ง
"พี่คะ พี่ทายสิว่าเมื่อวานเราหาเงินได้เท่าไหร่"
หมี่หลันเยว่คุยโม้กับพี่ชายในขณะที่ตั้งแผง เธอไม่ให้พี่ชายลงมือ ให้เขานั่งอยู่ทางด้านขวา คอยดูแลสิ่งของ ดูแลคนที่เดินไปมา ไม่ให้ของหาย นั่นต่างถ้าคือเื่สำคัญ
หนังสือเล่มเล็กๆ แต่ละเล่มที่นี่ มูลค่าที่สร้างขึ้นนั้นเกินราคาของตัวมันเองไปมาก ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง ให้พี่ชายนั่งอยู่ทางด้านขวา เพื่อดูแลคนที่มายืมหนังสือ ส่วนตัวเธอเองนั่งอยู่ทางด้านซ้าย ดูแลหนังสือการ์ตูนบนแผง สองคนแบ่งงานกันชัดเจน เพื่อเพิ่มผลประโยชน์ให้มากที่สุด และลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด
"พี่จะไปรู้ได้ยังไง หาเงินได้เท่าไหร่ล่ะ"
หมี่หลันเยว่กระซิบตัวเลขที่ข้างหูพี่ชาย ทำให้พี่ชายใจนตัวลอยขึ้นมา
"เธอว่าเท่าไหร่นะ"
เขาแทบไม่เชื่อ และไม่กล้าที่จะเชื่อ
หมี่หลันเยว่ไม่สนใจเขาแล้ว จัดหนังสือการ์ตูนทั้งหมดให้เรียบร้อย ในระหว่างนั้นก็มีคนทยอยกันมาเช่าหนังสือแล้ว หมี่หลันหยางก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะพูด แต่ในใจของเขามันคันยุบยิบ เขาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจมากยิ่งขึ้น
เธอต้อนรับเทพเ้าแห่งโชคลาภตัวน้อยๆ ที่อยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าก็มีเทพเ้าแห่งโชคลาภที่ตัวใหญ่กว่าอยู่บ้าง แต่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดก็มี แต่นั่นก็แค่หนึ่งสองคนเท่านั้น เพราะยังไงก็น้อยกว่า เด็กๆ ยังมีมากกว่า หนังสือการ์ตูนมีแรงดึงดูดต่อเด็กๆ มากกว่า
เมื่อมองดูเด็กหนุ่มสองคนที่ตัวโตกว่า กำลังอ่านหนังสือการ์ตูนอย่างตั้งใจเหมือนกัน ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกประทับใจ การเข้าถึงความรู้ในทุกๆ ทาง ล้วนเป็สิ่งที่น่าเคารพ แม้ว่าพวกเขาอาจจะมาเพื่อเื่ราวที่สนุกสนาน แต่เื่ราวที่ดีก็มักจะนำมาซึ่งแรงบันดาลใจ
คนที่มาเช่าหนังสือมากขึ้นเรื่อยๆ หมี่หลันเยว่ไม่มีเวลาที่จะใส่ใจกับความคิดเล็กๆ น้อยๆ ในสมองของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็เทพเ้าแห่งโชคลาภตัวใหญ่ หรือเทพเ้าแห่งโชคลาภตัวน้อย ยังไงตัวเองก็มีแหล่งเงินทองไหลมาเทมาก็แล้วกัน เมื่อคิดถึงเศษเงินในกระเป๋าหนังสือ รอยยิ้มของหมี่หลันเยว่ก็ยิ่งสดใส