มู่หรงอวี้วางถ้วยชาลง มองพวกเขาด้วยท่าทางนิ่งสงบ
ว่านฟางกับหวังเทาใมาก รีบเข้าไปโค้งตัวเคารพ “คารวะท่านอ๋อง”
พวกเขาคิดถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้ เหตุใดองค์รัชทายาทกับอวี้หวางถึงได้บังเอิญมาที่กองทัพตรวจสอบอาวุธในเวลาใกล้เคียงกันขนาดนี้? อวี้หวางได้ยินอะไรมาอย่างนั้นหรือ?
มู่หรงฉือครุ่นคิด เขาเองก็มาตรวจตรา?
“ไม่ต้องมากพิธี” ดวงตาของมู่หรงอวี้นิ่งขรึม ก่อนจะปรายตามองไปทางนาง “เตี้ยนเซี่ยเองก็ได้รับคำสั่งให้มาที่นี่หรือ?”
“ใช่ เสด็จพ่อจะให้เปิ่นกงมาให้ได้ ความจริงแล้วกองทัพตรวจสอบอาวุธมีใต้เท้าว่านกับใต้เท้าหวังคอยดูแลอยู่ จะมีเื่ได้อย่างไร?” เขาทำท่าทางเป็องค์ชายไม่ได้เื่ออกมา “ท่านออกมาตรวจตราหรือ? เมื่อครู่เปิ่นกงตรวจสอบแล้ว ทั้งหมดเรียบร้อยดี ใต้เท้าทั้งสองจัดการกองทัพตรวจสอบอาวุธได้เรียบร้อยดี หากท่านอ๋องไม่เชื่อก็สามารถไปดูได้ด้วยตัวเอง”
ในใจของนางแอบมีความสุข ไม้นี้เ้าจะรับต่อไปหรือไม่?
ว่านฟางกับหวังเทาสีหน้าเคร่งขรึม ในใจหนักอึ้งไปหมด อวี้หวางกับองค์รัชทายาทมีความแตกต่างกันมาก ไม่ใช่แค่พูดจาน่าฟังไม่กี่ประโยคก็จะสามารถทำให้เขาปล่อยผ่านไปได้
มู่หรงอวี้ยืนขึ้น จ้องไปยังดวงตาของพวกเขาอย่างมีความนัย
ความกดดันเท่าูเาสูงไร้รูปร่างกดทับลงมา หัวใจของพวกเขากระตุก รู้สึกหนักใจขึ้นอีกหลายส่วน : ดวงตาลุ่มลึกของอวี้หวางนั้นดูเหมือนจะนิ่งสงบ ความจริงแล้วแหลมคมมาก
“เตี้ยนเซี่ยตรวจสอบไปแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เพียงแต่ไหนๆ มาแล้วก็คงต้องฝืนตรวจสอบสักรอบ ถือว่าได้ทำหน้าที่ของขุนนาง” มู่หรงอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบติดยิ้ม ท่าทางอารมณ์ดี “หากเตี้ยนเซี่ยไม่ถือสาก็เดินตรวจตรากับเปิ่นหวางอีกสักรอบแล้วกัน”
“เปิ่นกงยังมีเื่ต้องทำ คงต้องขอตัวก่อน...” มู่หรงฉือจะเดินตรวจตรากับเขาอีกรอบได้อย่างไร? แน่นอนว่าต้องรีบหนี
ทว่านางยังพูดไม่ทันจบ เขาก็จับข้อมือของนางเอาไว้แล้วลากนางไปทางโรงงานที่อยู่ด้านหลัง
ตอนที่หมุนตัว เขามองไปทางว่านฟางกับหวังเทาที่ยืนครุ่นคิดอยู่ด้านข้าง “ใต้เท้าทั้งสองท่านไม่นำทางหรือ?”
ว่านฟางและหวังเทารีบเดินไปเข้าไปคอยดูแล
เพียงแต่พวกเขาราวกับถูกน้ำร้อนลวกตา อวี้หวางจับมือองค์รัชทายาท นี่มันเื่อะไรกัน?
มู่หรงฉือสะบัดมือแต่กลับสะบัดไม่ออก จึงทำได้เพียงมองด้วยด้วยสายตาหงุดหงิดพลางพูดเสียงเบา “ยังไม่ปล่อยมืออีกหรือ? ท่านเป็พวกตัดแขนเสื้อ แต่เปิ่นกงไม่ใช่!”
“เป็พวกตัดแขนเสื้อก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ?” มู่หรงอวี้ยื่นหน้าไปพูดข้างหูของนาง ท่าทางใกล้ชิดเป็อย่างยิ่ง “ไม่ใช่ว่าจะยิ่งสามารถตบตาพวกเขาได้ดีกว่าหรือ? พวกเขาจะได้คิดว่าเปิ่นหวางกับเตี้ยนเซี่ยลอบมาพบกันที่กองทัพตรวจสอบอาวุธ...”
“นี่มัน...” ว่านฟางมองไปทางหวังเทา คิ้วหนาชี้ขึ้นสูง ใจนตาแทบจะถลนออกมา
ความคิดของพวกเขาหมุนคว้าง อวี้หวางกลับเมืองหลวงมาห้าปีไม่ยอมแต่งงาน หรือว่าจะคบหาอยู่กับเตี้ยนเซี่ย?
มองไปทางองค์รัชทายาทอีกครั้ง ใบหน้างดงาม หน้าตาสละสวย นับว่าเป็บุรุษที่หน้าตางดงามผู้หนึ่งไม่ใช่หรือ?
วันนี้พวกเขาเดินทางมายังกองทัพติดๆ กัน เป็ความบังเอิญหรือนัดกันไว้แล้วกันแน่?
พวกเขามองเ้านายทั้งสองคนที่อยู่ด้านหน้า เห็นบางครั้งพวกเขาก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนม บางครั้งก็มองตากันด้วยความโกรธเคือง บางครั้งก็ยิ้มแย้ม ยิ่งมองยิ่งคิดว่าพวกเขากำลังหยอกเย้ากัน คิดว่าพวกเขาลอบมานัดพบกันที่นี่
พวกเขาเลิกคิ้วอย่างมีนัย ก่อนจะเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ
ความลับนี้ไม่อาจแพร่งพรายออกไป ไม่แน่ว่าต่อไปจะกลายเป็สิ่งที่สามารถรักษาชีวิตพวกเขาเอาไว้ได้
“พวกเขาคงจะเชื่อแล้ว” มู่หรงอวี้เข้ามาพูดที่ข้างหูนางอีกครั้ง มือใหญ่ลูบลงไป ก่อนจะเลื่อนมากุมมือเล็กของนาง “เมื่อเป็เช่นนี้ พวกเขาก็คงวางใจจนลดความระวังตัวลง”
“งั้นหรือ?” มู่หรงฉือหันหน้าออกไป ไม่อยากจะพูดกับเขาอีก มือดึงไม่ออกก็ให้มันเป็เช่นนี้ไปแล้วกัน
เขาจงใจ! ไม่มีความจำเป็อะไรที่จะต้องสร้างสถานการณ์ให้ว่านฟางกับหวังเทาเข้าใจผิด! เป็นิสัยเสียของเขาล้วนๆ!
เขาสังเกตท่าทีของคนข้างตัวไป ก็สร้างความคลุมเครือไปให้มากขึ้น ดวงตาก็กวาดมองไปทั่วทั้งโรงงาน
ทันใดนั้น เขาก็เดินไปทางด้านซ้าย หยุดอยู่ที่หน้าประตูบานหนึ่งแล้วถามขึ้น “ด้านในนี้เป็ห้องหรือ? เอาไว้ทำอะไร?”
ว่านฟางคลี่ยิ้มแล้วอธิบาย “ข้างในเดิมทีเป็ห้องๆ หนึ่งขอรับ แต่ว่าทิ้งร้างมาหลายปี จึงทำการปิดเอาไว้”
ในแววตาของหวังเทาทอประกาย มู่หรงฉือมองไปแวบหนึ่งก่อนจะรีบเบือนสายตาออกไปทันที
ก่อนหน้านี้นางพบว่าประตูไม้หนักๆ บานนี้แปลกอยู่เล็กน้อย เพียงแต่ไม่ได้ถามออกไปเท่านั้น เพราะถามไปแล้วก็ไม่มีทางได้คำตอบ
มู่หรงอวี้รับคำอธิบายของว่านฟาง ก่อนจะเดินกลับไปทางเดิม “ใช่แล้ว เปิ่นหวางจะไปดูที่ห้องบัญชีสักหน่อย”
“ท่านอ๋อง เมื่อสองวันก่อนห้องบัญชีถูกไฟไหม้ ม้วนบัญชีทั้งหมดยังไม่ได้จัดการเข้าไปใหม่ เละเทะไปหมด มิสู้ท่านอ๋องค่อยมาอีกสามวันให้หลัง กระหม่อมจะต้องรีบจัดม้วนบัญชีทั้งหมดให้ดี ท่านอ๋องจะได้อ่านสะดวก” ว่านฟางถามอย่างระมัดระวัง
“ไม่เป็ไร เปิ่นหวางแค่จะไปดูเฉยๆ” มู่หรงอวี้พลันสาวเท้ายาวๆ เดินออกไป
มู่หรงฉือจึงทำได้เพียงสาวเท้ายาวๆ ตามไป ในใจแอบรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย วันนี้สามารถไปดูที่ห้องบัญชีได้ จะต้องได้รับอะไรกลับมาแน่
ว่านฟางไม่ให้พวกเขาไปที่ห้องบัญชี ที่นั่นจะต้องซ่อนความลับที่ไม่สามารถให้ใครรู้เอาไว้มากมายแน่
ว่านฟางและหวังเทาสีหน้าเคร่งเครียด วิ่งเหยาะๆ เหงื่อตกตามมา แย่แล้ว อวี้หวางจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นหรือไม่?
ในห้องบัญชีผู้จัดการสองคนกำลังจดบันทึก ตรวจสอบความถูกต้องอยู่ พอเห็นอวี้หวางกับองค์รัชทายาทเข้ามาก็รีบโค้งตัวทำความเคารพ พวกเขาเห็นว่านฟางกับหวังเทาที่ตามมาด้านหลังส่งสายตามา ผู้จัดการรับรู้ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาท ม้วนบัญชีกับสมุดบัญชียังไม่เป็ระเบียบ กระหม่อมจะรีบจัดการให้เรียบร้อย เชิญท่านอ๋องและเตี้ยนเซี่ยไปพักผ่อนดื่มชาที่ห้องก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ อีกเดี๋ยวกระหม่อมจะเอาม้วนเอกสารกับสมุดบัญชีไปให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่จำเป็หรอก”
ยังพูดไม่ทันจบ มู่หรงอวี้ก็ก้าวเข้าไป แล้วชนเข้ากับครึ่งร่างของผู้จัดการคนหนึ่ง แข็งแกร่งจนทำให้คนหวาดกลัว
ผู้จัดการคนนั้นเหมือนถูกเหล็กกล้าชนเข้า ปวดจนต้องกัดฟัน
มู่หรงฉือลอบยิ้มแล้วตามเข้าไปในห้องบัญชี ด้านในห้องกว้างขวาง มีเอกสารในตู้ไม้ขนาดใหญ่จำนวนไม่น้อย โต๊ะยาวสามโต๊ะวางบันทึกบัญชีกองเป็ูเาขนาดย่อม ถึงแม้จะเละเทะไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็ระเบียบเรียบร้อย ไม่ได้เละเทะเหมือนอย่างที่ว่านฟางพูด
ดวงตาของว่านฟางทอประกายขึ้นมาครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างกระตือรือร้น “ท่านอ๋องอยากจะดูบัญชีของปีไหนขอรับ? ข้าน้อยจะหาออกมาให้”
“ท่านอ๋อง ม้วนเอกสารกับบัญชีมากมายถึงเพียงนี้ หาออกมาได้ยาก ท่านอ๋องอยากจะดูบัญชีปีไหน พวกข้าน้อยช่วยกันหาจะได้ไวขึ้นขอรับ” หวังเทาพูดพลางส่งยิ้ม
“ใต้เท้าว่าน ใต้เท้าหวัง เหตุใดพวกเ้าสองคนถึงได้ดูร้อนรนยิ่งนัก?” มู่หรงฉือพูดเย้า
“เตี้ยนเซี่ยกับท่านอ๋องมาทั้งที กระหม่อมจะไม่ร้อนรนได้อย่างไร? กระหม่อมเกรงว่ากองทัพตรวจสอบอาวุธจะมีอะไรที่ผิดพลาดลอดหูลอดตาไป หากเตี้ยนเซี่ยกับท่านอ๋องลงโทษขึ้นมา กระหม่อม...” ว่านฟางพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร
“หากไม่ได้ทำผิดย่อมไม่กลัวความผิด เปิ่นกงกับท่านอ๋องก็แค่ดูไปเรื่อยๆ เท่านั้น” นางยิ้มตาหยีพลางพูด
ว่านฟางกับหวังเทาพากันพูดขอรับติดๆ กัน
นางส่งสายตาให้มู่หรงอวี้ จากนั้นก็พูด “ใต้เท้าว่าน ทุกครั้งมีการผลิตอาวุธเท่าไหร่ อาวุธเอาไปใช้ที่ไหน ใครเป็คนหยิบไป มีการจดบันทึกเอาไว้หรือไม่?”
หวังเทาตอบกลับ “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ มีดเล่มหนึ่งหายไปก็ต้องจดบันทึกเอาไว้ในบัญชีพ่ะย่ะค่ะ หากไม่จดบันทึกเอาไว้ กระหม่อมคงรับผลที่ตามมาไม่ได้”
มู่หรงฉือหัวเราะเสียงใส “ใต้เท้าทั้งสองตั้งใจทำงานมาก จัดการกองทัพตรวจสอบอาวุธได้อย่างเป็ระเบียบ หลังจากเปิ่นกงกลับไปที่วังแล้วจะรายงานต่อเสด็จพ่อตามความจริง หากเสด็จพ่อดีพระทัยขึ้นมา ทั้งสองคนคงจะมีรางวัล”
“กระหม่อมขอบพระทัยเตี้ยนเซี่ย นี่คือหน้าที่ของกระหม่อม กระหม่อมไม่กล้ารับความดีความชอบพ่ะย่ะค่ะ” หวังเทารีบแสดงความซื่อสัตย์
“ได้ยินว่าท่านอ๋องมีความชอบในภาพอักษร คงจะเป็เช่นนั้นจริงๆ” ว่านฟางสาวเท้าไวๆ มาด้านหน้า มองภาพูเาที่แขวนอยู่บนผนัง “ภาพูเาภาพนี้เป็สิ่งที่ข้าน้อยบังเอิญซื้อมาจากร้านหนังสือขอรับ นำมาแขวนไว้ที่ห้องบัญชี ทำให้ห้องนี้มีความงดงามสูงส่งขึ้นมาอีกหลายส่วน ท่านอ๋องเองก็ชอบภาพวาดนี้?”
“ถึงแม้ว่าภาพนี้จะเป็ภาพวาดไร้ชื่อ แต่ว่าความหมายที่อยู่ในนั้นกลับมากมาย วิธีการร่างภาพให้ความรู้สึกมั่นคงแม้จะอยู่ห่างไกล จิติญญาแผ่ซ่านออกมา มีคุณค่าให้ชื่นชม” มู่หรงอวี้เอ่ยชม
“หากท่านอ๋องชอบ อีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะสั่งให้คนเอาไปส่งที่จวนอวี้หวาง” ว่านฟางว่า
“ข้าไม่แย่งของรักของใคร” มู่หรงอวี้หมุนตัวเดินไปที่โต๊ะ ก่อนจะหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอย่างรวดเร็ว
มู่หรงฉือเห็นว่าความตื่นเต้นของพวกว่านฟางและหวังเทาสงบลงมาบ้างแล้ว ก็พอจะเข้าใจ ม้วนเอกสารกับบัญชีล้วนเป็สิ่งที่ทำเอาไว้บังหน้าให้ดูปกติ ทำให้ดูแล้วไม่มีปัญหา
นางเองก็หยิบขึ้นมาดูเล่มหนึ่ง เป็อย่างที่คิด ทุกการบันทึกล้วนมีที่มาที่ไป ถูกต้องตามหลักเกณฑ์
ดูไปได้สักพัก มู่หรงอวี้ก็วางสมุดลงแล้วเดินออกมา นางเองก็ตามออกมาด้วย พวกว่านฟางกับหวังเทาแอบลอบถอนหายใจ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ
พวกเขาไปดื่มชาที่ห้องโถงหลักถ้วยหนึ่ง ก่อนที่มู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือจะขอตัวกลับ ว่านฟางกับเหวินเทามาส่งพวกเขากลับไปด้วยท่าทางนอบน้อม ตอนนี้สิถึงจะเป็ความวางใจอย่างแท้จริง
ว่านฟางประสานมือเข้าหากัน ดวงตาที่ถูกไขมันเบียดจนกลายเป็เส้นเล็กพูดขึ้น “พวกเขาไม่พบอะไรใช่หรือไม่”
ในใจของหวังเทาหวาดหวั่น “ถึงแม้อวี้หวางจะปราดเปรื่อง แต่ก็คงจะมองอะไรไม่ออก”
ว่านฟางพยักหน้า “หากอวี้หวางมองอะไรออกจริงๆ ก็คงจะจับพวกเราไปนานแล้ว”
หวังเทาพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ใต้เท้าว่าน เื่นี้ข้ารู้สึกว่ามันแปลกๆ มิสู้...”
ว่านฟางตวัดตามองเขา สายตาดุร้ายขึ้นมาทันที “มิสู้อะไร? หากเื่นี้ถูกราชสำนักรู้เข้า เ้ากับข้าก็มีโทษปะา”
บนรถม้า มู่หรงฉือหงุดหงิดจนแทบจะกระอักเื มู่หรงอวี้นั่งอยู่ด้านขวา ดื่มน้ำกับชากับขนมของนาง
เขามีม้าเร็วอยู่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงต้องมาอยู่บนรถม้าของนางด้วย?
ฉินรั่วนั่งอยู่ด้านนอกเพราะถูกเขาไล่ออกไป ทำอย่างกับตัวเองเป็เ้านาย ดูมั่นใจในตัวเองยิ่งนัก
“เตี้ยนเซี่ยมองปัญหาอะไรออกหรือไม่?” มู่หรงอวี้ถามอย่างไม่ค่อยใส่ใจ
“กองทัพตรวจสอบอาวุธมีความลับมากมาย เพียงแต่พวกเขาซุกซ่อนมันได้ดีอย่างมาก” นางยกยิ้มเย็น
“เตี้ยนเซี่ยมีแผนอะไรหรือไม่?”
“ท่านอ๋องมีแผนอะไรหรือไม่?”
“ขุดความลับที่พวกเขาซ่อนเอาไว้ออกมา”
“ขุดอย่างไร?”
“เปิ่นหวางยังไม่ได้คิด” มู่หรงอวี้หยิบขนมไส้ถั่วเขียวส่งไปตรงหน้านาง “รสชาติไม่เลวเลย”
“ไม่ทาน” ขนมที่ผ่านมือเขามา มู่หรงฉือไม่ทาน
คนฉลาดเ้าแผนการอย่างเขา จะยังไม่ได้คิดได้อย่างไร? เขาก็แค่ไม่บอกนางก็เท่านั้น
เขาเอาขนมเข้าปากตัวเองด้วยท่าทางสง่างาม “การตายของโจวฮวาย เ้าคิดว่าว่านฟางกับหวังเทาเป็คนทำ?”
คิดถึงการพูดจาประจบประแจงของสองคนนั้น นางก็เกลียดจนนึกแขยงในใจ “มีความเป็ไปได้มาก แต่ไม่มีหลักฐาน”
เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่มู่หรงอวี้จะพูดขึ้น “ความลับในกองทัพตรวจสอบอาวุธ เตี้ยนเซี่ยอย่าตรวจสอบเลย”
“เพราะเหตุใด?”
“เปิ่นหวางกังวลว่าเตี้ยนเซี่ยจะตายอยู่ที่กองทัพตรวจสอบอาวุธน่ะสิ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้