เมื่อเห็นรอยยิ้มของหลัวเลี่ย ใบหน้าของเหยาเฟิงก็เ็าขึ้นเล็กน้อย “เ้าดูมั่นใจมาก”
“ค่อนข้างมั่นใจ” หลัวเลี่ยเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่เขาก็ถ่อมตัว ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
อย่างน้อยจากมุมมองของหลิวหงเหยียน นี่ก็ค่อนข้างนอบน้อมแล้ว ในแง่ของวรยุทธ์นั้น ความเข้าใจของหลัวเลี่ยน่ากลัวเกินไป
เหยาเฟิงเตือน “ข้าขอเตือนเ้า วิชาก้าวันั้นเป็ผลงานชิ้นสุดยอดของเราสองคน เราสร้างมันขึ้นมาด้วยกัน แม้ว่ามันจะมีความคล้ายคลึงอยู่เล็กน้อยกับศิลปะการต่อสู้อื่นๆ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะฝึกฝนจนถึงระดับเริ่มต้น เ้าควรถ่อมตัว อย่าทะนงตัวเกินไป มิฉะนั้นเ้าจะไม่สามารถเข้าสู่ระดับเริ่มต้นได้ภายในสามเดือน แล้วเ้าก็จะสูญเสียโอกาสที่จะเป็ศิษย์ที่แท้จริงของเราสองคน”
“ใช่ๆ ข้าต้องอ่อนน้อมถ่อมตน” หลัวเลี่ยกล่าว
เมื่อเห็นเขาพูดอย่างสบายๆ เหยาเฟิงก็ขมวดคิ้วไม่พอใจเล็กน้อย
ฉินจื้อที่เป็คนสบายๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่ควรเตือนก็ได้เตือนแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่พูดไปมากกว่านี้” เขาหยิบตำราเล่มใหม่เอี่ยมออกมา “นี่คือตำราวิชาก้าวัที่สร้างขึ้นโดยเราสองคน มันค่อนข้างซับซ้อน ข้าขอแนะนำให้เ้าดูภาพวาดที่มีชื่อเสียงของแคว้นเป่ยสุ่ย ที่เป็ภาพัสองตัวเล่นกับไข่มุก มันจะให้คำใบ้บางอย่างกับเ้า และจะช่วยให้เ้าไปถึงระดับเริ่มต้นได้โดยเร็วที่สุด”
“ขอบคุณท่านผู้าุโที่เตือนข้า” หลัวเลี่ยหยิบตำรามาพลิกดู และเริ่มอ่าน
เมื่อเห็นว่าเขากระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ ฉินจื้อและเหยาเฟิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ อย่างน้อยหลัวเลี่ยก็แสดงความเคารพต่อศิลปะการต่อสู้ของพวกเขา
ทั้งสองอำลาหลิวหงเหยียน โดยแจ้งว่าจะกลับมารับผลการทดสอบของหลัวเลี่ยในอีกสามเดือน
“ข้าขอแนะนำท่านทั้งสองคน อย่าเพิ่งรีบร้อนจากไป” หลิวหงเหยียนกล่าว
“ไม่ทราบว่าฝ่าามีเื่อันใดอีกหรือ” น้ำเสียงของฉินจื้อราบเรียบ ทำให้รู้สึกได้ถึงความไม่เต็มใจ พวกเขารู้ดีว่าราชสำนักในแคว้นเป่ยสุ่ยนั้นวุ่นวาย และพวกเขาไม่้ามีส่วนร่วมในเื่นี้ ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่นาน
หลิวหงเหยียนยิ้มเบาๆ และกล่าวว่า “ไม่ใช่เื่สำคัญอะไรมากมาย ข้าแค่อยากเชิญชวนท่านทั้งสองคนอยู่ดูหลัวเลี่ยฝึกเคล็ดวิชาที่ท่านมอบให้”
ฉินจื้อและเหยาเฟิงมองหน้ากัน เต็มไปด้วยความงงงวย
หลิวหงเหยียนชี้นิ้ว “ดูนั่นสิ”
ปรมาจารย์ในระดับขั้นวังชะตาทั้งสองหันมองตามนิ้วของหลิวหงเหยียน
เป็เื่น่าแปลกใจที่พบว่าหลัวเลี่ยได้ปิดตำราวิชาก้าวั และหลับตาลงทั้งสองข้างเพื่อทบทวนเคล็ดวิชานี้ จากนั้นในตอนที่พวกเขากำลังจะถามว่ามีอะไรน่าสนใจให้ดูหรือ ทันใดนั้นร่างของหลัวเลี่ยก็สั่นไหวราวกับถูกคลื่นน้ำผลักให้ลอยห่างออกไปเจ็ดหรือแปดเมตร
“ระดับพื้นฐานแล้ว!”
ฉินจื้อกระซิบ
เหยาเฟิงหรี่ตาลง หายใจหนักเล็กน้อย
พวกเขาขอให้หลัวเลี่ยไปถึงระดับเริ่มต้นภายในสามเดือน ซึ่งระดับเริ่มต้นนั้นอยู่ถัดจากระดับพื้นฐาน แต่หลัวเลี่ยอ่านเพียงครั้งเดียว และเมื่อเริ่มฝึกฝนก็ถึงระดับพื้นฐานแล้ว ไม่น่าเชื่อจริงๆ
ในฐานะผู้บุกเบิกเคล็ดวิชาการเคลื่อนไหวทางกายภาพนี้ ไม่มีใครคุ้นเคยกับเคล็ดวิชานี้มากไปกว่าพวกเขา เมื่อคิดเช่นนี้แล้วมันก็ยิ่งน่าเหลือเชื่อมาก
หลัวเลี่ยยังคงฝึกฝนต่อไปราวกับว่าเขาไม่ได้ยินเสียงอุทานรอบนอก
เขาะโขึ้นและลงอยู่ในตำหนักยาซิน
หลัวเลี่ยผู้ซึ่งไม่เคยฝึกฝนทักษะทางร่างกายมาก่อน และด้วยความที่เป็คนสมัยใหม่ เขาจึงตื่นเต้นกับการบินและะโเป็พิเศษ แท้จริงแล้วเขามีความกังวลเกี่ยวกับทักษะการเคลื่อนไหวทางกายภาพ และบุคคลทั้งหมดนี้ก็ช่วยแก้ไขความกังวลนี้ได้
ครึ่งนาทีต่อมา ใบหน้าของฉินจื้อและเหยาเฟิงก็มีเืฝาดขึ้น ซึ่งเป็การแสดงออกถึงความตื่นเต้น
“ระดับเริ่มต้น นี่คือระดับเริ่มต้น!”
เมื่อมองไปที่การะโของหลัวเลี่ย มีเสียงคลื่นเบาๆ ดังขึ้น แล้วผู้าุโทั้งสองก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก
ระยะเวลาสามเดือนของระดับเริ่มต้น เป็ข้อกำหนดที่สูงมากสำหรับการทำความเข้าใจ พวกเขาคิดว่าหากให้ตนเองเรียนรู้วิชาก้าวัให้ได้ระดับเริ่มต้นภายในสามเดือนนั้น ด้วยระยะเวลาเท่านี้อาจไม่เพียงพอที่จะทำได้
แต่หลัวเลี่ยใช้เวลาเพียงครึ่งเฟินเท่านั้น
พวกเขาตื่นเต้นจนแทบจะเป็ลม ปรมาจารย์ระดับวังชะตาทั้งสองไม่อยากเชื่อเลย และเอาแต่ขยี้ตาโดยคิดว่าพวกตนมองผิดไป
กว่าพวกเขาจะแน่ใจว่าทุกอย่างเป็เื่จริง เวลาก็ผ่านไปหนึ่งนาทีแล้ว
จากนั้นพวกเขาค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า วิชาก้าวัของหลัวเลี่ยนั้นถึงระดับความเชี่ยวชาญแล้ว
ทั้งสองมองไปที่หลิวหงเหยียน “นี่เป็เื่จริงหรือ”
หลิวหงเหยียนเคยประสบกับเหตุการณ์ที่มองหลัวเลี่ยผิดไปเมื่อนานมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังใเมื่อได้เห็นอีกครั้ง มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ นางยังคงสงบนิ่งและพยักหน้าให้ผู้าุโด้วยรอยยิ้ม
ผู้าุโทั้งสองมองหน้ากัน แล้วมองไปที่หลัวเลี่ย ก่อนจะพบว่าเขากำลังจะก้าวไปสู่ระดับถ่องแท้แล้ว
กล่าวคือ ภายในสามนาที หลัวเลี่ยกำลังจะก้าวถึงระดับถ่องแท้แล้ว และเขายังฝึกฝนต่อไป
ผู้าุโทั้งสองตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้หลัวเลี่ยที่กำลังก้าวไปสู่ระดับถ่องแท้ได้ชะงักการฝึกฝนลง คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย เขาครุ่นคิด บางครั้งขมวดคิ้ว บางครั้งก็งงงวย
ตอนนี้ไม่ว่าผู้าุโจะรับศิษย์หรือไม่ ทว่าทั้งสองคนที่ในตอนแรกกำลังจะเดินจากไปแล้วก็รู้สึกภูมิใจมาก
“ถ้ามีบางอย่างที่เ้าไม่เข้าใจ บอกอาจารย์สิ แล้วอาจารย์จะอธิบายให้เ้าฟัง” เหยาเฟิงมีใบหน้าเ็าที่เพิ่งจะจำได้ว่าตัวเองเป็อาจารย์เปิดปากพูด
ฉินจื้อเอ่ย “ใช่ๆ บอกข้าสิ ข้าจะไม่ปิดบังเคล็ดลับ”
ใครบ้างจะไม่้ามีศิษย์ที่รู้แจ้งอย่างน่าเหลือเชื่อ พวกเขาต้องรีบหว่านล้อมศิษย์เช่นนี้ไว้ มิฉะนั้นหากพวกเขาถูกผู้อื่นฉกฉวยศิษย์ไปจะทำอย่างไร
หลัวเลี่ยถามด้วยความสงสัย “วิชาก้าวันี้ พวกท่านร่วมกันสร้างขึ้นใช่ไหม”
“ใช่”
“ใช่แล้ว”
ผู้าุโทั้งสองตอบพร้อมกัน
“เมื่อพวกท่านร่วมกันสร้าง คนสองคนย่อมมีแิทางวรยุทธ์ไม่เหมือนกัน เคล็ดวิชานี้มีข้อบกพร่องเล็กน้อย ท่านทั้งสองไม่ได้สอดผสานกันอย่างสมบูรณ์” หลัวเลี่ยกล่าว
ฉินจื้อครุ่นคิด และพูดว่า “แม้ว่าเราสองคนจะเติบโตมาด้วยกัน ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ด้วยกัน ร่วมต่อสู้ด้วยกัน และฝึกเคล็ดวิชามากมายด้วยกัน แต่วิชาก้าวันั้นน่าตื่นเต้นเกินไป และศิลปะการต่อสู้ที่บรรจุอยู่ในนั้นก็มีความลึกลับมากเช่นกัน ดังนั้นการเข้าใจของพวกเราจึงไม่สามารถเข้าใจตรงกันได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อร่วมกันสร้างเป็เคล็ดวิชา จึงมีความแตกต่างทางความคิดเกิดขึ้น”
หลัวเลี่ยพยักหน้า “ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อข้า้าเข้าถึงระดับถ่องแท้ ข้าจึงรู้สึกติดขัดเล็กน้อย รู้สึกว่ามีสองอารมณ์คล้ายคลึงกัน หนึ่งคือความปรารถนาอันสูงส่ง และอีกหนึ่งคือความทะเยอทะยานอันสูงส่ง แม้ว่าความแตกต่างจะไม่มากนัก แต่ก็ยังมีปัญหา ทำให้ไม่สามารถไปถึงระดับถ่องแท้ได้ และเนื่องจากท่านทั้งสองมีความเข้าใจที่แตกต่างกัน ดังนั้นทั้งคู่จึงยังอยู่ในระดับถ่องแท้ที่มีความเข้าใจที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง”
เมื่อผู้าุโทั้งสองได้ยินคำพูดนั้น พวกเขาก็มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
ความแตกต่างระหว่างพวกเขาเป็เช่นนั้นจริงๆ และหลัวเลี่ยก็ตระหนักถึงเื่นี้ได้ในระหว่างการฝึกฝนของตนเอง
“เ้ามีวิธีผสานเคล็ดวิชาหรือไม่? ทำให้เคล็ดวิชานี้กลายเป็ระดับถ่องแท้ที่สมบูรณ์แบบ” ฉินจื้อโพล่งออกมา
หลังจากถามออกมาแล้วฉินจื้อก็รู้สึกเสียใจ เพราะไม่ว่าหลัวเลี่ยจะเชี่ยวชาญแค่ไหน เขาก็ยังอยู่ในระดับผู้ฝึกตน ยังห่างชั้นอยู่มากกับการสร้างเคล็ดวิชาวิชาหนึ่ง แล้วเขาจะรวมเคล็ดวิชาเข้าด้วยกันได้อย่างไร
การสร้างเคล็ดวิชาไม่เพียงต้องใช้ความเข้าใจเป็รากฐานเท่านั้น แต่ยังต้องมีประสบการณ์เพียงพอ มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย การสร้างเคล็ดวิชาไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
หลัวเลี่ยคิดว่ามันค่อนข้างตลก
คนผู้นี้คิดว่าตนเองอยู่ระดับกายทองคำ เป็ปรมาจารย์ที่มีประสบการณ์มากมาย แต่กลับไม่สามารถรวมเคล็ดวิชาได้
ใครจะคาดคิดว่า ทันทีที่เขาคิดทบทวนเคล็ดวิชาอีกครั้ง ก็ปรากฏภาพัทองแหวกคลื่นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ขึ้นในหัวของเขา แล้วเคล็ดวิชาก้าวัที่ไม่ถูกผสานเข้าด้วยกันเพราะมีข้อบกพร่อง ก็ถูกผสานเข้าด้วยกัน หลัวเลี่ยได้ก้าวเข้าสู่ระดับถ่องแท้ในเคล็ดวิชานี้อย่างแท้จริง
“สำเร็จแล้วหรือ?”
หลัวเลี่ยตกตะลึง
และทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่า การสืบทอดของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด