หลิวเต้าเซียงได้ยินถึงกับอึ้งในตอนแรก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดซูจื่อเยี่ยจึงมอบตำราเกษตรให้แก่ผู้เป็พ่อ นางกวาดตามองตำราเหล่านี้น่าจะมีราวสิบเล่ม ตำราสมัยนี้ส่วนใหญ่เป็แบบคัดด้วยลายมือ เดิมทีต้องจ่ายสองถึงสามตำลึง หากว่าเป็ตำราดีอย่างเช่นตำราเกษตรเช่นนี้ นางเคยได้ยินซูจื่อเยี่ยบอกว่า เพราะว่าผู้มีการศึกษาส่วนน้อยที่จะอ่านตำราการเกษตร ดังนั้นตำราด้านนี้จึงไม่ได้เป็ที่แพร่หลายนัก ด้วยเหตุนี้จึงยากที่จะได้มา หากว่าได้มานั้น นับว่าเป็ของล้ำค่าเหลือนับคณา
นางหยิบตำราเกษตรขึ้นมาดูทีละเล่ม ‘หลักสำคัญของชาวเกษตรกร’ ‘สรุปศาสตร์เกษตรกรรม’ ‘การเกษตรโดยหวังเจิ้น [1]’ ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็อาจารย์ในราชวงศ์โจวที่ได้เขียนเกี่ยวกับเื่การเกษตร หนึ่งในนั้นยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงสัตว์อีกด้วย ซึ่งนี่ทำให้หลิวเต้าเซียงดีใจยิ่งนัก จากนั้นก็พลิกดูเล่มที่อยู่ด้านล่างด้วยความเอะใจ
“เอ๋!” หลิวชิวเซียงเห็นนางไม่ได้เปิดดูต่อ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยจึงชะเง้อดู เห็นหลิวเต้าเซียงกำลังมองดูหน้าปกของตำราหนึ่งเล่มที่ชื่อว่า ‘บทกลอนพันอักษร’
“น้องรอง นี่ตำราอะไรหรือ? ดูไม่เหมือนตำราการเกษตร” นางเอะใจ หน้าปกส่วนใหญ่ของตำรามีตัวอักษรคำว่า หนง 农 เกษตรกรรม หรือถึงแม้ไม่มี ก็ดูรู้ว่าเป็ตำราเกษตรกรรม
หลิวชิวเซียงหยิบตำราที่ระบุว่า ‘บทกลอนพันอักษร’ ขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม “หรือตำราเล่มนี้คือกลอนที่แต่งโดยการใช้หนึ่งพันอักษรหรือ?”
“ก็มิใช่เช่นนั้น และไม่ใช่กลอนห้าอักษรหรือเจ็ดอักษร แต่นี่คือตำราปฐมวัย รอข้ากับท่านพี่เรียน ‘คัมภีร์ร้อยตระกูล’ จบ ก็ต้องเรียนเล่มนี้ต่อ” หลิวเต้าเซียงยกยิ้มมุมปาก ช่างเป็การง่วงนอนแล้วมีคนหยิบยื่นหมอนมาให้เสียจริง นางกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร คิดไม่ถึงว่าซูจื่อเยี่ยจะคิดได้กระทั่งเื่นี้
จากนั้นนางก็มองดูตำราสองเล่มที่อยู่ด้านล่างสุด เล่มหนึ่งคือ ‘กฎของลูกศิษย์’ [2] ส่วนอีกเล่มคือ ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ [3] หลิวเต้าเซียงจึงยิ่งมีแผนการในใจชัดเจนยิ่งขึ้น
หลังอาหารค่ำผ่านไป ครอบครัวของหลิวซานกุ้ยก็กินเนื้อวัวตุ๋น ไข่เยี่ยวม้าใส่ซีอิ๊วขาวและข้าวขาวชามใหญ่กันในห้องแคบๆ
ขณะที่กิน จางกุ้ยฮัวไม่ได้รู้สึกเสียดาย แต่หลังจากกินเสร็จก็เริ่มรู้สึกเสียใจทีหลัง ข้าวขาวทั้งบ้าน หมดแล้วสิทีนี้!
หลิวเต้าเซียงอดขำไม่ได้ “ท่านแม่ อย่ากังวลไปเลย ท่านพ่อก็ไปจับปลากลับมาแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลิวซานกุ้ยตกปลากลับมา มีเพียงปลาเฉากับปลาหลี่อวี๋บางส่วนที่เก็บไว้เลี้ยงตรงหลังบ้าน แล้วเลือกตัวใหญ่มาสองตัว ตัวเล็กมาสามตัวให้จางกุ้ยฮัวลอกเกล็ดออก จากนั้นทาด้วยเกลือแล้ววางไว้ในตู้ห้องครัว ผ่านไปไม่กี่วันก็สามารถเอาออกมากินได้ กินกับข้าวอร่อยนักแล
“แต่ก็ใช่ว่าจะกินเช่นนั้นได้ตลอด” จางกุ้ยฮัวปวดใจ แล้วกังวลว่าลูกสาวจะไม่อิ่ม แต่ขณะเดียวกันก็เสียดายข้าวสาร หากว่ากินกันประหยัดกว่านี้แล้วทำเป็โจ๊ก คงสามารถกินได้อีกสัก่หนึ่ง
“ท่านแม่ วางใจเถิด เื่ข้าวสารข้าจะรับผิดชอบเอง” หลิวเต้าเซียงทุบอกขณะที่พูด
เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้ นางก็นึกถึงตำราที่เห็นเมื่อ่บ่าย จึงหันไปกล่าวกับหลิวซานกุ้ย “ท่านพ่อ ข้าเห็นว่าตำราเ่าั้ไม่ได้มีเพียงตำราการเกษตรนะ”
หลิวซานกุ้ยตะลึงก่อน จากนั้นก็มองไปทางหลิวเต้าเซียงอย่างประหม่า “หมายความเช่นไรหรือ?”
ดวงตากลมโตฉ่ำน้ำของหลิวเต้าเซียงเบิกออกกว้าง แล้วเอ่ย “อืม ในนั้นยังมี บทกลอนพันอักษร กฎของลูกศิษย์ แล้วก็คัมภีร์หลุนอวี่อีกด้วย ท่านพ่อ นั่นคือตำราที่คุณชายน้อยมอบให้ท่านพร้อมกับตำราการเกษตร”
เมื่อนางเห็นหลิวซานกุ้ยนั่งอยู่กับที่โดยไม่พูดจา จึงออดอ้อนอยู่ในอ้อมอกของเขาราวกับนวดบัวลอย “ท่านพ่อ ท่านต้องสอนข้านะ ข้าก็อยากอ่านตำราเหล่านี้ แต่ข้ากับท่านพี่ลองพลิกดูแล้ว ไม่เพียงแต่มีตัวอักษรที่ไม่รู้จัก แล้วยังมีบางตัวราวกับเมฆหมอก ไม่รู้ว่าในตำรานั้นกล่าวว่าอย่างไรบ้าง ท่านพ่อ ได้โปรดสอนพวกข้าหน่อยเถิด”
“นั่นสิ ท่านพ่อ ข้ากับน้องรองเสียเวลาอยู่นานกว่าจะอ่านตำราเล่มกลอนพันอักษรไปได้เพียงนิดเดียว ทั้งยังอ่านไม่เข้าใจอีกด้วย” หลิวชิวเซียงเองก็้าเรียน น้องรองของนางบอกว่า ต่อไปครอบครัวของพวกนางต้องเป็บ้านที่มีการศึกษา
อย่างไรก็ตามครอบครัวที่มีการศึกษาสูง ย่อมเปรียบเหมือนการมีสมบัติที่ไม่มีที่สิ้นสุด
กระนั้น หลิวชิวเซียงเองก็อ้อนวอนขอร้องเช่นเดียวกัน
หลิวซานกุ้ยที่นั่งอยู่นั้นคิดหนัก บุตรของตนรักการเรียนย่อมเป็เื่ดี เพียงแต่ว่า…
เขา้าบอกว่า เขาเองก็รู้เพียง คัมภีร์ตรีอักษรกับคัมภีร์ร้อยตระกูลเท่านั้น
ให้ตายเถิด เป็ไปได้ว่าเขาเองก็อาจจะไม่เข้าใจ บทกลอนพันอักษร ก็เป็ได้!
ไม่มีใครสามารถเข้าใจความโศกเศร้าจางๆ ในใจของเขาได้
แม้แต่ภรรยาแสนดีของเขาก็มองมาด้วยดวงตาเปล่งประกายและเขินอาย
หากผู้ที่ไม่รู้ คงพากันเดาว่านางกำลังอ้อนวอนให้เขาร่วมคลุกคลีกันบนเตียงนอนสักครา!
“ภรรยาจ๋า เ้าช่วยพูดกับลูกๆ หน่อยเถิด”
ภายใต้ความหน่ายใจ ตนเองไม่สามารถปฏิเสธคำขอของลูกรักได้ จึงยกหน้าที่นี้ให้กับจางกุ้ยฮัวที่อยู่ข้างๆ
ทันใดนั้น คิ้วของนางก็ตั้งขึ้น “หลิวซานกุ้ยดูท่าทีขี้ขลาดของเ้าสิ ลูกๆ ้าเล่าเรียนนั่นเป็เื่ดีไม่ใช่หรือ? ดูจากที่ท่านแม่เ้าประเคนให้แก่อาสี่ ดูก็รู้ว่าการเล่าเรียนเป็สิ่งที่ดีที่สุด”
หลิวซานกุ้ยในใจอยากบอกว่า แม่ของเขา้าจะเป็ฮูหยินตระกูลขุนนางจนแทบบ้า นี่เทียบกันได้หรือ?
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดเขาไม่กล้าพูดแบบนี้ เพราะเกรงว่าลูกรักสองคนจะน้ำตาคลอเบ้าแล้วคุกเข่ากับพื้นอย่างน่าสงสาร มองดูเขา และจ้องมองอยู่เช่นนั้น…
จ้องจนเขาตอบรับไปอย่างมึนงง
เมื่อเขาได้สติอีกทีก็ตบหน้าขาตนเองอย่างแรงแล้วพึมพำ “เอ๋ กลับมานี่ก่อน ไม่ใช่สิ เ้าสองคนรอก่อน”
เมื่อเห็นท่าทีตื่นตัวของหลิวซานกุ้ยเทียบกับท่าทางอย่างพระโพธิสัตว์เช่นแต่ก่อน ช่างราวกับคนละคนเสียจริง
สองพี่น้องสบตากันแล้วหัวเราะ หลิวเต้าเซียงวิ่งไปเกาะขากางเกงของเขาแล้วกระตุก “ท่านพ่อ ท่านพูดแล้วนะ คำพูดของบุรุษ แม้แต่ม้าก็ยากจะฉุดอยู่”
หลิวซานกุ้ยรู้สึกได้ทันทีราวกับว่านิ้วเท้าของเขากําลังเ็ป นี่เป็การยกก้อนหินกระแทกเท้าตนเองหรือไม่นะ
“ลูกรอง เด็กดี เื่เรียนยังไม่รีบร้อน”
แต่ในใจเขาะโว่า ลูกรองจ๋า ข้าเองยังไม่เคยได้อ่านบทกลอนพันอักษร เลย เ้าจะให้พ่อสอนอย่างไร สิ่งที่เ้าไม่เข้าใจ พ่อเองก็ไม่ได้เข้าใจหรอกนะ
“ท่านพ่อ ไม่เอาน่า ข้าอยากศึกษาเล่มนั้น บทกลอนพันอักษรเมื่อครู่”
หลิวเต้าเซียงกอดน่องของเขาและไถอยู่อย่างนั้น ภายใต้แววตาฉายประกายเ้าเล่ห์ ฮึ ท่านพ่อ อย่าคิดสู้พวกเราเลย
นาง้าให้พ่อของนางได้ร่ำเรียน ในที่สุด วันนี้ก็มีบันไดทอดมาอย่างดิบดี ยังไม่รีบปีนขึ้นไปอีก!
มิฉะนั้น ต้องรอจนกว่าคะน้าเหี่ยวเหลือง บันไดก็หายไป มาโน้มน้าวตอนนั้นคงไม่ทันการ
อืม หลิวเต้าเซียงตื่นเต้นจึงใช้ลูกไม้ที่หยาบไปเสียหน่อย
ไม่ว่าใบหน้าของหลิวซานกุ้ยจะหนาเพียงใด ก็มิอาจบอกกับบุตรสาวได้ตรงๆ ว่าตัวเขาเองก็มีตัวอักษรมากมายที่ไม่เข้าใจ
เขาได้แต่เบนสายตาเลื่อนไปทางจางกุ้ยฮัว
จางกุ้ยหัวทนจ้องมองเขาไม่ได้ นางจึงพูดกับหลิวเต้าเซียที่จู่โจมต่อเนื่อง “ลูกรัก พ่อเ้าน่ะ อืม อะไรดีล่ะ พ่อเ้าต้องยุ่งกับการจับปลาไม่ใช่หรือ เื่นี้ปล่อยไปอีกสักพักเถิด”
“ท่านแม่ อย่าได้หลอกข้าเลย” หลิวเต้าเซียงไม่คล้อยตาม จากนั้นก็กอดน่องของหลิวซานกุ้ยราวกับขนมเกลียว
ทันใดนั้น หลิวชิวเซียงก็เอื้อมมือออกไปและตบท้ายทอยของตนเอง แล้วเอ่ยกับหลิวเต้าเซียง “โอ๊ย น้องรอง เราลืมไปได้อย่างไร ท่านพ่อเคยเรียนแค่ คัมภีร์ตรีอักษรกับคัมภีร์ร้อยตระกูลนี่นา”
หลิวเต้าเซียงเบะปากเล็กๆ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ข้ารู้”
เ้ารู้อยู่แล้ว ยังจะให้การบ้านข้อยากกับพ่ออีก หลิวซานกุ้ยได้ยินดังนั้นหัวใจก็แตกเป็เสี่ยง มีบุตรสาวที่รักดี อันที่จริงก็เป็เื่ที่น่าปวดใจจริงๆ
หลิวเต้าเซียงไม่ได้สนใจว่าหัวใจของเขาจะแตกเป็กี่เสี่ยง ยังคงอ้อนวอนหลิวซานกุ้ยต่อ “ท่านพ่อ เหตุใดไม่ลองนึกถึงเหตุผลที่คุณชายน้อยมอบตำราเหล่านี้ให้เรา”
“โอ้ เขาบอกว่าข้ารักการทำเกษตรกรรม จึงมอบตำราเกษตรกรรมให้แก่พ่อ” นี่คือคำตอบจากจางกุ้ยฮัว
อืม ซูจื่อเยี่ยนั้นเ้าความคิดเหลือเกิน เขาไม่้าให้หลิวฉีซื่อยึดตำราเหล่านี้ไป ถึงได้คิดข้ออ้างง่ายดายเช่นนี้
หลิวซานกุ้ยเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเองก็ไม่อยากเชื่อ “ให้ข้าเล่าเรียนมากกว่านี้หรือ จะเป็ไปได้อย่างไร?”
“เหตุใดถึงเป็ไปไม่ได้?” หลิวเต้าเซียงไม่พอใจ นับั้แ่รู้ว่าพ่อผู้แสนดีของตนมีความสามารถท่องจำแม้เพียงผ่านตา นางก็เริ่มมีแผนการในใจ
ขณะนี้ ซูจื่อเยี่ยช่วยนางวางโครงไว้ให้แล้ว นางก็ต้องรีบร่ายไปตามนั้น
“ท่านพ่อ ถ้าเช่นนั้นท่านลองบอกสิว่าตำราเหล่านี้มีไว้สำหรับผู้ใด? พวกเราสองพี่น้องก็ศึกษาได้เพียงบทกลอนพันอักษร แต่ตำรากฎของลูกศิษย์กับคัมภีร์หลุนอวี่นั้น มีไว้สำหรับพวกข้าเช่นนั้นจริงหรือ?”
เมื่อคำพูดของหลิวเต้าเซียงออกมา หลิวซานกุ้ยเองก็ไม่อยากเชื่อ
บางทีบุตรสาวคนรองอาจจะรู้ตัวหนังสือ แต่ไม่รู้จักคัมภีร์หลุนอวี่ เพราะว่ามันคือตำราที่มีไว้สำหรับลูกศิษย์ที่เล่าเรียนเป็จริงเป็จัง
ดวงตาของหลิวซานกุ้ยสว่างขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็อ้างอย่างรวดเร็ว “ลูกรัก ไม่รู้ว่าคุณชายน้อยไปรู้มาจากไหนว่าพ่อพออ่านออกเขียนได้ แต่ก็รู้ตัวอักษรเพียงบางส่วน บางทีเขาอาจจะไม่ได้คิดมากเช่นนั้นก็ได้”
อีกประเด็นหนึ่งที่หลิวซานกุ้ยพูดไม่ได้จริงๆ คือถึงอย่างไรเขาก็เป็ชายที่อายุแตะเลขสามแล้ว ยังเล่าเรียนอะไรกัน ตนเองนั้นไม่ใช่ผู้ไม่รู้หนังสือ คิดเพียงว่าไม่้าให้บรรดาลูกๆ เองก็ไม่รู้หนังสือเท่านั้น
หลิวเต้าเซียงเป็คนที่มีความคิดแน่วแน่ ไม่เคยละทิ้งเป้าหมายของตนเอง ด้วยเหตุนี้นางจึงโน้มน้าวอีกครั้ง “ท่านพ่อจะกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก ข้า้าให้ท่านพ่อเล่าเรียนให้มาก เช่นนี้ท่านพ่อจะสามารถเล่าเื่ข้างนอกให้ข้า พี่ใหญ่และท่านแม่ฟังได้”
จางกุ้ยฮัวไม่ได้คิดมากเื่นี้ ในความคิดคือครอบครัวของนางยังคงดิ้นรนเพื่อเลี้ยงปากท้อง ไหนเลยจะมีเงินมากพอเพื่อการเล่าเรียน ยิ่งไปกว่านั้นหลิวซานกุ้ยคือเสาหลักของครอบครัว อีกอย่างไม่ว่าจะเอ่ยจากเื่ไหน หลิวฉีซื่อก็ไม่มีทางตกลงเห็นด้วยเป็แน่
“เื่ภายนอกไม่เห็นมีอะไรน่าเล่า พ่อเ้าน่ะ อย่างมากสุดก็เคยไปแค่ในตำบล หรือไม่ก็วนเวียนอยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้ของเรา”
จางกุ้ยฮัวช่วยหลิวซานกุ้ยพูด และ้าดับความคิดเื่นี้ของหลิวเต้าเซียง
“ท่านแม่ การเล่าเรียนไม่ดีตรงไหนหรือ? แต่ก่อนท่านแม่เองก็ไม่รู้หนังสือ ตอนที่ไปยังร้านค้าในตำบล บนป้ายเขียนว่าอย่างไรบ้าง ท่านรู้เื่เช่นนั้นหรือ? ทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายเช่นตอนนี้”
หลิวเต้าเซียงคิดๆ ดูแล้วรู้สึกว่าลำพังเหตุผลแค่นี้คงไม่มีทางโน้มน้าวใจทั้งสองคนได้ จึงเอ่ยอีก “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านเองก็เคยคำนวณ ไก่ที่เราเลี้ยงไว้ที่บ้านป้าหลี่ อีกสองถึงสามเดือนก็จะวางไข่แล้ว เช่นนี้วันหนึ่งคงได้ห้าถึงหกใบเป็อย่างต่ำ คำนวณแล้วก็น่าจะได้เจ็ดถึงเก้าเหรียญ หนึ่งเดือนก็ได้ยี่สิบกว่าเหรียญ บวกกับเงินที่ขายไก่ตอนปลายปี ไก่สิบตัว ทั้งหมดรวมกันก็น่าจะได้สองตำลึงกว่า”
เมื่อไม่ได้คำนวณอย่างละเอียดก็ไม่รู้สึก แต่พอคำนวณเช่นนั้น จางกุ้ยฮัวก็รู้สึกว่าคุ้มค่า ไก่เหล่านี้กินรำข้าวซึ่งไม่ต้องใช้เงินในบ้าน เพราะลูกๆ ยังขึ้นเขาไปเก็บผักป่ามาเลี้ยงไก่อยู่ทุกวัน จากที่ดูก็นับว่ามีผลประโยชน์พอสมควร
เพียงแต่ คำพูดของบุตรสาวคนรองหมายความว่าอย่างไรกัน?
ขณะที่จางกุ้ยฮัวครุ่นคิดก็เกิดคำถามนี้ขึ้นในหัว
------
เชิงอรรถ
[1] หวังเจิ้น 王祯 หวังเจิ้นเป็วิศวกรเครื่องกลชาวจีนนักปฐีวิทยานักประดิษฐ์นักเขียนและนักการเมืองของราชวงศ์หยวน เขาเป็หนึ่งในผู้ริเริ่มเทคโนโลยีการพิมพ์แบบเคลื่อนย้ายได้ด้วยไม้ บทความทางการเกษตรที่มีภาพประกอบของเขายังเป็หนึ่งในบทความที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนี้ซึ่งครอบคลุมอุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆที่มีให้ใน่ปลายศตวรรษที่ 13

[2] กฎของลูกศิษย์ หรือ ตี้จื่อกุย 弟子规 เขียนขึ้นในราชวงศ์ชิงในรัชสมัยของจักรพรรดิคังซี โดย Li Yuxiu หนังสือเล่มนี้มีพื้นฐานมาจากคำสอนโบราณของนักปรัชญาชาวจีน ขงจื๊อ ที่เน้นย้ำถึงความจำเป็พื้นฐานในการเป็คนดีและแนวทางในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
[3] หลุน-อฺวี่ (จีน: 论语; อังกฤษ: Analects) แปลว่า "ปกิณกคดี" เป็คัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื๊อ เป็คัมภีร์รวมบทสนทนาที่เหล่าศิษย์สำนักขงจื๊อได้รวบรวมขึ้นหลังมรณกรรมของขงจื่อ หลุน-อฺวี่ ฉบับปัจจุบันแบ่งออกเป็ 20 เล่ม (แต่ละเล่มแบ่งออกเป็บทย่อย ๆ หลายบท) ชื่อของแต่ละเล่มเรียกตามอักษรสองหรือสามตัวเแรกของบทที่หนึ่งในเล่มนั้น ๆ มิได้เป็การตั้งชื่อเล่มเพื่อสื่อความหมายแต่อย่างใด ข้อความส่วนมากในหลุน-อฺวี่ เป็บันทึกการสนทนาระหว่างขงจื๊อกับบุคคลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ลูกศิษย์ เ้าเมือง ขุนนาง ผู้หลีกลี้สังคม นายด่าน หรือกระทั่งคนบ้า โดยขงจื๊อมีบทบาทเป็ผู้สนทนาหลักซึ่งถ่ายทอดความคิดหรือคำสอนให้กับคู่สนทนา (มีอยู่ไม่กี่บทเท่านั้นที่ผู้สนทนาหลักไม่ใช่ขงจื๊อ แต่เป็ศิษย์ซึ่งภายหลังได้รับยกย่องให้เป็อาจารย์ในสำนัก เช่น เจิงจื่อ (曾子) กับ โหยวจื่อ (有子)
