จรดพู่กันเขียนไปเขียนมาอยู่หลายรอบ บางรายชื่อลบทิ้ง บางรายชื่อก็เหลือเก็บไว้ โดยประมาณแล้วเหลืออยู่สามสี่ชื่อที่เยวี่ยเจาหรานรู้สึกว่าเหมาะสมที่สุด แล้วจึงค่อยให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหยุดฝนหมึกได้
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วราวกับได้รับการอภัยโทษ นางยกมือขึ้นโยนสิ่งของทิ้งไป แล้วหย่อนก้นกลับลงไปตำแหน่งเดิมของตน เอ่ยขึ้นเสียงดัง “ข้าเห็นเ้าเยวี่ยเจาหรานผู้นี้ ช่างเจตนาร้ายกาจยิ่งนัก! ชื่อแค่ไม่กี่ชื่อขีดๆ เขียนๆ ไปมาหลายครั้งหลายครา ข้าว่าเ้าไม่ได้คิดจะหาบ้านสามีให้เปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ยหรอก เ้าอยากให้ข้อมือของข้าเหนื่อยจนหักไปเลยต่างหาก ใช่หรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก่นด่าไปพลาง นวดคลึงข้อมือที่ปวดเมื่อยไปพลาง แต่กลับเห็นเยวี่ยเจาหรานถือแผ่นกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง ถือห้อยไว้ตรงหน้าสังเกตมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขามองดูไปพลางเอ่ยรับคำบ่นว่าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว “เ้าจะเข้าใจอะไร? แขนเสื้อแดงเคียงกายยามเขียนเรียนตำรา นี่คือนิมิตอันดีในห้องหนังสือของคนโบราณ ข้าไม่ได้จงใจทำให้เ้าลำบากเสียหน่อย!”
เยวี่ยเจาหรานนั้นเมื่อพูดจบก็หัวเราะออกมา แล้วหันกลับเหลือบมองเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่นั่งอย่างอ่อนระโหยโรยแรง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “คราวก่อนอาจารย์อวี้ลงโทษให้เ้าคัดตำรา เ้าก็ทำได้ไม่ดี ตอนนั้นอาจารย์อวี้ไม่ใช่ลงโทษให้เ้าฝนหมึกด้วยหรือ แล้วเ้าก็ยังทำได้ไม่ดีอีก หมึกที่ฝนออกมาก็ไม่เรียบเนียนสม่ำเสมอ ทำให้อาจารย์อวี้ดุด่าอย่างหนัก ครั้งนี้ข้าจึงให้เ้าหัดฝนหมึกดีๆ เรียนรู้วิธีการบรรจงฝนเช่นนี้ เพื่อไม่ให้เ้าถูกอาจารย์อวี้จับไปต่อว่าอีกครั้ง...”
“พอได้แล้วเ้าน่ะ ในจวนเยี่ยนแห่งนี้มีใครบ้างที่พูดชนะเ้า? อย่างไรวันนี้ข้าก็อารมณ์ดี ไม่อยากจะถือสาหาความเ้ามากนัก ไม่เช่นนั้นข้าก็อยากจะเห็นนักว่าปากเช่นนี้ของเ้าจะยังมีโอกาสได้พูดอีกสักแค่ไหน!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดพลางยกมือขึ้นกำหมัด ทำท่าทางเหมือนจะชก แต่กลับไม่ได้ทำจริง เพราะข้อมือนั้นฝนหมึกจนเหนื่อยเหลือจะทน
เยวี่ยเจาหรานยักไหล่ ไม่กล้าพูดอะไรมาอีก จะว่าก็ว่าเถอะ สำหรับหมัดที่หนักราวกับกระสอบทรายของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้น เยวี่ยเจาหรานรู้สึกประหวั่นยำเกรงอยู่ไม่น้อยจริงๆ ถึงอย่างไรชีวิตก็เป็สิ่งสำคัญที่สุด และหากเทียบระหว่างหมัดของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกับความตายนั้นก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นเส้นแบ่งอันชัดเจนได้เลย
เมื่อมองไม่กี่รายชื่อที่เขียนบนหน้ากระดาษแล้ว ในใจของเยวี่ยเจาหรานก็ยังรู้สึกไม่แน่ใจนัก แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็ตัวเลือกที่เขารู้สึกว่าเหมาะสมกับสวี่ชิวเยวี่ย แต่ใครจะรู้ว่าสวี่ชิวเยวี่ยเห็นเยี่ยนอวิ๋นเฟยเป็รักแท้และจะต้องแต่งกับเขาให้จงได้หรือไม่? ถึงแม้เยวี่ยเจาหรานจะยังตั้งข้อสงสัยต่อสถานการณ์ แต่ถึงอย่างไรคนที่เห็นเยี่ยนอวิ๋นเฟยเป็ดั่งรักแท้ ก็คงจะไม่มีทางแยกเยี่ยนอวิ๋นเฟยกับน้องสาวฝาแฝดของเขาเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ออกหรอกกระมัง?
ยิ่งกว่านั้นนิสัยไม่มีเื่ก็อยู่ไม่ได้อย่างสวี่ชิวเยวี่ย ก็ดูไม่เหมือนตัวละครหญิงที่เทิดทูนรักแท้เลย โดยรวมแล้วต้องเป็ประเภทที่ขอแค่มีผลประโยชน์ จะแต่งงานกับใครก็ได้ทั้งนั้นต่างหาก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยวี่ยเจาหรานจึงพยักหน้าอย่างมั่นใจอย่างยิ่ง ในใจบอกกับตนเองไม่หยุด ข้าทำได้ ไม่มีปัญหา! แล้วจึงงอนิ้วเคาะลงที่โต๊ะ ร้องเรียกเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วทีหนึ่ง “นี่ ข้าว่าเ้าเองก็มาดูรายชื่อเหล่านี้สักหน่อยดีหรือไม่?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเหนื่อยเหลือทน นางยังคงนวดคลึงข้อมือของตนไม่หยุด เมื่อได้ยินคำพูดของเยวี่ยเจาหราน ก็พลันโบกมือไปมาเอ่ย “ช่างเถอะๆ ข้าไม่ดู ถึงอย่างไรข้าดูไปก็ไม่รู้จัก เ้าคิดว่าเหมาะสมก็พอแล้ว ไม่ต้องวุ่นวายมากนักหรอก...”
คิดดูแล้วที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดก็จริง เหล่าขุนนางท่านอ๋องทั้งเล็กใหญ่ในเมืองหลวงแห่งนี้ ผู้ที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้จักให้แค่มือข้างเดียวก็คงนับได้หมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่คุ้นเคย ด้วยเหตุนี้ เยวี่ยเจาหรานจึงไม่บังคับให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมาดูรายชื่อพวกนี้ให้ได้ เขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราก็ ลงมือก่อนได้เปรียบ เอาไปให้ท่านแม่ดูสักหน่อยดีหรือไม่?”
“จะให้ท่านแม่ข้าดูอะไร ไม่ได้จะหาบ้านสามีให้ท่านแม่ข้าเสียหน่อย” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอนตัวพิงพนักพิงหลังเก้าอี้ แล้วจึงเอ่ยขึ้น “จะหาผู้ชายให้ใคร ก็เอาไปให้คนนั้นดูก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
ก็ต้องบอกว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็แม่นางน้อยที่หัวคิดเรียบง่าย โตแต่ตัวสมองไม่พัฒนา ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างก็พอว่า ยังจะเอาทุกเื่มาคิดหนึ่งเท่ากับหนึ่ง สองเท่ากับสอง อย่างเรียบง่ายไปเสียหมด เยวี่ยเจาหรานถอนหายใจ แม้จะหงุดหงิดแต่กลับทำได้เพียงอธิบายให้นางฟัง ถึงอย่างไรตนก็เป็ ‘ภรรยา’ ย่อมต้องเป็คนพะเน้าพะนออยู่แล้วนี่?
“เ้าไม่เข้าใจ สิ่งที่เป็หลักสำคัญในการแต่งงานก็คือคำสั่งของพ่อแม่ และคำแนะนำของแม่สื่อ หากไม่มีการอนุญาตของแม่เ้า แล้วเอาไปให้สวี่ชิวเยวี่ยดูโดยตรง เช่นนั้นไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม” เยวี่ยเจาหรานยืนขึ้น เดินไปเบื้องหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ลดข้อมือลงตบที่ไหล่ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเบาๆ “เ้าก็เห็นว่าเราสองคนแต่งกันมานี้ ก็ไม่เคยถามความเห็นของพวกเราเลยไม่ใช่หรือ?”
“จะว่าไปแล้ว คนเย่อหยิ่งจองหองอย่างสวี่ชิวเยวี่ย จะยอมรับการแต่งงานที่เราเป็คนจัดเตรียมหาคู่ดูตัวให้ได้อย่างไร? หากไม่มีท่านแม่ของเ้าออกหน้า เื่นี้คงไม่สำเร็จแน่นอน”
กระทั่งเยวี่ยเจาหรานเอ่ยคำพูดออกมาจนหมด เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ “อืม เพราะเหตุนี้นี่เอง เช่นนั้นเ้าไปหรือข้าไปล่ะ?”
คำถามเช่นนี้ไม่จำเป็ต้องคิดเลย! เยวี่ยเจาหรานถอยไปข้างหลังสองก้าวอย่างไม่ลังเล เขารีบโบกมือไปมาแล้วเอ่ย “นั่นคือแม่ของเ้า คนที่จะจัดงานมงคลก็ยังเป็เปี่ยวเม่ยของเ้าด้วย เ้าไม่ไปแล้วจะให้ใครไป? อย่างไรข้าก็ไม่ไป เ้าไปแล้วกัน!
แม้ว่าท่าทีของเยวี่ยเจาหรานจะแสดงออกมาชัดเจนอย่างยิ่ง แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วรู้สึกว่าตนยังสามารถยื้อต่อไปได้อีกหน่อย ดังนั้นจึงผุดรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า แล้วจึงเอ่ยขึ้น “แต่พวกเ้าต่างก็เป็ ‘ผู้หญิง’ นี่นา เื่เช่นนี้ไม่ใช่เป็เื่ที่ผู้หญิงอย่างพวกเ้าจัดการกันอยู่แล้วหรอกหรือ ข้าไม่ไป ลำบากเ้าผู้เป็พี่สะใภ้สักครั้งก็แล้วกันนะ ฮ่า!”
พูดจบ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ทำท่าทางไม่สนใจเพราะไม่ใช่เื่ของตน นางหันตัวไปทางอื่น แล้วพิงพนักเก้าอี้ฮัมเพลงอย่างสบายใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คิดที่จะไป
“เ้าลืมเสียเถอะ ใครเป็ผู้หญิง ในใจเ้าเองก็รู้ดีอยู่ไม่ใช่หรือ?” นิสัยของเยวี่ยเจาหรานยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ย่อมไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายอย่างง่ายดายแน่ แม้ว่าเขาจะไม่กล้ามีข้อพิพาทอะไรกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมากนัก แต่เื่ถกเถียงเล็กน้อยเช่นนี้ จะมีบ้างก็ไม่เป็ไร
เยวี่ยเจาหรานยกสองมือจัดสาบเสื้อด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยย้ำอีกครั้ง “ข้าไม่ไป ก็คือข้าไม่ไป!”
“เฮ้อ ข้าว่าเ้าเนี่ยนะ เยวี่ยเจาหราน… เหตุใดเ้าถึงทิฐิสูงนักนะ?” ไม่มีทางเลือก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้แต่หันตัวกลับมาอย่างยากลำบากอีกครั้ง นางมองไปยังแผ่นหลังอันเย่อหยิ่งเสียเต็มประดาของเยวี่ยเจาหราน แล้วเอ่ยเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง “จริงๆ นะ เ้าไปจะสะดวกกว่า อีกอย่างคนพวกนั้นเดิมทีก็เป็คนเลือก ข้อดีข้อเสียเ้าก็สามารถพูดได้ชัดเจนไม่ใช่หรือ?”
“หากข้าไป รับรองว่าต้อง... เอาหมวกจางไปใส่แซ่หลี่ [1] ให้ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ [2] เป็แน่”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เพิ่งจะเรียนสำบัดสำนวนมาไม่เท่าไรนั้นไม่ยอมล้าหลัง นางรีบเอาสิ่งที่เรียนมาใช้ทันที แม้ว่าใช้ไปมั่วๆ แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแอบภาคภูมิใจในตัวเองไปอีกแสนนาน
“ใช้สำนวนไม่เป็ก็อย่าใช้ส่งเดชสิ ต้นหลี่ตายแทนต้นท้ออะไร คำนี้มันใช้เช่นนี้ที่ไหนกันเล่า?” เยวี่ยเจาหรานยืนจนเหนื่อยแล้ว หลังจากที่ถอนหายใจยาวแล้วจึงเดินไปนั่งลงตรงหน้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว “ข้าไม่อยากจะไปเผชิญกับแม่เ้า มันน่าอึดอัดใจจริงๆ !”
เมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดใจของเยวี่ยเจาหราน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงรู้สึกว่าตนเองบังคับใจผู้อื่นไปหน่อย สุดท้ายเมื่อพยายามครุ่นคิดดู ในที่สุดนางก็นึกถึงวิธีการที่ได้ผลดีกันทั้งสองฝ่าย ทั้งยังยุติธรรมอย่างยิ่ง
ดวงตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววาบประกาย แล้วจึงยื่นมือออกมา เอ่ยอย่างคึกคัก “เช่นนั้น… เช่นนั้นเรามาเป่ายิงฉุบกัน เ้าว่าดีหรือไม่?!”
เชิงอรรถ
[1] เอาหมวกจางไปใส่แซ่หลี่ (张冠李戴) เอาหมวกของคนแซ่จาง ไปใส่ให้กับคนแซ่หลี่ หมายถึง เอาไปให้ผิดคน ไปหาคนผิด ทำผิดเื่ผิดราว
[2] ให้ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ (李代桃僵) หรือกลยุทธ์หลี่ตายแทนถาว คือกลยุทธ์ในการพลิกสถานการณ์อันเลวร้าย โดยจำยอมเสียสละส่วนหนึ่งที่แม้จะมีความสำคัญ เพื่อให้ได้ชัยชนะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้