‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ นามนี้แม้อยากละเลยก็ทำไม่ได้
คนที่เคยพบเธอยากจะลืมเลือน ส่วนคนที่ไม่เคยพบเธอด้วยสองตา ทว่าในการสอบย่อยทุกครั้งผลคะแนนของเธอก็ติดอยู่ตรงลำดับต้นๆนั้น หากไม่ได้ตามืดบอดย่อมมองเห็นได้ นักเรียนกลางภาคเรียน สวย คะแนนดี ลึกลับ...คำอธิบายเหล่านี้ล้วนเป็ป้ายที่แปะบนตัวของเซี่ยเสี่ยวหลาน ต่อมายังต้องเพิ่ม ‘เสียสละ’ ด้วยอีกหนึ่งอย่าง
เธอไม่กลัวว่าคะแนนจะโดนคนอื่นนำหน้าหรือ?
ได้แบบฝึกหัดมาไว้ในมือ กลับแบ่งปันให้นักเรียนทั้งชั้นปีทำ
อีกทั้งยังมีวิธีการเรียนรู้ซึ่งเปิดเผยโดยเฉินชิ่งอีกด้วย ไม่เพียงสามารถนำมาใช้ท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษเท่านั้นแต่ยังใช้กับวิชาที่ท่องจำอื่นๆ ก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน
ไม่รวมว่าเดิมทีเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่มีชื่อเสียอะไรในเซี่ยนอีจงอยู่แล้ว แต่ต่อให้เธอกระทำเื่ชั่วช้าสามานย์มากมายทว่าเพราะการแบ่งปันข้อสอบและวิธีการเรียนสองสิ่งนี้ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไรที่รู้สึกขอบคุณเธอ! นับประสาอะไรกับเวลาที่เซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏตัวภายในโรงเรียนช่างน้อยนิดขนาดนักเรียนหญิงก็แทบจะไม่ริษยาเธอ เธอแต่งตัวเรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน ราวกับ้าทำให้ผู้เข้าสอบประจำมัธยมปลายปีสามทุกคนเกิดความชื่นชอบในจิตใจ
เธอเกรงกลัวว่าคนอื่นจะล้ำหน้าหรือไม่?
ทุกครั้งที่นักเรียนหัวกะทิได้คะแนนเพิ่มขึ้นนั้นไม่ใช่เื่ง่าย ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานพัฒนาอย่างรวดเร็วในทุกการสอบ
กำลังก้าวหน้าเหมือนกัน แค่คนอื่นตามก้าวเดินของเธอไม่ทัน
แน่นอนว่าต้องมีคนพูดจาไม่เข้าท่าลับหลังอยู่แล้ว “ทำไมเธอล้ำหน้าเร็วยิ่งนัก? เธอต้องมีวิธีเรียนที่ดีกว่าแต่ไม่เอาออกมาแน่นอน!”
—เฮอะ ไม่ได้ติดหนี้เธอเสียหน่อย
—ให้เปล่าแล้วยังจะมีปัญหาอีกเช่นนั้นก็อย่าทำข้อสอบที่เซี่ยเสี่ยวหลานเอามานะ!
—เนรคุณ
นักเรียนส่วนใหญ่ล้วนมีสามทัศน์ที่เที่ยงตรงสูงสุดคนพูดไร้สาระจึงโดนตำหนิเสียแทบไม่รอดเกาเข่าคือการแข่งขันกับผู้เข้าสอบทั่วประเทศจะจดจ้องเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ปล่อยเพื่ออะไร? วิธีการเรียนแบบเดียวกันแต่จะไม่อนุญาติให้เซี่ยเสี่ยวหลานผู้มีมันสมองยอดเยี่ยมได้ประสิทธิภาพดีเป็พิเศษหรือ?
จากการบอกเล่าของเฉินชิ่งเพื่อนนักเรียนร่วมชั้นรู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจบการศึกษาระดับมัธยมต้นและเรียนด้วยตนเองที่บ้านสามปี
พวกเขาจินตนาการกันไปเองว่าเธอผิดหวังจากการสอบปีนั้นไม่สามารถสอบติดจงจวน แต่หัวกะทิก็คือหัวกะทิอยู่ดีศึกษาเองที่บ้านสามปียังเข้าเรียนเพื่อสอบมหาวิทยาลัยได้เลย!
ทั้งยังมีคนร่ำลือกันว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ลูกพี่ลูกน้องของเซี่ยจื่ออวี้...เซี่ยจื่ออวี้ก็เพิ่งจากเขตอันชิ่งไปได้เพียงครึ่งปีถูกรับเข้าศึกษาโดยวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง ชื่อบนบัญชีเกียรติยศของโรงเรียนยังเปลี่ยนสีไม่หมดคนจำนวนไม่น้อยล้วนจดจำเซี่ยจื่ออวี้ได้
ทว่าอย่างไรเสียยอดนักเรียนเซี่ยกับเซี่ยจื่ออวี้มีรูปลักษณ์ไม่เหมือนกันสักเท่าไร
เซี่ยจื่ออวี้หน้าตาไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ ตอนอยู่เซี่ยนอีจงมีคนมากมายให้ความสนใจเช่นกันแต่เมื่อเปรียบเทียบกับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้วก็ยังด้อยกว่าหลาย่ตัว
ด้วยแววตาของนักเรียนชายผลลัพธ์ย่อมออกมาเป็เช่นนี้นักเรียนซ้ำชั้นปีเดียวกันกับเซี่ยจื่ออวี้ที่เคยสนทนากับเธอ ต่างบอกว่าเธอเป็คนอ่อนโยนละมุนละม่อมทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งดื่มด่ำกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ [1]... ทว่าพอเซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏตัว กลับไม่กล้ามองอย่างตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ
เพียงเอียงแอบพิจารณา ตนเองยังหน้าแดงก่ำได้ เธองดงามอย่างกับคนในโทรทัศน์
“เพื่อนเสี่ยวหลาน ฉันมีปากกา”
“เพื่อนเซี่ย ใช้ของฉันสิ ปากกาด้ามนี้ของฉันเขียนลื่นไหล”
เซี่ยเสี่ยวหลานจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็ที่นิยมชมชอบ? ขณะสอบวิชารัฐศาสตร์เธอทำปากกาหมึกซึมตกเสียหายปลายปากกาพังแล้วย่อมใช้ต่อไม่ได้ เธอถามอาจารย์คุมสอบว่าขอยืมปากกาสักแท่งได้หรือไม่ผลคือคนมากกว่าครึ่งห้องสอบล้วนอยากให้เธอยืมปากกา!
“รักษาระเบียบ!”
อาจารย์คุมสอบะโกึกก้องอยู่บนแท่นบรรยาย หากในห้องสอบเกิดความวุ่นวายมีคนฉวยโอกาสทุจริตจะทำอย่างไร?
แม้คะแนนการสอบปลายภาคไม่เกี่ยวข้องกับเกาเข่า แต่มีนักเรียนบางคนไม่้าเผชิญหน้ากับความจริงอาจารย์คุมสอบจึงต้องรักษาความยุติธรรมและความเคร่งครัดในการสอบเซี่ยเสี่ยวหลานถึงกับใกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเธอทำได้แค่รับปากกาหนึ่งด้ามจากคนที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุด และเอ่ยขอบคุณไม่หยุดปาก
ได้รับการเอาอกเอาใจล้นหลามโดยแท้จริง!
ชาติก่อนผลการเรียนของเธอก็ไม่เลว ทว่าตอนศึกษาเล่าเรียนนั้นเธอทั้งจนและซอมซ่อนิสัยน้อยเนื้อต่ำใจ มนุษยสัมพันธ์ก็ย่ำแย่ยิ่งนัก เธออยู่โรงเรียนทั้งวันทั้งคืนแท้ๆแต่หลังจบมัธยมปลายปีสามกลับยังมีคนเรียกชื่อเธอไม่ถูกอยู่เลย... พอตอนนี้น่ะหรือตัวเธอมาเซี่ยนอีจงเพียงไม่กี่หน แต่ดันเป็จุดสนใจของสายตานับหมื่น
สอบวันแรกเสร็จ พอได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะพักอยู่ที่บ้านพักนักเรียนหญิงห้อง 3 หลายคนก็ชวนเธอไปพักที่บ้าน
และมีบางคนบอกว่าเบียดกับเพื่อนสักหน่อยได้ให้หนึ่งเตียงว่างแก่เธอนอนในหอพักโรงเรียน
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าสภาพที่อยู่อาศัยของบ้านใครๆ ก็ไม่เพียงพอนักจะถ่อไปพักบ้านเพื่อนนักเรียนหญิงได้ที่ไหนกันให้คนอื่นสละเตียงแก่เธอยิ่งรับไว้ไม่ได้เลย
“่สอบต้องพักผ่อนให้เหมาะสม พวกเธอดีต่อฉันเหลือเกินแต่ทำเพื่อการสอบที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้เถอะ น้ำใจของทุกคนฉันรับไว้หมดแล้ว”
ไมตรีจิตนั้นยากที่จะปฏิเสธ นักเรียนหญิงจำนวนหนึ่งจึงบอกว่าจะไปส่งเธอกลับบ้านพัก
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าปกติมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมชั้นน้อยมากจึงตกลงด้วยความยินดี
“เสี่ยวหลาน กินอะไรหน่อยไหม?”
“ใช่เลย พวกเราเลี้ยงข้าวเธอดีกว่า เพื่อนเสี่ยวหลาน!”
“มื้อนี้ต้องให้เลี้ยงนะ ปกติเธอไม่มาเข้าเรียนทุกคนอยากรู้เกี่ยวกับเธอจะตาย!”
ด้วยระดับอีคิวของเซี่ยเสี่ยวหลานการเพลิดเพลินกับสาวน้อยกลุ่มหนึ่งซึ่งยังไม่เข้าสู่สังคมใหญ่ช่างเป็เื่ง่ายดายยิ่งนักพวกเธอคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสวยและอัธยาศัยดีการพูดคุยสัพเพเหระกับเซี่ยเสี่ยวหลานคือความรื่นรมย์ที่ออกมาจากใจจึงชิงจะเลี้ยงอาหารเซี่ยเสี่ยวหลานก่อน
นักเรียนหญิงเหล่านี้ฐานะครอบครัวไม่เลวร้ายเงินไม่กี่เหมาสำหรับพวกเธอไม่ถือเป็ภาระ
คนหนึ่งกลุ่มห้อมล้อมเซี่ยเสี่ยวหลานพลางบอกว่าจะไปรับประทานที่จางจี้ เซี่ยเสี่ยวหลานชี้ไปยังร้านเปิดใหม่ตรงข้ามจางจี้
“ลองชิมร้านนี้ดีกว่าไหม?”
“ว่าตามเสี่ยวหลาน!”
“ไปกันเถอะ ลองชิมของใหม่”
น้าหวงจัดการได้ว่องไวทีเดียว
แต่ร้านจางจี้อาหารว่างอยู่ใกล้เซี่ยนอีจงมาสามปีแล้ว รสชาติกับชื่อเสียงย่อมซึมลึกลงจิตใจผู้คนธุรกิจของน้าหวงจึงยังไม่คึกคักใน่ระยะเวลาแรก เซี่ยเสี่ยวหลานพานักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งเข้าร้านกะพริบตาส่งให้น้าหวง น้าหวงรับรู้ทันทีและเสแสร้งทำเป็ไม่รู้จักเซี่ยเสี่ยวหลาน
“ข้าวราดคืออะไรกัน?”
“กลิ่นหอมดีนะ เป็รสเนื้อวัว... ชุดละแค่ 6 เหมาเองหรือ?”
“เสี่ยวหลาน เธออยากกินรสอะไร?”
ต่างคนต่างสั่งอาหารในคราวเดียวน้าหวงทำให้พวกเธอได้เรียนรู้ว่าอะไรคืออาหารจานด่วน ระหว่างกำลังต้มบะหมี่ข้าวราดก็สามารถขึ้นโต๊ะได้แล้ว
ข้าวสวยที่คว่ำลงบนจาน น้ำแกงที่เข้มข้นชิ้นเนื้อสัตว์และผักเคียงรวมเข้าด้วยกัน ได้กลิ่นเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกหิวโหยมากขึ้นตอนแรกยังมีบางคนพูดคุยกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ทว่าผ่านไปสักครู่ทุกคนล้วนก้มหน้ารับประทานกันหมด
‘ข้าวราดหน้า’ รสชาติอร่อยไม่เบานี่
จางจี้อาหารว่างเป็ธุรกิจผูกขาดของหน้าประตูเซี่ยนอีจงเสมอมา
จนกระทั่งวันขึ้นปีใหม่ ‘น้าหวงจานด่วน’ ได้เปิดกิจการฝั่งตรงข้าม จุดประทัดไปสองสามเส้นจางชุ่ยพบว่าร้านตนเองมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นแล้ว เริ่มแรกน้าหวงพาคนมาทำความสะอาดร้านฉาบผนังปูพื้น จางชุ่ยมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยเป็มงคล ใช้เวลาเพียงสองสามวัน ‘น้าหวงจานด่วน’ ก็เริ่มเปิดกิจการรวดเร็วจนทำเอาจางชุ่ยและเซี่ยฉางเจิงตั้งรับไม่ทัน
ตกกลางคืนสองสามีภรรยาปรึกษาหารือกลยุทธ์กันก่อนนอนเซี่ยหงเซี๋ยสังเกตพบความกังวลของทั้งสองขณะทำงานในเวลากลางวันจึงตั้งอกตั้งใจไม่กล้าวิ่งวุ่นไปมาอย่างไร้สาระ
น้าหวงจานด่วนเปิดกิจการได้สองวัน สีหน้าของจางชุ่ยก็ผ่อนคลายขึ้นมาก
ขาย ‘ข้าวราดหน้า’ อะไรกันเหล่านักชิมไม่ค่อยรู้จัก นักเรียนอีจงและคนทำงานที่สัญจรผ่านไปมายังคงยินดีรับประทานอาหารที่จางจี้อยู่ดีธุรกิจของน้าหวงธรรมดามาก
่เช้าขายบะหมี่ กลางวันเป็ข้าวผัดและข้าวราดประเภทอาหารจำเจเกินไปแล้ว
ไม่เหมือนกับจางจี้ แค่อาหารเช้าก็มากมายหลากหลายประเภท ซาลาเปา หมั่นโถวเกี๊ยวนึ่ง ขนมจีบ พวกนี้ล้วนเป็อาหารพื้นฐาน ซุปเผ็ดก็มี บะหมี่เนื้อแพะก็ขายดังนั้นในร้านจึงจำเป็ต้องจ้างคนงานหลายคน ปริมาณงานต่างๆ นานาจำนวนมากอาหารทุกอย่างต้องใช้แรงคนทำออกมา
ความเหนื่อยยากนั้นมีผลลัพธ์
ของกินร้านจางจี้ไม่ถือว่าโอชะเป็พิเศษ ทว่าทุกรสชาติค่อนข้างสมดุลกัน
อย่างไรเสียบะหมี่ยามเช้ายังพอไหว พอถึงเวลาอาหารกลางวันน้าหวงก็จะเปิดฝาหม้อในร้าน รสชาติของเนื้อวัวเนื้อแพะช่างเข้มข้นดึงดูดคนส่วนหนึ่งเข้าร้านเธอเพื่อลิ้มลองความแปลกใหม่เรียกได้ว่าชิงลูกค้าจำนวนหนึ่งของจางจี้ไปแล้ว
จางชุ่ยให้เซี่ยหงเซี๋ยคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้ามวันนี้เซี่ยหงเซี๋ยกลับพบเซี่ยเสี่ยวหลานที่เธอเกลียดสุดใจ ถูกนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งจากเซี่ยนอีจงห้อมล้อมไว้ตรงกลางพากันเดินเข้า ‘น้าหวงจานด่วน’ ฝั่งตรงข้ามไป
“ป้าสะใภ้ ป้าดูสิ!”
เซี่ยหงเซี๋ยบุ้ยปาก ถนนหนึ่งเส้นก็กว้างเพียงสิบเมตรสามารถมองเห็นสถานการณ์ในร้านของน้าหวงได้อย่างสบาย
เซี่ยเสี่ยวหลานนั่งหันหน้าไปทิศทางเข้าสู่ถนน มิใช่ว่าจางชุ่ยก็มองเห็นได้หรือ?
ทุกวันนี้จางชุ่ยไร้วิธีจัดการเซี่ยเสี่ยวหลาน เข้าทางของอาจารย์ใหญ่ซุนก็ไม่ได้เซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนกับปลาหมูตัวหนึ่งที่จับเมื่อไรก็ลื่นหลุดมือจับจุดอ่อนของเธอไม่เจออยู่ร่ำไป จางชุ่ยไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมวิธีการประสิทธิภาพยอดเยี่ยมในวันวานกลายเป็ไร้ประโยชน์ทั้งหมดอย่างไรเสียเธอและเซี่ยฉางเจิงยังไม่หาคำตอบอดทนรอเซี่ยจื่ออวี้กลับจากปิดภาคเรียนมาให้คำแนะนำ—คิดน่ะคิดเช่นนี้ทว่าพอเห็นใบหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลาน เพราะเหตุใดจางชุ่ยถึงรู้สึกเกลียดชังขนาดนี้กันนะ!
เชิงอรรถ
[1]如沐春风 ราวกับนั่งกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ หมายถึงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สวยงาม จิตใจเบิกบานไร้กังวล
