หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอะโประโยคนั้นออกไป ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าสิ่งนี้เป็ปฏิกิริยาตอบสนองทั่วไปของร่างกาย อีกทั้งในตอนที่เขาจูบกับเซี่ยเจิงมันก็ล้วนเกิดขึ้นทุกครั้ง แต่เขาก็ยังรู้สึกอายมากอยู่ดี
ถ้าอายงั้นก็อย่ากอดต่อไปเลย
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของชวีเสี่ยวปอ จากนั้นจึงปล่อยแขนที่กอดเซี่ยเจิงเอาไว้ออก แต่ก่อนที่เขาจะนั่งลงไปบนรถเข็น เซี่ยเจิงก็ช้อนตัวเขากลับขึ้นมา และบังคับให้ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“นายนี่มัน...” ชวีเสี่ยวปออยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่คำพูดที่เหลือนั้นล้วนถูกเซี่ยเจิงปิดผนักเอาไว้ที่ริมฝีปากเรียบร้อยแล้ว
และเสี้ยววินาทีต่อมา เซี่ยเจิงใช้มือลูบไล้ไปบนกางเกงกีฬาของชวีเสี่ยวปอ จากนั้นก็สอดเข้าไปด้านในอย่างง่ายดาย
หลังจาก XXXX กับแฟนครั้งแรกควรจะพูดอะไรดี
หลังจาก XXXX กับแฟนเสร็จเขาเอาแต่เงียบเป็เพราะอะไร เขาไม่รักฉันหรือเปล่า?
หลังจาก XXXX กับแฟนแล้วรู้สึกยังไม่หนำใจทำยังไงดี?
หยุด !
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าการนำเื่เื่เดียวมาอนุมานถึงเื่ราวอื่นๆ มากมายก็ไม่ควรที่จะเพ้อเจ้อไร้สาระถึงขั้นนี้ ก็แค่เขากับเซี่ยเจิงช่วยกันจับเองไม่ใช่หรือไง ถ้าขืนยังคิดต่อไปคาดว่าคงจะไม่ดีเท่าไหร่แล้วล่ะ
แต่ก็รู้สึกดีมากเลยทีเดียว
ช่างแตกต่างจากการ...ตัวเองโดยสิ้นเชิง
ชวีเสี่ยวปอแอบเหลือบมองเซี่ยเจิงไปครั้งหนึ่ง เขากำลังนอนหลับตาอยู่บนโซฟา อันที่จริงชวีเสี่ยวปออยากจะถามเซี่ยเจิงมากว่า เขาเองก็รู้สึกดีเหมือนกันใช่ไหม เพียงแต่ว่าเขารู้สึกอายที่จะถามออกไปตรงๆ เช่นนั้น
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกอยู่ไม่น้อย ทั้งๆ ที่ก็ทำเสร็จไปแล้ว แต่ปากทำไมถึงได้พูดออกมายากขนาดนี้
“ทำอะไร” แล้วจู่ๆ เซี่ยเจิงก็ถามขึ้นมา
“ให้ตายสิ” ชวีเสี่ยวปอสะดุ้งใขึ้นมาทันที “นายไม่ได้หลับตาอยู่หรอกเหรอ? ”
“เปล่า” เซี่ยเจิงตบไปบนที่นั่งว่างข้างๆ ตัวเอง “ทำไมนายถึงไปอยู่ห่างจากฉันขนาดนั้นล่ะ? ”
ความจริงแล้วชวีเสี่ยวปอก็นั่งอยู่ข้างๆ ขาของเซี่ยเจิง ไม่ได้ห่างเลยสักนิด
ในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอก็หัวเราะขึ้นมา
ที่แท้แล้วไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดไปเอง
ชวีเสี่ยวปอขยับจากด้านข้างขาของเซี่ยเจิงขึ้นไป พลางลูบไล้ขาส่วนล่างของเขาไปมาด้วยสองครั้ง ในขณะนั้นเซี่ยเจิงสูดลมหายใจเข้าไปแล้วเอ่ยขึ้นว่า : “แค่มือยังน้อยไปใช่ไหม”
“พอได้อยู่” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะออกมาสองครั้งอย่างทะเล้น “ฉันว่า ครั้งนี้นับเป็ครั้งแรกที่เราข้ามขั้นกันได้ไหม !”
“ถือว่าใช่...มั้ง” การใช้คำของชวีเสี่ยวปอทำให้เซี่ยเจิงอดไม่ได้ที่จะทำเสียงจิ๊ปากออกมา หยุดเว้นวรรคครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า : “ยังข้ามไปได้มากกว่านี้อีกนะ? ”
“ให้ตายสิ” ชวีเสี่ยวปอผงะไป “กลางวันแสกๆ ! แค่นี้พวกเราก็หน้าไม่อายมากพอแล้ว”
“ฉันแค่จะบอกว่าะโไกล ะโสูงอะไรทำนองนี้” เซี่ยเจิงยกยิ้มมุมปากขึ้นมา “นายนึกว่าฉันพูดถึงอะไรงั้นเหรอ? ”
ชวีเสี่ยวปอไม่อยากพูดว่าในหัวของล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจจะบรรยายออกมาได้ เพราะถึงยังไงในตอนนี้เื่ลามกเช่นนี้เซี่ยเจิงก็เหนือกว่าอยู่แล้ว แต่ชวีเสี่ยวปอก็ยังไม่วายทำปากพูดแบบไม่มีเสียงกับเซี่ยเจิงออกไป
มีอะไรกัน
ทันใดนั้นเซี่ยเจิงจึงตีลงไปบนต้นขาของชวีเสี่ยวปอทีหนึ่ง
“โอ๊ย——” ท่าทีตอบสนองของชวีเสี่ยวปอตรงไปตรงมามาก เขาขึ้นไปคร่อมบนตัวของเซี่ยเจิง “ฉันขาเจ็บอยู่นะ !”
“ถ้าฉันไม่ได้ดูผิด ที่ฉันตีไปมันเป็ต้นขานะ” เซี่ยเจิงลูบไปบนแผ่นหลังของเขา
“จะต้นขาหรือหน้าแข้งก็ขาเหมือนกันนั่นแหละ” ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ได้คบกับเซี่ยเจิงเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ตัวเองจะหน้าไม่อายได้ถึงขนาดนี้ “นายจบเห่แล้วละ” ชวีเสี่ยวปอเอาใบหน้าซุกลงไปในอ้อมอกของเซี่ยเจิง พลางพูดขึ้นมาเสียงอู้อี้
“อะไรคือจบเห่แล้ว” เซี่ยเจิงพูดขึ้น
“นายเป็ของฉันแล้ว” ชวีเสี่ยวปอพูดต่อ “ฉันก็ต้องประทับตราลงบนตัวนายสักหน่อยสิ”
“ขายหมูหรือไงต้องประทับตราด้วย” เซี่ยเจิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางพูดขึ้นมา “เฮ้ อีกเดี๋ยวให้ฉันดูหน่อยนะ”
“มีอะไรเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
“เหมือนว่าจะทำกางเกงนายเลอะน่ะ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นมายื่นใบหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ อย่างละเอียด “จริงๆ ด้วย”
“ตรงไหน? ” ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นมานั่ง แล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ บนกางเกงของตัวเองมีรอยคลาบน่าสงสัยอยู่สองจุด “นายไม่ได้ใช้ทิชชู...”
“ไม่ทันระวัง” เซี่ยเจิงชำเลืองมองไปอีกครั้งหนึ่ง “นายมีกางเกงเปลี่ยนไหม? ”
“ในตู้เสื้อผ้ายังเกลี้ยงกว่าหน้าฉันเลย” ชวีเสี่ยวปอดึงทิชชูออกมาถูๆ ไปสองสามที แต่ก็ไม่ได้ผล “ช่างมันเถอะ ก็แค่บอกไปว่าดื่มนมแล้วหกใส่ อีกอย่างใครจะมาถามเื่แบบนี้กัน”
อันที่จริงก็แค่ทำกางเกงเลอะ ปกติที่กางเกงที่ใส่เล่นบาสเกตบอลยังสกปรกเลอะเทอะกว่าคราบแค่นี้ตั้งหลายเท่า เพียงแต่ทั้งสองคนรู้สึกว่าส่วนที่กางเกงเลอะนั้นเป็จุดตรงของสงวนพอดี เมื่อคนอื่นมองก็จะทำให้ขาดความมั่นใจได้
“จริงสิ” จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็ถามขึ้นมา “นายใส่เสื้อบาสฉันไม่กลัวคนอื่นดูออกเหรอ? ”
ถ้าหากดูออกว่าหมายความว่าอะไร ก็คงจะไม่ต้องมาอธิบายให้ชวีเสี่ยวปอฟังเช่นนี้แล้วละ
“ไม่เป็ไรซะหน่อย” เซี่ยเจิงยักคิ้วอย่างโอ้อวด “นายรู้ไหมว่าเพราะอะไร? ”
“อะไร เพราะอะไร? ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกงุนงง
“เพราะว่าเสื้อบาสฉันขาด” เซี่ยเจิงเอ่ยขึ้นพลางยิ้มออกมา “ตอนซ้อมก่อนวันแข่งหนึ่งวัน เกี่ยวจนขาดยับเยินเลย”
“ใครเขาจะเสื้อขาดตอนเล่นบาสกันฮะ !” ชวีเสี่ยวปอเบิดตากว้าง “นายทำขาดเองล่ะสิ? !”
“ยังไงก็ขาดแล้วละน่า” เซี่ยเจิงไม่ได้บอกว่าใช่หรือไม่ใช่ “เพราะงั้นก็เลยใส่ของนายไป เหตุผลนี้สมเหตุสมผลพอไหม? ”
“เยี่ยม” หลังจากที่พูดจบ ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้สึกอย่างไร เมื่อคิดขึ้นมาว่าบางทีเซี่ยเจิงอาจจะคิดเื่ใส่เสื้อบาสของตัวเองเพื่อเข้าแข่งขันมาตั้งนานแล้ว ทั้งร่างของเขาก็ราวกับว่าตกลงไปในโถที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้ง อีกทั้งเขายังเต็มใจที่จะถูกราดจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว
ทั้งสองคนคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่ยาวนานพอสมควร จนกระทั่งคนขับรถโทรศัพท์มาถามเขาว่าจะให้ไปรับเขาตอนไหน เขาสองคนถึงได้ออกจากหมู่บ้านมา
หลังจากกลับถึงบ้านเวินลี่ก็บ่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
“ขาลูกยังไม่หายดีเลยจะรีบดึงดันไปดูการแข่งขันทำไม? ลูกต้องพักฟื้นรักษาตัวให้หายก่อนสิ ” ในขณะที่พูดเวินลี่ก็ยกซุปกระดูกที่ตุ๋นจนเป็สีขาวขุ่นมาวางไว้ที่ด้านหน้าของชวีเสี่ยวปอ และเมื่อเห็นสีหน้าของชวีเสี่ยวปอที่เผยท่าทางรังเกียจออกมา จึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า : “ไม่ต้องมาเบะปากเลยนะ วันนี้ต้องกินให้หมด !”
“ทำไมอะครับ? ” ถ้าหากในตอนนี้ขาของชวีเสี่ยวปอไม่ได้อยู่ในสภาพที่แย่เช่นนี้ เขาอยากจะวิ่งเผ่นออกไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยจริงๆ
“บำรุงหน่อย !” เวินลี่เบิกตากว้างจ้องมองเขา “ต้องบำรุงดีๆ ถึงจะทำให้ฟื้นฟูได้เร็วลูกเข้าใจไหม! ไอ้ลูกบ้าคนนี้นี่วันๆ เอาแต่ทำให้แม่เป็ห่วงอยู่นั่น เฮ้อ นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันกันเนี่ย ปรนนิบัติคนแก่แล้วยังต้องมาคอยปรนนิบัติเด็กอีก พวกเธอสองคนมันใจร้ายใจดำเหมือนกันเลย”
ชวีเสี่ยวปอยุ่งอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย : “คนแก่ผมไม่รู้ ยังไงซะผมที่เป็เด็กใจดำคนนี้แม่ก็เป็คนคลอดออกมา ถ้าจะให้พูดจากเื่พันธุกรรมแล้ว...”
“แก !” เวินลี่ชี้นิ้วออกมา
“ผมไม่อยากกินซุป” ชวีเสี่ยวปอทำท่าอาเจียนแลบลิ้นออกมา “ได้ไหมครับแม่”
“ไม่กินก็ได้” คิดไม่ถึงว่าเวินลี่จะตอบตกลงออกมาจริงๆ ในขณะที่พูดเธอก็ลากเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามชวีเสี่ยวปอด้วย แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนน้ำเสียงไปอีกแบบ “แต่ว่าลูกต้องรับปากแม่มาเื่หนึ่งก่อน”
“ถ้างั้นผมกินซุปก็ได้ครับ” ชวีเสี่ยวปอมองเวินลี่ด้วยความระแวดระวัง ทั้งยังเต็มไปด้วยความระแวง
“ลูกฟังแม่พูดก่อนได้ไหมว่ามันเป็เื่อะไรน่ะ? ” เวินลี่รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ยังไงก็ไม่ใช่เื่ดีแน่นอน” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ
“่นี้ที่ลูกอยู่โรงพยาบาล ลูกขาดเรียนไปไม่ใช่เหรอ”
เมื่อได้ยินเวินลี่พูดขึ้นมาเช่นนี้ ในใจของชวีเสี่ยวปอก็คิดขึ้นมาว่า ผลการเรียนของผมที่เป็แบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่าแม่จะไม่รู้ ยังมีที่ว่างเหลือให้กับคำว่าเสียการเรียนอีกเหรอครับ? แต่ว่าเขาเพียงแค่บ่นงุบงิบอยู่ในใจ ไม่ได้พูดตอบโต้กลับไป แล้วจึงฟังเวินลี่พูดขึ้นต่อ
“เดิมทีผลการเรียนของลูกก็ไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าจะตามให้ทันคงเหนื่อยมากแน่นอน แล้วแม่ก็ได้ยินครูของลูกพูดว่า ตอนนี้ยังพอตามทันได้อยู่ เพราะฉะนั้นแม่เลยคิดว่าจะหาครูมาสอนพิเศษที่บ้านให้ลูก ลูกโอเคไหม? ”