เมืองเหรินชิว
เหรินชิว เป็หนึ่งในเจ็ดเมืองของมณฑลโม่โจว ในแต่ละมณฑลก็มีจำนวนไม่เท่ากัน อย่างมณฑลโม่โจวที่มีเจ็ดเมืองนั้น นับว่าจัดอยู่ในขนาดปานกลาง
หลี่จิ่งหนานเล่าให้ฟังว่า แคว้นต้าฉีมีทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบสองมณฑล ในรัชสมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อนเคยยกมณฑลในแคว้นตัวเองให้ไปแล้วสิบสองแห่ง ต่อมาเมื่อปีที่แล้วกองทัพเหลียวรุกรานอีกครั้ง มณฑลชายแดนค่อยๆ ทยอยถูกยึดไปอย่างต่อเนื่อง กองทัพฉีพ่ายแพ้ยับเยิน สุดท้ายฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันจึงได้ยกมณฑลฉินโจว เว่ยโจว หยวนโจว ซีโจว เหอโจว และโม่โจวทั้งหกแห่งให้กับแคว้นต้าเหลียว ดังนั้น ตอนนี้แคว้นต้าฉีจึงเหลือเพียงหนึ่งร้อยสิบสี่มณฑล
เมื่อสิงโตได้คำรามออกมาแล้ว มันคงจะไม่หยุดโดยง่าย
หวาชิงเสวี่ยรู้ว่านี่เป็เพียงแค่การเริ่มต้น
ฮ่องเต้แคว้นต้าฉียอมเสียผลประโยชน์จากหกมณฑลนี้ไป สุดท้ายแลกกลับมาได้แค่สันติสุขเพียงชั่วคราวเท่านั้น
หากชาวบ้านที่นี่สามารถเพิกเฉยต่อการควบคุมที่เข้มงวดของกองทัพเหลียวในเมืองเหรินชิว หรือสามารถมองข้ามความอัปยศอดสูที่ฝังลึกอยู่ภายในใจไปได้ หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาก็คงไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก
แต่ทั้งหมดนี้เป็เพียงแค่ ‘หากเป็ไปได้’ เท่านั้น...
ภาพเหตุการณ์อันน่าสยดสยองที่ได้เห็นกับตาบนถนน ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงให้กับหวาชิงเสวี่ย
ความไร้ค่าของชีวิตคนทำให้นางรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
นางมีนิสัยอ่อนโยนแต่ก็กระตือรือร้นและมองโลกในแง่ดี ทว่าการที่ต้องมาใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงเมื่อใดเช่นนี้ ทำให้นางได้ัักับรสชาติของความสิ้นหวังอย่างช่วยไม่ได้...
วันนี้ หวาชิงเสวี่ยกลับเรือนดึกมาก
ระหว่างที่นางไม่อยู่เรือน หลี่จิ่งหนานเป็กังวลอย่างยิ่ง
ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ทั้งสองคนต่างไม่เคยคิดเลยว่า หากสูญเสียอีกคนไป อีกคนที่เหลือรอดจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร
ตอนที่หวาชิงเสวี่ยเคาะประตู หลี่จิ่งหนานก็แทบจะวิ่งไปเปิดประตูให้โดยไม่ต้องคิด
หลี่จิ่งหนานเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “วันนี้ข้ากวาดหิมะในลานแล้ว แถมข้ายังอุ่นโจ๊กไว้ด้วย” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยการประจบประแจงที่แม้แต่เ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัว
หวาชิงเสวี่ยทำหน้าตึงเครียด นางหมุนตัวไปปิดประตู ไม่ทันรับฟังก็ตวาดออกมาเสียงดัง “ทำไมเ้าถึงวิ่งมาเปิดประตูโดยไม่ถามอะไรเลย?! ก่อนที่ข้าจะออกไป ข้ากำชับเ้าไว้อย่างไร?!”
หลี่จิ่งหนานถึงกับอึ้งไป นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นหวาชิงเสวี่ยโกรธ หากเป็เมื่อก่อน เขาคงจะโกรธเป็ฟืนเป็ไฟไปด้วย แต่ในเวลานี้ เขากลับลืมวางมาดไปเสียแล้ว ทำได้เพียงเอ่ยแก้ตัวเสียงเบา “...ข้าแค่เผลอลืมไป…”
หลังจากที่หวาชิงเสวี่ยพูดจบ นางก็รู้สึกว่าตนเองเอ่ยคำพูดที่รุนแรงเกินไป
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลง “ข้าซื้อซาลาเปามาด้วย เป็ไส้เนื้อ คืนนี้เรากินซาลาเปากัน”
“อื้อ…”
หลี่จิ่งหนานรับห่อผ้าจากนาง เดินเข้าไปในห้องพลางหันกลับมามองนางด้วยความไม่สบายใจ
หวาชิงเสวี่ยหัวเราะเยาะตัวเอง นางแย่ยิ่งกว่าเด็กแปดขวบเสียอีก หลี่จิ่งหนานเห็นศพขององครักษ์เงาด้วยตาของเขาเอง หลังจากกลับมาที่เรือนก็แค่ร้องไห้จนหมดแรง แล้วนางล่ะเป็อะไรไป? ความหวาดกลัวนั้นมากเสียจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลยหรือ?
เมื่อพูดถึงเื่นี้ หวาชิงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะนับถือเ้าของหอเฟิงเล่อ ไม่ว่าเ้าของร้านจะหวาดกลัว เกลียดชัง หรือรังเกียจแค่ไหน เมื่อเผชิญหน้ากับทหารเหลียวที่เข้ามาในร้าน เขาก็ยังสามารถทำหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสได้เสมอ แม้ว่าทุกครั้งที่คนพวกนั้นเข้ามาจะไม่จ่ายเงินก็ตาม
เพื่อที่จะมีชีวิตรอด มนุษย์จึงต้องยอมละทิ้งบางสิ่ง...
ในตอนกลางคืน หวาชิงเสวี่ยและหลี่จิ่งหนานนั่งกินซาลาเปาข้างๆ เตาไฟที่อบอุ่น
ทั้งคู่ไม่ได้กินเนื้อมานานแล้ว จึงกินอย่างเอร็ดอร่อย ซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่เท่าฝ่ามือ หวาชิงเสวี่ยและหลี่จิ่งหนานกินไปคนละสองลูก กินโจ๊กไปอีกครึ่งถ้วยก็รู้สึกอิ่มแปล้
อาจเป็เพราะไม่ได้กินอิ่มอย่างสบายใจแบบนี้มานานแล้ว อารมณ์ของหวาชิงเสวี่ยจึงผ่อนคลายลงมาก นางคิดในแง่ดี โชคดีที่ทั้งนางและหลี่จิ่งหนาน คนหนึ่งเป็สตรี อีกคนเป็เด็ก จึงพอจะหาซื้อซาลาเปาเนื้อมากินประทังชีวิตจนอิ่มท้องได้ หากเป็บุรุษโตเต็มวัยทั่วไป คงต้องกินสี่หรือห้าลูกถึงจะอิ่ม
์ก็มักจะชอบเล่นตลกเช่นนี้ ยามที่ลำบากแสนเข็ญ ก็ยังไม่ถึงกับสิ้นหวัง
์จะไม่ตัดหนทางคนเราจนขาด คงจะหมายความว่าเช่นนี้กระมัง
วันรุ่งขึ้น ทั้งสองคนนอนหลับไปจนตะวันโด่งฟ้า
ถึงจะตื่นแล้ว แต่ก็ไม่มีใครอยากขยับตัว จึงนอนเบียดกันอยู่ในผ้าห่มแล้วพูดคุยกันไปเรื่อยๆ
“วันนี้เ้ายังจะซักผ้าอีกหรือไม่?” หลี่จิ่งหนานถามนางที่อยู่ข้างๆ
“วันนี้ไม่ซักแล้ว วันเพ็ญเดือนสิบสอง [1] เช่นนี้ ไม่เหมือนตอนหน้าร้อนที่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ เดิมทีก็มีไม่กี่ตัว” หวาชิงเสวี่ยพูดอย่างงัวเงีย
สิ่งที่นางพูดนั้นเป็ความจริง บ้านคนรวยก็มีบ่าวไพร่ซักผ้าให้ บ้านคนจนก็ไม่มีแม้แต่เงินซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอาไปให้คนอื่นซักเลย
สาเหตุที่หวาชิงเสวี่ยมีงานรับจ้างเบ็ดเตล็ดอย่างการซักผ้าได้นั้น ก็ล้วนอาศัยความกรุณาของท่านป้าเหยียนทั้งสิ้น
“แล้ววันนี้เ้าจะออกไปข้างนอกอีกหรือ?” หลี่จิ่งหนานมองหวาชิงเสวี่ยด้วยความไม่สบายใจ เขายังจำได้ว่าเมื่อวานหวาชิงเสวี่ยออกไปข้างนอก หลังจากกลับมาอารมณ์ก็ไม่ค่อยดี
หวาชิงเสวี่ยส่ายหัว “วันนี้ไม่ต้องออกไปข้างนอกแล้ว เมื่อวานข้าซื้อข้าวสารมาด้วย เมื่อรวมกับข้าวที่ท่านป้าเหยียนให้พวกเรามา ก็พอประทังชีวิตไปได้พักหนึ่ง”
หลี่จิ่งหนานกลอกตาไปมา พร้อมกับความรู้สึกว่างเปล่า “...แล้ว...วันนี้เราจะทำอะไรดี...”
เขาเป็ถึงองค์รัชทายาท และยังเป็โอรสองค์เดียวของฮ่องเต้ ตารางเรียนของเขาจึงมักจะอัดแน่นเต็มเวลาอยู่เสมอ ่เช้าเรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์ [2] ่บ่ายเรียนขี่ม้าและยิงธนู ่เย็นยังต้องฝึกเขียนอักษรอีกหนึ่งชั่วยาม [3] เขาไม่เคยต้องมากังวลเื่การจัดตารางเวลา
ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองเหรินชิวใหม่ๆ เขากับหวาชิงเสวี่ยต่างก็กังวลเื่อาหารการกินและที่พักอาศัย จากนั้นก็รีบร้อนสืบหาข่าว ตอนนี้การป้องกันนับวันยิ่งเข้มงวดขึ้นอีก เขาถูกหวาชิงเสวี่ยกักตัวไว้ในเรือนเล็กๆ แห่งนี้ ภายในใจจึงรู้สึกวุ่นวายยิ่งนัก
เขา้าหาบางสิ่งบางอย่างให้ตัวเองทำ หรือแม้แต่กวาดลานนอกเรือนก็ยังดี เพราะกลัวว่าถ้าว่างเกินไปความคิดจะฟุ้งซ่าน ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว…
หลี่จิ่งหนานกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ขณะเดียวกันหวาชิงเสวี่ยก็รู้สึกหดหู่ใจเช่นกัน
การซักผ้าไม่ใช่งานที่ยั่งยืน อย่าเพิ่งพูดถึงว่างานนี้เดี๋ยวก็มีคนจ้างหรือบางทีก็อาจจะไม่มีเลย แค่มือของนางคู่นี้ รอยแผลแตกก็เริ่มอักเสบแล้ว บางครั้งแค่แตะเบาๆ ก็แสบร้อนไปหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนจุ่มลงน้ำเพื่อซักผ้า
เดิมที หวาชิงเสวี่ยอยากจะไปช่วยเถ้าแก่ร้านอาหารคิดเงินทำบัญชี ซึ่งงานนี้มีห้องส่วนตัวแยกต่างหาก ไม่ต้องออกไปเจอผู้คน หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานก็ทำได้ แต่ถ้าเป็เช่นนั้น หวาชิงเสวี่ยก็ต้องเข้าออกร้านอาหารอย่างเลี่ยงไม่ได้
กองทัพเหลียวเพิ่งถูกส่งมาประจำการที่นี่ได้ไม่นาน เ้าหน้าที่กองทัพยังไม่ทันได้ควบคุมคนของตัวเอง ่นี้จึงเกิดเื่วุ่นวายได้ง่ายที่สุด และหากเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่มีใครจัดการ เหตุการณ์เมื่อวานนี้ยิ่งตอกย้ำสิ่งที่นางคิด...
ทั้งออกไปข้างนอกไม่ได้ และต้องหาวิธีเลี้ยงชีพ จิตใจของหวาชิงเสวี่ยรู้สึกหดหู่เหลือเกิน
ในมุมมองของนาง เมื่อพื้นที่ถูกกลุ่มอำนาจฝ่ายอื่นยึดครองกะทันหัน ่ปีแรกมักจะเป็่เวลาที่วุ่นวายที่สุด เนื่องจากกฎเกณฑ์และระเบียบเดิมที่มีอยู่ถูกทำลายลง ความขัดแย้งเช่นนี้จะยืดเยื้อไปอีกนาน อย่างน้อยก็สามปีถึงห้าปี หรืออาจจะนานหลายสิบปี จนกว่ากฎเกณฑ์และระเบียบใหม่จะถูกสร้างขึ้น สถานที่แห่งนี้ถึงจะกลับคืนสู่ความสงบได้อย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้นตัวนางเองก็ไม่มีความรู้ในโลกใบนี้แม้แต่นิดเดียว ไม่มีทักษะในการเอาชีวิตรอด แถมยังต้องเลี้ยงดูเด็กอีกคน การใช้ชีวิตที่มีความยากลำบากนั้นไม่สามารถบรรยายออกมาเป็คำพูดได้
หวาชิงเสวี่ยได้แต่หวังว่า แม่ทัพฟู่ในตำนานผู้นั้นจะมาช่วยองค์รัชทายาทโดยเร็ว และ...พานางไปกับเขาด้วย
“วันนี้เราต้มชาดีกว่า!”
จู่ๆ หวาชิงเสวี่ยก็นึกอะไรขึ้นได้ ดวงตาของนางพลันเป็ประกายขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าอร่อยละก็ เราก็สามารถฝากท่านป้าเหยียนช่วยวางขายที่ร้านอาหารได้!”
หลี่จิ่งหนานที่อยู่ใต้ผ้าห่มทำหน้าดูแคลนทันที “เ้าแค่ทำกับข้าวให้อร่อยยังทำไม่ได้เลย จะไปต้มชาอะไรได้…”
หวาชิงเสวี่ยไม่สนใจแม้แต่น้อยที่ถูกหลี่จิ่งหนานหยอกล้อ “ข้าไม่เคยเข้าครัวมาก่อน ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอ อีกอย่างฝีมือของข้าก็พัฒนาขึ้นแล้ว ดูๆ ไปแล้วเ้าก็กินจนหมดไม่ใช่หรือ?”
หลี่จิ่งหนานเม้มริมฝีปาก นั่นก็เพราะเขาหิวจะตายแล้วต่างหากเล่า?
ทุกวันก็มีแต่โจ๊กกับซาลาเปา นานๆ ทีได้กินผัดผักกวางตุ้งสักจาน เขาจึงรู้สึกชอบเป็พิเศษ
ทว่าในครั้งนั้น เนื่องจากหวาชิงเสวี่ยไม่รู้ว่าต้องเด็ดผักอย่างไร หลี่จิ่งหนานก็ยิ่งไม่รู้ ผักกวางตุ้งทั้งต้นจึงถูกคนอยู่ในหม้อ สุดท้ายด้านนอกไหม้ ด้านในยังดิบอยู่ เกลือก็ยังไม่ละลายหมด มีเม็ดเกลือติดอยู่บนใบผัก กินเข้าไปคำเดียวก็เค็มจนแทบตาย กินไม่ไหวจริงๆ แต่จะทิ้งก็เสียดายของ หวาชิงเสวี่ยจึงเทกลับเข้าไปในหม้อ เติมน้ำลงไป ผัดผักกวางตุ้งจึงกลายเป็ผักกวางตุ้งต้มไป…
พวกเขาทั้งสองคนสรุปได้ว่า ต้มง่ายกว่าผัด ดังนั้นต่อไปหากอยากกินผักอะไร ก็นำไปใส่ในโจ๊กแล้วต้มรวมกัน…
เื่เหล่านี้ เป็เื่ที่น่าอับอายเกินกว่าจะพูดออกมาสำหรับเขาผู้เป็ถึงองค์รัชทายาท ดังนั้นหลี่จิ่งหนานจึงไม่พูดอะไร
หวาชิงเสวี่ยพูดด้วยความตื่นเต้นต่อไป “เมื่อวานก่อนกลับ ท่านป้าเหยียนให้ฟักเขียวข้ามาครึ่งลูก! ฟักเขียวลูกใหญ่มาก จะอย่างไรก็คงกินไม่หมดในมื้อสองมื้อ เอามาทำชาฟักเขียวได้พอดีเลย…”
หลี่จิ่งหนานพยายามอดทนแล้ว แต่สุดท้ายก็เอ่ยถามนาง “เ้าเคยทำมาก่อนหรือไม่?”
“จำไม่ได้ แต่ข้ารู้สึกว่าน่าจะไม่มีปัญหา” หวาชิงเสวี่ยพูดด้วยความมั่นใจ
หลี่จิ่งหนานได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ยิ่งดูถูกมากขึ้น
สตรีที่แม้แต่ผัดผักกวางตุ้งยังไม่อร่อย เขาไม่สามารถคาดหวังอะไรจากนางได้จริงๆ!
หวาชิงเสวี่ยพูดปุ๊บทำปั๊บ พลิกตัวเตรียมจะลุกขึ้น
เมื่อผ้าห่มถูกเปิดออก หลี่จิ่งหนานที่นอนอยู่ข้างในก็หดตัวเข้าไปทันที—วันนี้ อากาศหนาวขึ้นอีกแล้ว!
หวาชิงเสวี่ยสวมเสื้อผ้าแล้วลงจากเตียงเตา เดินไปได้สองก้าวก็หยุด แล้วหันกลับไปปีนขึ้นเตียงเตาด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
หลี่จิ่งหนานกะพริบตา “เป็อะไรไป?”
หวาชิงเสวี่ยตอบอย่างหงอยๆ “ที่เรือนไม่มีน้ำตาล แถมมีหม้อแค่ใบเดียว…”
ถ้าจะต้มชาขาย อย่างน้อยก็ต้องมีถังสักใบสิ?
น้ำในหม้อเหล็กใบเดียวก็ได้แค่สามหรือห้าถ้วย จะพอขายได้อย่างไร?
เฮ้อ! แย่จริงๆ ...
ความคิดหาเลี้ยงชีพที่นึกขึ้นได้นั้นกลับต้องหยุดชะงักหวาชิงเสวี่ยรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย แต่เมื่อคิดทบทวนกลับพบว่านางจำอะไรได้มากขึ้นแล้ว? สูตรต้มชาต่างๆ แล่นเข้ามาในหัวเป็ฉากๆ ชาฟักเขียว ชาดอกเบญจมาศ ชาเก๋ากี้ ชาพุทราจีน ชาหนวดั…
แค่ปล่อยใจคิดเล่นๆ ก็นึกวิธีทำชาได้หลายร้อยชนิด แม้แต่หวาชิงเสวี่ยเองยังถึงกับใกับตัวเอง!
นี่มันเื่อะไรกัน…
หรือว่า...นางใกล้จะฟื้นความทรงจำแล้ว?
นางคิดได้เช่นนั้น จึงพยายามนึกอีกครั้ง
ตัวตนของตัวเองก็ยังคงนึกไม่ออก แต่กลับนึกสูตรอาหารได้หลายอย่าง...
นี่มันแปลกจริงๆ
หวาชิงเสวี่ยพึมพำอยู่ในใจ
ไม่ว่าอย่างไร ก็ทำชาฟักเขียวไม่ได้แล้ว
หวาชิงเสวี่ยตัดฟักเขียวส่วนหนึ่งมาผัด จากนั้นใส่น้ำมันเล็กน้อย เกลืออีกหน่อย เติมน้ำลงไป แม้ผัดนานไปจนเละ แทบจะใช้ตะเกียบคีบไม่ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็กินอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ หวาชิงเสวี่ยก็นั่งลงล้างหม้อและจาน ส่วนหลี่จิ่งหนานก็หยิบไม้กวาดมากวาดหิมะที่กองทับถมในลาน แสงแดดอุ่นๆ ส่องลงมาบนตัวพวกเขา ทำให้บรรยากาศในลานดูเงียบสงบและผ่อนคลาย
—————————————————————————————————
[1]วันเพ็ญเดือนสิบสอง(寒冬腊月)หมายความว่า ่เวลาที่หนาวที่สุดของเดือนธันวาคม
[2]สี่ตำราห้าคัมภีร์(四书五经)เป็หนังสือที่รวบรวมหลักคำสอนของลัทธิขงจื้อ
[3]ชั่วยาม(时辰)หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง