แต่กลับไม่มีใครคิดว่ารังสีเย็นเยือกที่เสียดแทงถึงหัวใจจะแผ่ซ่านออกมาจากไป๋อี้เฮ่า พวกนางต่างเข้าใจว่าเป็เพียงความสูงศักดิ์อันผ่องพิสุทธิ์ของเขา ซึ่งแตกต่างกับพวกนางราวฟ้ากับดิน เป็กิ่งสูงที่ไม่อาจตะกายขึ้นไปเอื้อมคว้าไว้ได้ ‘ต้อยต่ำ’ คำจำกัดความสองคำนี้ผุดขึ้นในหัวใจของทุกคน ตอกย้ำถึงฐานะต่ำต้อยของตนเอง ไหนเลยจะมีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมองใบหน้างามล้ำของเขาอีก
โม่เสวี่ยถงยืนงงเป็ไก่ตาแตก แหงนหน้าขึ้นมอง หากมิใช่ว่าเห็นป้ายอักษร ‘จวนโม่’ ตัวใหญ่แขวนหราอยู่หน้าจวน ก็ยังนึกว่าตนเองมาผิดที่ ดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่านางผู้เป็เ้านายของจวนนี้เสียอีก เมื่อครู่ยังคิดอยู่ว่าเมื่อไป๋อี้เฮ่ามาเยือนถึงคฤหาสน์ของตนเอง นางผู้เป็เ้าของบ้านก็ต้องต้อนรับด้วยไมตรี เชิญเขาเข้าไปด้านในด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าองครักษ์ที่หน้าประตูทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่มีนางผู้ซึ่งเป็คุณหนูสามอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แค่รถม้าของเขามาถึงก็รีบวิ่งแจ้นออกมาต้อนรับ คนที่ไม่ทราบอาจเข้าใจว่าเขาต่างหากที่เป็เ้านายของที่นี่
จะพิลึกพิลั่นเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!
“คุณหนู คุณชายไป๋เข้าไปแล้ว พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะเ้าค่ะ” สายตาของโม่เหอมองตามไป๋อี้เฮ่าอย่างเคลิบเคลิ้ม ก้าวขึ้นหน้าไปได้สองก้าวกลับพบว่าโม่เสวี่ยถงยังไม่ได้ตามมา จึงปิดปากยิ้มหัว หันไปบอกกล่าวแล้วเข้าไปประคองนาง
“เฮอะ! แค่สาวใช้เล็กๆ คนหนึ่งกล้าอาจเอื้อมคิดถึงคุณชายบ้านข้าเชียวหรือ ช่างเป็ม้าที่ไม่รู้จักสำเหนียกว่าตนเองหน้ายาวแท้ๆ[1]” น้ำเสียงกระแนะกระแหนดังมาจากบนรถม้าของไป๋อี้เฮ่า ม่านประตูเลิกขึ้นปรากฏร่างของสตรีหน้าตาสะสวยคนหนึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์แบบสาวใช้เดินลงมาจากรถ อายุประมาณสิบห้าสิบหกกำลังเป็บุปผาที่บานสะพรั่ง เชิดหน้าขึ้นสูง ดวงตางดงามมองมาที่โม่เสวี่ยถงอย่างไม่เป็มิตร ทว่ากลับเอ่ยวาจากับโม่เหอ
“เ้าพูดจาซี้ซั้วอันใด” เมื่อถูกกล่าวหาด้วยถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย โม่เหอก็ใบหน้าร้อนผ่าวแดงก่ำขึ้นมาทันที แต่เพราะว่าความจริงก็เป็เช่นนั้น จึงไม่อาจรักษากิริยาท่าทางให้เป็ปรกติ ได้แต่ชักสีหน้าขุ่นเคืองโต้กลับ แต่น้ำเสียงกลับไร้พลังความเข้มแข็ง
“ั้แ่ลงจากรถก็เห็นจ้องคุณชายไม่วางตา ยามนี้แม้แต่คุณหนูของตนเองก็ยังละเลยไม่ใส่ใจ หรือจะเถียงว่าไม่จริง... ดูเสียก่อนว่าตนเองเป็ใคร คุณชายของข้าเป็ใคร” สาวใช้คนงามชำเลืองมองโม่เหอด้วยหางตา แสดงท่าทางดูิ่อย่างเห็นได้ชัด
โม่เหอถูกหยามหยันจากอายกลายเป็โทสะ ขณะคิดจะยอกย้อนให้เจ็บแสบ แต่กลับถูกโม่เสวี่ยถงเอื้อมมือมาขวางไว้ด้วยใบหน้ายิ้มพราย
“ท่านผู้นี้คงเป็สาวใช้ประจำตัวของคุณชายไป๋สินะ เมื่อมาถึงหน้าประตูจวนโม่แล้ว หาก้าเข้าไปก็ติดตามคุณชายไป๋เข้าไปได้เลย ไฉนต้องมาเสียเวลาพูดจาหยามิ่สาวใช้ของผู้เป็เ้าของบ้านด้วยเล่า หรือว่า... ข้ารับใช้ข้างกายคุณชายไป๋ล้วนแล้วแต่มีวาจาโอหังเช่นนี้” โม่เสวี่ยถงมองพิจารณาหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าั้แ่หัวจรดเท้า มุมปากคลี่ยิ้ม ทว่าเบื้องลึกในดวงตากลับไม่ฉายแววยินดีแม้แต่น้อย
หยามิ่สาวใช้เป็เพียงเครื่องบังหน้า แท้จริงแล้ว้าหยามิ่นางต่างหาก!
รอยยิ้มเย็นะเืวาดผ่านริมฝีปาก กล่าวจบก็ไม่รอให้อีกฝ่ายโต้ตอบ ประคองโม่เหอเยื้องย่างเข้าประตูจวนไปอย่างไม่นำพา
นางไม่คิดลดเกียรติตนเองลงไปปะทะฝีปากกับสาวใช้คนหนึ่ง จะได้ไม่ต้องตกเป็ขี้ปากของผู้อื่น
องครักษ์ผู้เฝ้าประตูจวนเห็นรถม้าของโม่เสวี่ยถงกลับมา ด้วยความที่นางเป็คุณหนูในจวนของตน จึงกระวีกระวาดออกมาต้อนรับอย่างขันแข็ง สาวใช้คนงามของไป๋อี้เฮ่าถูกโม่เสวี่ยถงเมินใส่อับอายจนหน้าแดงก่ำยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เมื่อผ่านประตูหลักเข้ามาแล้ว โม่เสวี่ยถงก็ปล่อยมือโม่เหอ หันไปมองด้วยสายตาเย็นเยียบ
“คะ... คุณหนู...” โม่เหอเสียงแ่พูดไม่เต็มปาก
โม่เสวี่ยถงมองโม่เหอด้วยแววตานิ่งลึกอยู่เป็เวลานาน ก่อนเอ่ยวาจาเรียบๆ “เ้ากลับไปรับโทษที่เรือนชิงเวยเถอะ แล้วไปตามโม่อวี้มาปรนนิบัติแทน ข้ามีธุระต้องไปพบท่านพ่อที่ห้องหนังสือ ให้นางไปหาข้าที่นั่น”
ชาติก่อนตนเองไม่เคยพบไป๋อี้เฮ่า โม่เหอย่อมไม่เคยพบเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่คิดว่าด้วยสองฐานะที่แตกต่างดั่งเมฆากับโคลนเหลวจะมากันได้ แววตาของโม่เหอผิดไปจากปรกติ สายตาของนางเคลิบเคลิ้มหลงใหลอย่างเห็นได้ชัด โม่เหอตกหลุมรักไป๋อี้เฮ่าั้แ่แรกพบ ไม่ใส่ใจแม้กระทั่งชื่อเสียงของตนเอง ถึงขั้นเปิดหน้าต่างออกไปแอบดูเขา
เื่นี้เกิดขึ้นั้แ่เมื่อไร ไฉนตนเองจึงไม่เคยสังเกตเห็น มิหนำซ้ำยังทำให้นางตกเป็เป้าสายตาต่อหน้าผู้คน ให้ผู้อื่นนำไปใช้ประโยชน์ได้อีก!
ความหนาวเยือกพลันเกาะกุมส่วนลึกในหัวใจ
โม่เหอถูกโม่เสวี่ยถงจับจ้องจนหวาดผวา ใบหน้าถอดสีจากแดงปลั่งเป็ขาวซีด ปากคอสั่นระริก “คุณหนู...”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ไปซะ” แม้น้ำเสียงจะนุ่มนวล แต่น้ำคำกลับหนักแน่นมั่นคงยิ่ง นางยกชายกระโปรงเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ย่างเท้าเดินผ่านโม่เหอไปยังฝั่งสวน ทางไปห้องหนังสือของบิดาจะต้องผ่านสวนดอกไม้ บัดนี้ไป๋อี้เฮ่าอยู่ที่ห้องหนังสือของบิดา นางจึงไม่เร่งร้อนเข้าไป หากแต่แวะไปนั่งพักผ่อนในส่วนก่อน
นางไม่อยากเข้าไปเจอหน้าไป๋อี้เฮาเวลานี้ คนแบบนั้นอันตรายเหลือเกิน
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ปุยขาวลอยละลิ่วลงมาบนชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่แนบลู่อยู่บนเรือนร่างบอบบางอรชร เกล็ดหิมะที่ร่วงลงมาจากฟ้าทำให้นางดูคล้ายเทพธิดาจากแดน์ที่กำลังเยื้องย่างอยู่ท่ามกลางหิมะ ดวงหน้าเล็กงามเพริดพริ้งประหนึ่งหยกล้ำค่า ดวงตาสีนิลทอประกายวาววับฉายแววลึกล้ำ
แพขนตายาวงามงอนหลุบลงเล็กน้อย ริมฝีปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มฉ่ำวาวราวกับผลท้อที่ชุ่มน้ำ
ฉินอวี้เฟิงกำลังยืนพิงอยู่ในศาลาข้างสระน้ำ สวมอาภรณ์ตัวยาวสีน้ำเงินเข้ม ที่ชายเสื้อและรอบแขนเสื้อใช้ดิ้นเงินปักลายกระเรียน์ในม่านหมอก สอดรับกับสายคาดเอวปักดิ้นทอง ห้อยหยกพกติดกายสีเขียวมรกต ท่าทางสุขุมนุ่มลึกอยู่เหนือสามัญ เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่ในศาลา มองโม่เสวี่ยถงที่กำลังเยื้องย่างมาอย่างแช่มช้อย ในดวงตาฉายแววตะลึงลาน แต่ต่อมาก็จำได้ว่าคือโม่เสวี่ยถง ความรู้สึกซับซ้อนฉายวาบบนใบหน้าก่อนจะอันตรธานไป เหลือเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนที่แสดงออกมาให้เห็น
“น้องหญิงถงมาหลบหิมะที่นี่ก่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวค่อยไปก็ได้” เขายิ้มมองไปที่โม่เสวี่ยถงซึ่งยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย พอเดินไปได้สองสามก้าวก็แหงนมองขึ้นฟ้า
“พี่ชายเฟิง!” ยามนี้โม่เสวี่ยถงเห็นฉินอวี้เฟิงแล้วจึงหยุดยืนนิ่ง ลังเลใจอยู่ชั่วครู่ อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงศาลาแล้ว จึงปล่อยแขนเสื้อที่ใช้คลุมศีรษะลง แล้วเก็บมือย่อกายคารวะแล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายเฟิงมาที่นี่ได้อย่างไร ไฉนจึงไม่ไปนั่งที่ห้องหนังสือกับท่านพ่อเล่า”
ชาติที่แล้วฉินอวี้เฟิงเป็คนรักที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อโม่เสวี่ยิ่ยิ่ง
ฉินอวี้เฟิงหัวเราะ ก่อนคารวะกลับอย่างงามสง่าแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งออกมาจากห้องหนังสือของท่านลุง พอดีเจอหิมะตกหนักและเห็นสาวงามกำลังเดินฝ่าหิมะเข้ามา จึงมานั่งดักรออยู่ที่นี่”
คำกล่าวนี้เหมือนมีนัยลึกซึ้ง ทว่าก็มีความหมายเชิงหยอกเย้าอยู่ในที
โม่เสวี่ยถงช้อนตาขึ้นยกยิ้มเล็กน้อย แล้วนั่งลงที่ริมระเบียง ด้านนอกหิมะโปรยปรายลงมาราวกับขนห่านที่ปลิวว่อน ดูท่าทางแล้วคงมิใช่จะหยุดในชั่วครู่ชั่วยาม
เดิมทีนางไม่คิดจะเข้าไป เพราะเห็นฉินอวี้เฟิงเพิ่งจะเข้าไปเช่นกัน ฉินอวี้เฟิงเป็คนประหลาด เห็นอยู่ว่ามีพร์ความสามารถเต็มเปี่ยม กลอุบายเต็มท้องแต่ไม่ไปเป็ขุนนางรับใช้ราชวงศ์ กลับปักใจรักมั่นต่อโม่เสวี่ยิ่ผู้เดียว แต่คนแบบนี้จะมีความรักมั่นคงต่อสตรีผู้หนึ่งอย่างแท้จริง จนยินดีส่งนางเข้าสู่อ้อมอกของผู้อื่น ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้นางมีความสุขกระนั้นหรือ?
นี่คือคนที่นางมองไม่ออก แม้จะหมายหัวว่าเป็ศัตรูแน่นอนแล้ว แต่นางก็ยินดีจะทำความรู้จักกับเขาก่อน รู้เขารู้เรา รอบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ดวงตาของฉินอวี้เฟิงจับอยู่ที่ใบหน้างามลออ แก้มขาวใสฝาดเป็สีแดงระเรื่อ เกล็ดหิมะสีขาวบริสุทธ์บางส่วนยังคงติดอยู่บนเรือนผมยาวสลวยที่ดำสนิทประดุจน้ำหมึก และบางส่วนก็ร่วงกราวลงมาติดที่ปลายขนตาโค้งงอน ยิ่งขับให้ดวงตาดูงามล้ำ แผ่กลิ่นอายสูงส่งสง่างาม ดึงดูดให้คนอยากเข้ามาทะนุถนอมดูแลใกล้ชิดและไม่กล้าลบหลู่ดูิ่
สตรีเช่นนี้ควรจะมีชีวิตที่ดีงาม มีคนรักทะนุถนอมไว้ในอ้อมกอด ใบหน้าอ่อนหวานน่ารักคล้ายมีความเขินอายเจืออยู่บางๆ สะท้อนให้เห็นความงามล้ำเลิศปานล่มเมือง เพียงมองแวบเดียวยังตราตรึงถึงจิติญญา
“พี่ชายเฟิงเ้าคะ ท่านยายกับพี่ชายเซวียนเข้าเมืองหลวงมาพร้อมกันหรือไม่?” โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้นสบกับดวงตาล้ำลึกของฉินอวี้เฟิงพอดี มุมปากโค้งขึ้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เอ่ยถามพลางกะพริบตาปริบๆ อย่างรอคอยคำตอบ
คนสกุลฉินเข้ามาเมืองหลวง นางอยู่จวนฝู่กั๋วกงก็พอจะทราบข่าวมาบ้าง แต่ไม่ละเอียดชัดเจนนัก เดิมทีคิดว่าหลังจากกลับจวนแล้ว จะให้โม่หลันส่งคนไปดู ยามนี้เมื่อพบกับฉินอวี้เฟิงจึงถือโอกาสถามโดยตรง
“ท่านย่ากับน้องรองก็เข้าเมืองมาพร้อมกันนี่แหละ เมื่อสองสามวันก่อนท่านย่ายังเอ่ยถึงน้องหญิงถงอยู่ว่ามีเวลาว่างบ้างหรือไม่ หากมีเวลาก็ไปเยี่ยมนางหน่อยเถิด คนสูงอายุเพิ่งเข้ามาเมืองหลวง ข้างกายไม่มีคนที่สนิทใจด้วย ได้ยินมานานแล้วว่าน้องหญิงถงเฉลียวฉลาดเป็ที่สุด คงจะทำให้ท่านย่าชมชอบได้แน่” ฉินอวี้เฟิงคลี่ยิ้มเล็กน้อย ดวงตาล้ำลึกมีความพึงใจเจืออยู่หลายส่วน
เมื่อได้ยินฉินอวี้เฟิงเชิญนางไปจวนฉิน โม่เสวี่ยถงย่อมไม่ปฏิเสธ ทำเหมือนไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งของฉินอวี้เฟิง ยิ้มกล่าวรับคำ ชาติที่แล้วนางกับเขาไม่มีชีวิตส่วนใดที่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ตนเองกลับต้องตายภายใต้แผนการของเขา ชาตินี้นางจะลองทำความรู้จักกับเขาอย่างช้าๆ เพื่อประเมินถูกผิดดีชั่วด้วยตนเอง นางยอมรอดูว่าเขาจะมาไม้ไหน แต่ไม่มีวันยอมหลับหูหลับตาเดินสู่ขุมนรกเหมือนเช่นในชีวิตก่อนอีก
“ขอบคุณพี่ชายที่เชิญข้าเ้าค่ะ อีกสองสามวันข้าจะไปเยี่ยมท่านยาย ได้ไปรบกวนถึงจวนฉินแน่นอน” ดวงตากลมโตของโม่เสวี่ยถงกลิ้งไปจับที่รูปภาพม้วนหนึ่งที่ฉินอวี้เฟิงวางไว้บนโต๊ะ แววตาประกายวาบ เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นี่คืออะไรหรือเ้าคะ พี่ชายเฟิง”
“นี่เป็ภาพวาดที่ข้าได้มา แต่มีรอยเปื้อนเสียแล้ว ข้าหมดวิธีจะแก้ไข จึงหยิบมาให้ท่านลุงช่วยดูให้ แต่น่าเสียดาย ท่านลุงบอกว่ารูปนี้ไม่อาจแก้ไขให้กลับมาเป็เหมือนเดิมได้แล้ว” ฉินอวี้เฟิงยิ้มแล้วหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะหินแล้วนั่งลง หยิบรูปภาพขึ้นมากางออก แสดงท่าอนุญาตให้โม่เสวี่ยถงเข้ามาดู
นั่นเป็รูปเหมยเหมันต์ในคืนหิมะโปรยปราย ดอกเหมยสีแดงเพลิงราวกับโลหิตชูช่อไสวอยู่บนกิ่งก้านบิดโค้งทรงพลัง ท่ามกลางความเวิ้งว้างของหิมะขาวโพลน ทำให้ภาพที่จืดชืดพลันมีชีวิตชีวา ดอกเหมยสีแดง เกสรสีชมพูอ่อน หิมะสีขาว ลายพู่กันเพียงไม่กี่เส้นแต่กลับรังสรรค์ความงดงามให้บังเกิดท่ามกลางผืนดินและแผ่นฟ้าที่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา
พสุธาอ้างว้าง เหมยงามเพียงดอกเดียว ชูช่อตระหง่านท่ามกลางหิมะสีเงินยวง!
“เป็ภาพที่ดีจริงๆ” โม่เสวี่ยถงเอ่ยชื่นชมเสียงเบา ทว่าเมื่อเห็นรอยดำด่างของน้ำหมึก ที่หยดเป็วงอยู่บนหิมะสีขาวบริสุทธิ์ หัวคิ้วพลันมุ่นขมวด หิมะขาวกระจ่างถูกทำให้เปรอะเปื้อนเสียแล้ว ทำให้ภาพที่งดงามต้องเสียหายทั้งหมด ดอกเหมยสีแดงที่งดงามช่อนั้นไม่อาจสั่นคลอนหัวใจคนได้อีกต่อไป
“พี่ชายเฟิง ท่านพ่อบอกว่าไม่มีทางแก้ไขได้เลยหรือเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงยื่นมือไปลูบไล้ภาพวาด เป็ภาพที่ดีมากจริงๆ การลงน้ำหมึกทั้งเข้มอ่อน แห้งเปียก ผสมผสานกลมกลืนเป็อย่างดี ในลายเส้นหนักแน่นมีความพลิ้วไหว ลื่นไหล แค่ดูก็รู้ว่าเป็ภาพที่ทรงคุณค่าอย่างแท้จริง ภาพดีๆ แบบนี้ถูกทำลาย ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
“ท่านลุงบอกว่าสีของหิมะเปรอะเปื้อนไปแล้ว ทำให้เสียหายทั้งหมด ภาพนี้ไม่มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว” ฉินอวี้เฟิงทอดมองภาพนั้น ั์ตาเต็มไปด้วยความเสียดายและปวดใจอยู่ลึกๆ เห็นได้ชัดว่านี่เป็ภาพโปรดของเขา มิเช่นนั้นคงไม่นำมาถึงจวนโม่ โม่ฮว่าเหวินมีความสามารถในเชิงอักษรและภาพวาด เป็ที่ชื่นชมมาโดยตลอด หากแม้แต่โม่ฮว่าเหวินยังรู้สึกว่าไร้ประโยชน์แล้ว ภาพวาดนี้ย่อมใช้การอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ
“พี่ชายเฟิงจะจัดการกับภาพวาดนี้อย่างไรหรือเ้าคะ” โม่เสวี่ยถงยิ้มบางเบา หันไปถามอย่างไร้เดียงสา
ฉินอวี้เฟิงยิ้มอ่อนๆ “ในเมื่อไม่อาจแก้ไขได้ ก็คงต้องทำลายทิ้ง เดี๋ยวกลับไปจวนแล้วข้าจะให้คนเอาไปเผา ภาพวาดดีๆ แบบนี้ช่างน่าเสียดายจริงๆ” เขาถอนหายใจยาว แววตาจับจ้องบนรูปภาพอย่างเสียดายยิ่ง ดูออกว่าเขาชอบภาพวาดนี้อย่างแท้จริง
ภาพที่ตนเองชอบพอเลอะแล้ว เขาถึงกับทำลายทิ้ง นิสัยของฉินอวี้เฟิงแตกต่างจากผู้อื่นจริงๆ ฉับพลันนางเกิดคิดบางอย่างขึ้นได้ จึงเอื้อมมือไปขวางฉินอวี้เฟิงที่กำลังม้วนเก็บภาพนั้น คิ้วงามมุ่นน้อยๆ เงยหน้าขึ้นยิ้มอย่างไร้เดียงแล้วเอ่ยถามเสียงหวาน “พี่ชายเฟิง ภาพนี้มอบให้ข้าได้หรือไม่”
ฉินอวี้เฟิงชะงักเล็กน้อยสีหน้าลังเลใจ เพียงชั่วครู่ก็ผ่อนคลาย แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “น้องหญิงถงจะเอาภาพนี้ไปทำอะไรหรือ”
ความจริงก็ไม่เห็นว่าจะเป็เื่น่าลำบากใจอันใด ก็แค่รูปภาพที่เสียหายแล้ว ตัดสินใจทำลายทิ้งแล้วมิใช่หรือ ไฉนจึงยังอาลัยอาวรณ์เช่นนี้อยู่เล่า คนผู้นี้นิสัยแปลกประหลาดเสียจริง
“ให้ข้าลองดู ไม่แน่ว่าอาจกลบเกลื่อนรอยเปื้อนนี้ได้” โม่เสวี่ยถงหันไปตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แสร้งทำเป็ไม่เห็นความลึกล้ำในแววตาของเขา แล้วยื่นมือมาดึงรูปภาพนั้นไว้
“หือ... น้องหญิงถงคิดจะแก้ไขอย่างไร?” เมื่อได้ยินว่าโม่เสวี่ยถงมีวิธี ฉินอวี้เฟิงก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที วางม้วนภาพลงแล้วกางออกให้นาง
โม่เสวี่ยถงแกล้งทำสีหน้าลำบากใจ นิ้วมือลูบไล้ไปบนสีขาวบนรูปภาพอย่างเบามือ
“น้องหญิงถงบอกให้พี่รู้ได้หรือไม่?” เห็นโม่เสวี่ยถงยิ้มอ่อนๆ นิ้วมือไล้ไปบนภาพวาด มือเรียวยาวขาวกระจ่างที่วางทาบอยู่บนภาพวาด งดงามจนแม้แต่ดอกเหมยสีแดงสดยังดูจืดชืดไปในพริบตา รอยยิ้มน้อยๆ อ่อนหวานปานบุปผาทำให้คนหัวใจสั่นไหว สายตาของฉินอวี้เฟิงเลื่อนไปจับที่มือของนางโดยไม่รู้ตัว
“พี่ชายเฟิงกล่าวอะไรเช่นนั้น ข้าจะจงใจไม่บอกได้อย่างไรเล่า แค่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายจากตรงไหนเท่านั้นเอง หากแก้ไขออกมาไม่ดี พี่ชายจะหัวเราะเอาได้” โม่เสวี่ยถงแสร้งทำเป็ไม่เห็นความหลงใหลที่ทอวาบออกมาจากสายตาของเขา เพ่งพิศไปยังภาพที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือของตนเอง แล้วหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนรอยยิ้มเยาะหยันบนริมฝีปากที่เผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“แล้วน้องหญิงถงคิดว่าจะซ่อมแซมอย่างไรเล่า พูดมาให้พี่ฟังได้หรือไม่” สีหน้าราบเรียบของโม่เสวี่ยถงทำให้ฉินอวี้เฟิงยิ่งอยากรู้อยากเห็น ชั่วขณะนั้นรู้สึกตื่นเต้นคว้ามือของโม่เสวี่ยถงไว้แล้วเอ่ยถามอย่างร้อนใจ เขาชอบภาพนี้มากจริงๆ แต่ถูกบ่าวรับใช้ที่เก็บกวาดทำความสะอาดห้องทำน้ำหมึกกระเด็นเลอะโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้แล้วจึงยอมตัดใจ แม้จะเป็ภาพที่เขาชอบ แต่เมื่อเปรอะเปื้อนไปแล้ว เขายอมทำลายมันทิ้ง
……………………………………………………………………………………………………...
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เป็ความเปรียบว่าคนขี้เหร่ หรือต่ำต้อยที่ไม่รู้จักเจียมตัว เหมือนม้าที่ไม่รู้ว่าตัวมันเองหน้ายาว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้