“……”
ทำไมเขาถึงคิดว่าเ้านักบวชนี่้าการปลอบใจกันนะ?
นี่มัน จริตเยอะจริงๆ ให้ตายเถอะ
แต่เขาก็รู้ว่าเืของเฟิงอวี้นั้นมีประโยชน์กับเขา ดื่มมาหนึ่งปีครึ่งแล้ว อีกแค่คำเดียวช่างปะไร
กระนั้นเขาก็จับนิ้วมือเฟิงอวี้ ริมฝีปากประกบเข้าไป แล้วเลีย
ดวงตาของเฟิงอวี้สั่นไหว จู่ๆ ก็ใช้สองนิ้วจับอวี๋มู่แล้วหิ้วเขาออกมาจากกระเป๋าสีแดงกว้าง
ใช่แล้ว หิ้วขึ้นมา
อวี๋มู่ถูกหิ้วคอเสื้อด้านหลัง ขอบเสื้อแนบติดคอ มือเท้าลอยกลางอากาศ แล้วถูกหิ้วไปวางบนโต๊ะ
หลังจากเขาหดตัวก็เหลือเพียงแค่ขนาดเท่าฝ่ามือ เล็กจ้อยนิดเดียว เฟิงอวี้ใช้นิ้วเดียวกดตัวเขาไว้ ทำให้เขาขยับตัวแทบไม่ได้
อวี๋มู่ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ ิญญาถึงกับตะลึงจนเอ๋อไปเลย
นิ้วมือนี้หนักราวพันชั่ง ทับจนเขาไม่อาจพลิกตัวได้
เขาถลึงตาใส่นักบวชน้อย แต่เพราะตัวเล็กจิ๋วเกินไป ทำให้ชายหนุ่มยิ่งดูน่ารัก
เฟิงอวี้ถูกถลึงตาใส่ รู้สึกชอบใจมาก
เขายื่นนิ้วที่าเ็ไปที่หน้าอวี๋มู่ “เลียแบบนี้ดีกว่า เลียให้สะอาด อย่าเสียของ”
อวี๋มู่โมโหจนตัวสั่น แววตามีแต่ไฟพิโรธปะทุอยู่
แต่เขาก็ขยายตัวโตไม่ได้ เพราะถึงอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็่กลางวัน แล้วยังอยู่ภายใต้การจับจ้องของพระอาจารย์ระดับสูงมากมายในวัดหนานหลัว เฟิงอวี้สามารถปิดบังลมปราณของตัวเองได้ดีเยี่ยม ไม่ให้ถูกจับได้ แต่เขาไม่สามารถ
อีกอย่าง เขารู้สึกว่าตอนนี้รีบขยายตัวโต จากท่าที่เขานอนอยู่บนโต๊ะ ้ายังมีเฟิงอวี้นั่งทับหน้าตายิ้มแย้ม สถานการณ์แบบนี้จะยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ ยิ่งเก้อเขิน
กระนั้นเมื่อนึกถึงผลประโยชน์ เขาจึงได้แต่น้อมรับชะตากรรมโอบนิ้วมือเฟิงอวี๋ไว้ ค่อยๆ เลียทำความสะอาดเืที่เปื้อนนิ้วอีกฝ่าย น่าเศร้าใจยิ่งนัก
เฟิงอวี้แสยะยิ้มมุมปากหัวเราะ โดยหลังจากที่อวี๋มู่เลียเสร็จ อีกฝ่ายก็กดเขาเล่นอยู่อย่างนั้นสักพัก อีกทั้งแล้วยิ่งกว่านั้นยังใช้นิ้วเขี่ยเสื้อผ้าอวี๋มู่ออก พอเห็นว่าอีกฝ่ายดึงแเขนเสื้ออย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าขัดขืนแล้ว ความเหี้ยมโหดในใจก็ลดทอนลงไปไม่น้อย
ระบบพูดถูก หย่งอวี้ต่างหากที่เป็บุคลิกหลัก ปีศาจร้ายคือบุคลิกรอง
ที่จริงตอนก่อนอายุห้าขวบ เขาไม่ได้แยกออกจากกัน
เขานั้นโตกว่าวัย หลากหลายเื่ราวล้วนจำได้แม่นยำ ความคิดชั่วร้ายที่คนพวกนั้นมีต่อเขา เขาล้วนััได้
ดังนั้นั้แ่เล็ก เขาก็เริ่มเข้าใจความเกลียดชัง
เขาเกลียดชังผู้คนทั้งหมด รวมถึงตัวเอง
ตอนที่ยังไม่ถูกส่งตัวมาที่วัดหนานหลัว เขานั้นถูกขังอยู่ในกรงมาตลอด
กรงใหญ่กว้างยาวสิบเมตร ตั้งไว้ในคุกใต้ดินของพระราชวัง เขาไม่ได้เห็นแม้กระทั่งแสงตะวัน นั่งโดดเดี่ยวอยู่ในกรงนั้น รอวันเวลาที่สาวใช้ในวังจะเข้ามา
เขาอยากพูดคุยกับเหล่าสาวใช้ แต่ไม่มีใครยอมพูดกับเขา
พวกนางส่วนใหญ่จะทำแค่วางกับข้าวไว้ข้างกรง แล้วรีบจากไป
มีครั้งหนึ่งเฟิงอวี้รออยู่ข้างกรง พอสาวใช้วางกล่องข้าวเสร็จ เขาแกล้งจับแขนเสื้อของนางไว้ แต่กลับต้องแสบแก้วหูเพราะเสียงกรีดร้อง
นางสะบัดเขาทิ้งอย่างแรง เล็บข่วนเข้าที่หลังมือของเขา ฉับพลันก็มีแต่กลิ่นคาวเืลอยคลุ้ง เฟิงอวี้มองดูบางสิ่งที่ดำทมิฬลอยเข้ามาจากด้านนอกคุก พุ่งตรงมาที่มือขวาของเขาที่าเ็
“ปี…...ปีศาจร้าย! เ้าเป็ปีศาจร้ายจริงๆ ด้วย! ” นางในรีบวิ่งหนีออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งเฟิงอวี้ไว้กับเหล่าิญญาที่เข้ามาห้อมล้อมตัวเขา เขาตกตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วก่อนสีหน้าจะเยือกเย็นขึ้นมา
บุคลิกนิสัยของเขาเริ่มแยกออกจากกันั้แ่ตอนนั้น
เฟิงอวี้ปีศาจร้ายมีไว้ปกป้องเขา ส่วนหย่งอวี้โพธิสัตว์ไว้แสดงตัวตนเด็กที่ใสซื่อมีเมตตา เพื่อพยายามให้ได้รับความชื่นชอบจากผู้คน
เวลาสิบกว่าปีที่อาศัยอยู่บนเจดีย์เจิ้นเยา หย่งอวี้กับเฟิงอวี้แยกออกจากกัน ต่างไม่ยุ่งเกี่ยว
จวบจนเมื่อเร็วๆ นี้ ่ที่อวี๋มู่ปรากฏตัว ในที่สุดก็ทำให้ทั้งสองคนหลอมรวมกัน กลับคืนสู่บุคลิกนิสัยดั้งเดิมของเขา
เพียงแต่ว่ามีเพียงเขาที่รู้ เขาที่มีนิสัยเหล่านี้ต่างหากที่เป็ปีศาจร้ายตัวจริง
โกรธแค้น กระหายเื เหี้ยมโหด แต่กลับซ่อนความดีไว้
ทว่า เขารู้ว่าอวี๋มู่ไม่ชอบเขาที่เป็เช่นนี้
ิญญาพิศวาสตนนี้เป็ิญญาที่เมตตายิ่งกว่าิญญาที่เขาเคยพบเจอ
เขารู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งเข้ามาใกล้ชิดตัวเอง แต่เขาไม่รู้จุดประสงค์ที่ชัดเจนของอีกฝ่าย
หากว่าเขาเพียงแค่อยากให้ตัวเองพาเขาออกจากเจดีย์เจิ้นเยา ถ้าอย่างนั้นต้องยินดีกับอีกฝ่ายด้วย จุดประสงค์ของเขาบรรลุแล้ว
ดังนั้นตอนนี้ เขาควรจะต้องหนีไม่ใช่หรือ?
คิดถึงตรงนี้ สีหน้าเขามืดมนลง แต่ก็กลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนเป็ฟุบบนโต๊ะ แล้วสบตากับอวี๋มู่ตัวจิ๋ว ดวงตายิ้มแย้ม ทำทีเป็เฟิงอวี้ที่เหมือนเด็กน้อย เอ่ยถาม “อวี๋มู่จ๋า คืนนี้เล่านิทานให้ข้าฟังได้หรือเปล่า?”
อวี๋มู่เพิ่งจัดเสื้อผ้าตัวเองเสร็จ ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ตอบรับไป “ได้สิ”
เฟิงอวี้สำรวจคนตรงหน้า รู้ว่าเขาไม่ได้โกหก แรกคือชะงัก ฉับพลันก็ยิ้มร่าออกมา
เห็นทีเขาจะคิดมากไปเอง อวี๋มู่ไม่ได้อยากหนีจากเขาไปตอนนี้
ดีจริง
*
ค่ำคืนมาถึง ซานซานก็ถูกเฟิงอวี้พบเข้า
เฟิงอวี้บีบคอซานซาน จับเขากดลงบนโต๊ะ กำลังคิดว่าจะจัดการกินเ้าตัวที่บังอาจกล้าใช้อวี๋มู่ ให้เขาเสี่ยงต่อการถูกจับจากที่พามันออกมาจากเจดีย์เจิ้นเยา
ซานซานรีบร้องขอชีวิต “ฮือๆๆ ใต้เท้าอสูรฟ้าโปรดไว้ชีวิต! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”
“ใต้เท้า ข้าตกลงพาเขาออกมาเอง” อวี๋มู่แก้ตัวแทนซานซาน “ข้าเห็นเื่ราวชีวิตของเขาน่าสงสาร เลยอยากพาเขาออกมาพบพ่อแม่”
พออวี๋มู่ปรามเฟิงอวี้ เขาก็ปล่อยมือ
เขานั่งกลับไปนั่งที่บนเก้าอี้ ซานซานรีบคุกเข่าขอขมาต่อหน้าเขา
กระนั้นพอเฟิงอวี้ได้ยินเื่ราวชีวิตกับห่วงของเขา พินิจครู่หนึ่ง เอ่ยถามคำถามแปลกๆ กับเขาหนึ่งข้อ
“เ้าไม่เคยคิดหรือว่าพ่อแม่ของเ้าจงใจทิ้งเ้าไป?” เฟิงอวี้ถามเขา “จากที่เ้าเล่า ปีนี้อดอยาก บ้านเ้าลูกเยอะแยะ ร่างกายเ้าก็อ่อนแอขี้โรค สถานการณ์เช่นนั้น พวกเขาจะทอดทิ้งภาระอย่างเ้าก็เป็เื่ธรรมดาไม่ใช่หรือ?”
น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ คำพูดเดียวแต่กลับแฝงด้วยความชั่วร้าย
อวี๋มู่รู้สึกเหมือนถูกแทงทะลุหัวใจ แต่เขาก็ไม่อาจพูดอะไรเพื่อโต้แย้งได้ เพราะว่าจากที่ซานซานเล่ามา เขาก็รู้สึกว่ามีความเป็ไปได้สูง
ซานซานเองก็ตะลึง
เขาไม่เคยคิดถึงความเป็ไปได้ในกรณีแบบนี้
สิบกว่าปีมานี้เขาเอาแต่คิดถึงพ่อแม่กับพี่ชายน้องชาย เขาอยากไปดูว่าพวกเขายังอยู่อย่างแข็งแรงดีหรือไม่ หลังจากได้เห็น เขาถึงจะหมดห่วงและจากไปอย่างสงบ
“อา ทำให้เ้ารู้สึกแย่ ขอโทษด้วย” แม้เฟิงอวี้จะพูดเช่นนี้ แต่กลับไม่ได้มีท่าทีเสียใจแม้แต่นิด ถึงขั้นมีน้ำเสียงเยาะเย้ยเล็กน้อย ในขณะที่เอ่ยต่อ “แต่หากไปดูแล้ว พบว่าเป็อย่างที่ข้าพูด พวกเขาจงใจทิ้งเ้าไว้ ถึงตอนนั้นเ้าจะทำอย่างไร?”
เขาเอ่ยถามอย่างเ็า “กลายเป็ิญญาร้าย แล้วเอาชีวิตพวกเขาหรือ? ให้พวกเขารับผิดชอบกับการกระทำของพวกเขาที่ทอดทิ้งเ้า?”
อวี๋มู่ทนฟังต่อไม่ไหว
ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็แค่คาดคะเน เฟิงอวี้ไม่จำเป็ต้องพูดโหดร้ายเช่นนั้น
ภูตผีน้อยที่คุกเข่าบนพื้นกำชายเสื้อตัวเองแน่น เม้มปาก น้ำตาคลอเบ้า แต่ว่าสุดท้ายเขาก็ส่ายหัว มองเฟิงอวี้ แล้วเอ่ย “ข้าก็แค่อยากเจอพวกเขา ไม่ว่าตอนนั้นพวกเขาจะจงใจทอดทิ้งข้าหรือไม่ แต่อย่างน้อยพวกเขาเคยดีกับข้ามาก พวกเขาเป็พ่อแม่ของข้า คลอดข้าออกมา เป็ญาติที่เคยดูแลข้า ข้าไม่มีทางกลายเป็ิญญาร้ายไปทำร้ายพวกเขาแน่นอน”
เฟิงอวี้หรี่ตา จ้องมองภูตผีน้อย เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงส่งเสียงเ็า เอ่ย
“ไร้สาระ”
เขาลุกขึ้นเดินไปหน้าซานซาน นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย จากนั้นนั่งลงบนเตียง เอ่ยพึมพำ
“รีบไปซะ อย่าอยู่ให้รกหูรกตาข้า แล้วก็อวี๋มู่ เ้ามาทางนี้ อย่าเอาแต่จ้องเ้าผีเด็กหน้าเหม็น เขาน่ามองกว่าข้าตรงไหน?”
อวี๋มู่รู้ว่าเขาปล่อยซานซานแล้ว จึงทำท่าให้อีกฝ่ายจากไป
ซานซานลูบหน้าผากตัวเองเหมือนเข้าใจ เอ่ยขอบคุณอวี๋มู่ รีบลอยออกไปทางหน้าต่างไปทางนอกวัดหนานหลัว
จังหวะที่เขากำลังจะลอยผ่านประตูวัดนั้น จู่ๆ บนหน้าผากก็มีประกายไฟเล็กๆ ปะทุขึ้น จากนั้นก็หายไป
ซานซานถึงพบว่าวัดหนานหลัวมีม่านพลัง หากว่าไม่ใช่เพราะเฟิงอวี้แปะยันต์กันภัยไว้ตรงหน้าผากให้เขา จากพลังของเขาเดาว่าตอนนี้ิญญาคงแหลกสลายไปแล้ว
ภูตผีน้อยซึ้งใจ ตามด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ที่แท้อสูรฟ้าแท้จริงแล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ถูกกล่าวขาน
เขาค้อมตัวคำนับไปทางที่เฟิงอวี้พัก แล้วพูดคำว่าขอบคุณ
*
ตอนที่อวี๋มู่ถูกเฟิงอวี้ลากมาให้เล่านิทานให้ฟัง ระบบก็บอกเื่นี้กับเขา
อวี๋มู่หยุดชะงัก มองไปทางนักบวชน้อยตรงหน้าที่กำลังนอนตะแคง จังหวะนั้นไม่รู้ควรบรรยายอารมณ์ของตัวเองอย่างไร
วันนี้เขานึกว่าเฟิงอวี้จะอาละวาด เข่นฆ่าผู้คน
แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ถึงขั้นไม่พูดความคับแค้นใจกับเขาด้วยซ้ำ และกล้ำกลืนมันไว้
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ปล่อยซานซานไป แถมยังช่วยให้อีกฝ่ายออกจากวัดหนานหลัวได้อย่างปลอดภัยด้วย
บางทีเฟิงอวี้อาจจะไม่ได้ชั่วร้ายอย่างที่นิยายเขียนไว้ก็ได้ เขาเพียงแค่…...
คิดหาคำบรรยายไม่ออก อวี๋มู่ถอนหายใจ กำลังคิดจะเล่านิทานต่อ แต่ถูกคำพูดเฟิงอวี้ขัดขึ้นก่อน
“อวี๋มู่ เ้าว่าภูตผีน้อยตัวนั้นโง่เขลาหรือไม่?” นักบวชน้อยผู้หล่อเหลาพลิกตัว มือยันหัว ไขว่ห้างขึ้น แล้วเอ่ย “ให้ข้าพูด พ่อแม่ของเขาต้องจงใจทอดทิ้งเขาแน่ ทำให้เขาหิวตาย ข้ากำลังคิดว่าหากเขาไปถึงบ้าน แล้วรู้ความจริง เขาจะยังแน่วแน่กับการไม่โกรธแค้น ไม่ชิงชังอย่างที่บอกหรือไม่”
อวี๋มู่ชะงัก ทันใดนั้น ก็เข้าใจจุดประสงค์ของเฟิงอวี้แล้ว ยังคงเปี่ยมด้วยความชั่วร้ายจริงๆ
แต่พอเขาเริ่มมีความคิดแบบนี้ กลับได้ยินเฟิงอวี้พูด “แต่เขาบอกว่าตอนนั้นพ่อแม่ดีกับเขามาก นี่ทำให้ข้ารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย”
แม้น้ำเสียงของเขายังคงดูเล่นๆ เขาเริ่มพรรณนา “ตอนที่ข้าเกิดมาก็ทำให้ท่านแม่ต้องตายจากไป ท่านพ่อก็คิดแต่จะฆ่าข้าอยู่ทุกเมื่อ คนในวังต่างเกลียดชังข้า พวกเขาไม่ยอมเข้าใกล้ข้า และถึงขั้นไม่ยอมพูดคุยกับข้า…….”
เขาถอนใจ “ข้าคิดอยู่ว่าหากท่านพ่อดีกับข้าสักเพียงเล็กน้อย ข้าคงเหมือนกับเ้าภูตผีน้อยเมื่อครู่ ไม่โกรธแค้นชิงชัง”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายอีกครั้ง “แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ดังนั้นพวกเขาสมควรถูกข้า…….”
ทันใดนั้นเสียงก็หยุดลง เฟิงอวี้เม้มปาก มองไปทางอวี๋มู่ จับมือเขามาถือไว้ เอ่ยถามเขา “อวี๋มู่ เ้าว่าข้าควรจะแก้แค้นดีหรือไม่?”
เขาโยนคำถามไปที่อวี๋มู่ ั์ตาดำขลับจ้องมองเขาล้ำลึก จนสะท้อนเพียงแค่เงาของชายหนุ่ม ท่าทางจริงจังกว่าปกติ
“ตอนนี้ ข้าจะเชื่อฟังเ้าทุกอย่าง หากเ้าบอกว่าควรแก้แค้น ข้าก็จะไป หากเ้าไม่ชอบให้ข้าทำเช่นนั้น ข้าก็จะไม่ไป”
เขาเอ่ย “ต่อไปนี้ ชีวิตของข้าทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเ้า”
-------------------------------------------------------------------------------------------------
