เสียงกัดแทะเนื้อของสัตว์อสูรดังอยู่ในอากาศ นี้คือโอกาสดีที่ถังเหล่ยจะลงมือ แต่ความอ่อนไหวต่อพลังของสัตว์อสูรระดับสองล้วนเหนือกว่าสัตว์อสูรระดับหนึ่งไปมาก ต้องรีบล่ารีบจบ
เขาดึงลูกธนูออกมาสามดอก เอาลูกธนูวางไว้ที่คันธนู จากนั้นดึงสายธนูขึ้น ที่จุดตันเถียนมีพลังสีทองสายหนึ่งปรากฏออกมาโคจรอยู่รอบแขน พลังแขนทั้งสองข้างของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ธนูเจ็ดพันจินคันหนึ่งถูกถังเหล่ยโก่งจนสุดคันธนู มือทั้งสองข้างล้วนไม่สั่นไหวราวกับรูปปั้นขึ้นคันศร
ลูกธนูสามดอกล้วนเล็งไปที่ศีรษะของสัตว์อสูร หากโดนเข้าไปเต็มๆ ต่อให้เป็สัตว์อสูรระดับสองก็ยากจะหนีความตายพ้น
ถังเหล่ยกำลังรอโอกาส โอกาสสังหารในกระบวนท่าเดียว
มันยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอันตรายถึงชีวิตและคงกินเนื้อเหมือนเดิม มันเพิ่งผ่านการต่อสู้และสังหารสัตว์อสูรระดับหนึ่งมาหนหนึ่ง…
“ตอนนี้แหละ!”
วินาทีที่สัตว์อสูรเงยหน้าขึ้นมา ลูกธนูสามดอกพุ่งออกไปเร็วดุจสายฟ้าตรงไปที่ศีรษะั์ของมัน และในเวลาเดียวกันนี้ คันธนูที่แบกรับพลังเจ็ดพันจินพลันหักลงทันใด ถังเหล่ยก่นด่าออกมาก่อนเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติ แล้วะโตามลูกธนูสามดอกที่ยิงไปทันที
เสียงคันธนูหักทำให้สัตว์อสูรไหวตัว แต่มันเพิ่งหันหน้าไปก็เห็นลูกธนูสามดอกยิงเข้ามาแล้ว
มันรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรง จึงเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว แต่ลูกธนูสองดอกกลับทะลุขาหน้าของมัน แล้วลูกธนูดอกสุดท้ายก็แทงเข้าที่ศีรษะของมันจังๆ !
เสียงโหยหวนอย่างเ็ปดังก้องในป่าที่เงียบสงัด สัตว์อสูราเ็สาหัส สัญชาตญาณการเอาตัวรอดดีดให้มันหันหน้าวิ่งหนี
สัตว์อสูรระดับสองไม่โง่ การที่ถูกยิงทะลุศีรษะที่แข็งแรงของมันได้ด้วยลูกธนูดอกเดียว มันสู้ศัตรูเช่นนี้ไม่ไหว!
แต่มันวิ่งไปไม่ถึงสิบเมตร เงาภูตผีสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากป่าด้านข้างราวกับะุปืนพุ่งชนร่างของสัตว์อสูร
“ปึง!!!”
ร่างของมันถูกชนจนปลิวกระเด็นตกลงบนก้อนหินั์ก้อนหนึ่งด้านข้าง
เงาร่างนั้นไม่รอให้สัตว์อสูรลุกขึ้นมาอีกครั้ง ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง มีประกายแสงเยียบเย็นสายหนึ่งวาดผ่าน
เงาร่างของถังเหล่ยปรากฏตัวด้านข้างสัตว์อสูร กริชในมือมีเืไหลหยด
ศีรษะั์ของสัตว์อสูรถูกฟันขาดเป็สองท่อน แก่นอสูรขนาดเท่านิ้วมือเม็ดหนึ่งส่องประกายระยิบระยับภายใต้แสงจันทร์
“โชคดีจริงๆ”
ใบหน้าของถังเหล่ยปรากฏรอยยิ้ม โดยปกติแล้วแก่นอสูรระดับสองหายากมาก สังหารสัตว์อสูรสิบตัวได้มาเม็ดหนึ่งก็นับว่าไม่เลว แต่สัตว์อสูรระดับสองตัวแรกที่ถังเหล่ยสังหารวันนี้ก็มีแก่นอสูรแล้ว เช่นนี้เขาจึงลดความยุ่งยากไปได้มาก
ถังเหล่ยเก็บแก่นอสูรไป เขาตัดสินใจว่าจะเอาชิ้นส่วนที่สำคัญบางส่วนของสัตว์อสูรไปด้วย เพราะน่าจะใช้ปรุงยาต่อได้
ถังเหล่ยอยากรู้ว่าสัตว์อสูรที่ตัวเองสังหารคือตัวอะไร เมื่อประกบศีรษะสัตว์อสูรที่ขาดเป็สองท่อนเข้าด้วยกัน
“เวรเอ๊ย! ยุ่งยากแล้วสิ!”
สัตว์อสูรที่ถังเหล่ยสังหารไปคือหมาป่านภา สัตว์อสูรชนิดนี้พลังต่อสู้ส่วนตัวธรรมดามาก ทว่าพวกมันมักจะเคลื่อนไหวเป็ฝูง ถ้าสังหารหมาป่านภาตัวหนึ่งก็จะถูกล้อมด้วยฝูงหมาป่าทั้งฝูง
ถังเหล่ยจะมัวสนเื่เก็บวัตถุดิบอย่างอื่นไม่ได้แล้ว เขารีบหนีทันทีและด้านหลังของเขามีเสียงเห่าหอนดังขึ้นเป็ระยะ
“โชคร้ายจริงๆ ไม่น่าให้เ้าหมานั่นส่งเสียงเลย!”
เพราะโจมตีครั้งแรกพลาดไป หมาป่านภาตัวนี้ถึงส่งเสียงร้องออกไปทัน เมื่อหมาป่านภาตัวอื่นได้ยินก็มาทันที
ในเทือกเขาสัตว์อสูร ความเร็วของถังเหล่ยไม่มีทางเร็วกว่าหมาป่านภาแน่ อีกทั้งเขายังต้องพยายามหลบเลี่ยงการพบเจอกับสัตว์อสูรตัวอื่นอีก
เสียงเห่าหอนของหมาป่าดังมาจากรอบทิศทาง ถังเหล่ยทำได้เพียงเลือกหนีไปทางที่ดูจะปลอดภัย
ในป่าที่แน่นขนัดนี้เกิดภาพการไล่ล่าดุเดือดขึ้น หมาป่านภาระดับสองหลายสิบตัวกำลังวิ่งไล่เงามืดดำสายหนึ่งที่กำลังวิ่งหนีสุดชีวิตอย่างไม่หยุดยั้ง
ถ้าถูกหมาป่านภาหลายสิบตัวล้อมเอาไว้ได้ โอกาสรอดของถังเหล่ยแทบจะเป็ศูนย์
ระยะห่างระหว่างทั้งคู่เข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ถังเหล่ยหนีไปพลางคิดหาวิธีไปพลาง
“หญ้ามายา!”
ถังเหล่ยคุ้นเคยกับหญ้าเหล่านี้มาก ต่อให้ดวงตามองไม่เห็น เพียงแค่ใช้จมูกดมเขาก็แยกแยะชนิดของพืชพรรณออก
เขาะโลงพื้นเก็บหญ้ามายาไปหลายกำ จากนั้นเริ่มวิ่งหนีอีกครั้ง
ภายใต้แสงจันทร์นวลผ่อง ถังเหล่ยกวาดมองพื้นที่รอบด้านอยู่ตลอด เขาต้องหาสถานที่ที่ใช้หลบหนีให้เจอ “มีูเา!”
ลักษณะพื้นที่ด้านขวาเป็เนินสูงขึ้น ูเาที่ไม่ใหญ่มากนักปรากฏในสายตาของถังเหล่ย เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ถังเหล่ยวิ่งไปทางูเาลูกนั้น ระหว่างทางก็แอบทิ้งหญ้ามายาไปด้วย
หญ้ามายาช่วยรบกวนััการดมกลิ่นของหมาป่านภา และทำให้มันไม่อาจจับตำแหน่งของถังเหล่ยได้
ถังเหล่ยวิ่งไปที่เชิงเขา ก่อนข้ามก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง แต่หลังหินก้อนนั้นปรากฏถ้ำแห่งหนึ่ง เขาทิ้งหญ้ามายาต้นหนึ่งเอาไว้หน้าถ้ำ ก่อนจะพุ่งเข้าไปในถ้ำทันที
โครงสร้างในถ้ำพิเศษมาก ด้านในยังมีถ้ำลึกอีกแห่ง เพราะเหตุนี้ทำให้แสงตะเกียงในถ้ำไม่ถูกด้านนอกพบเห็น
เมื่อได้ยินเสียงหมาป่าหอนดังที่ด้านนอก ถังเหล่ยก็นั่งลงในถ้ำ แล้วจุดคบเพลิงสองอันใช้เป็เครื่องมือส่องทาง
สถานการณ์เมื่อครู่อันตรายมากจริงๆ หากไม่มีถ้ำให้ซ่อนตัว เกรงว่าตอนนี้ถังเหล่ยคงถูกฝูงหมาป่าตามทันไปแล้ว ในถ้ำมีเพียงหินที่ยื่นออกมา เขาพักผ่อนเล็กน้อย จากนั้นก็เอาวัตถุดิบออกมา
ในเมื่อออกไปตอนนี้ไม่ได้ สู้ปรุงยาที่นี่ไปเลยดีกว่า ทั้งในถ้ำยังค่อนข้างสงบด้วย กล่องไม้หกกล่องถูกถังเหล่ยเปิดออกทีละใบ ในนั้นมีวัตถุดิบที่ซื้อมาจากโรงประมูลเก็บเอาไว้
จากนั้นแก่นอสูรขนาดเท่านิ้วมือเม็ดหนึ่งปรากฏในมือของถังเหล่ย ภายใต้แสงคบเพลิงส่องทำให้มันดูงดงามนัก
เมื่อวัตถุดิบปรุงยาเตรียมพร้อมเสร็จสรรพแล้ว ถังเหล่ยก็เอากระป๋องขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากแหวนมิติ ของสิ่งนี้คือของที่ถังเหล่ยซื้อมาจากเมืองอวิ๋นหลิว
“น่าอนาถเกินไปแล้ว ข้าเป็ถึงราชันนักปรุงยาแห่งยุคแต่ไม่มีแม้กระทั่งหม้อปรุงยา ทำได้เพียงใช้สิ่งนี้ต้มยาไปก่อน”
ทั้งเมืองอวิ๋นหลิวล้วนไม่มีนักปรุงยาแม้แต่คนเดียวจึงไม่มีหม้อปรุงยาขาย ดังนั้นถังเหล่ยจึงซื้อกระป๋องยามาอันหนึ่งเพื่อใช้แก้ขัดไปก่อน
กระป๋องยายังไม่ใช่สิ่งที่น่าอนาถที่สุด สิ่งที่อนาถที่สุดก็คือิญญายุทธ์เพลิงโอสถในร่างของถังเหล่ยที่ถูกทำลายไปแล้ว ในชาติที่แล้วตอนถังเหล่ยปรุงยาล้วนใช้ิญญายุทธ์เพลิงโอสถ
ิญญายุทธ์ธาตุไฟเรียกได้ว่าเป็เงื่อนไขสำคัญของนักปรุงยา แต่ตอนนี้ิญญายุทธ์ในร่างของถังเหล่ยกลายเป็ัคชสารสีทองแล้ว จะใช้ปรุงยาได้หรือไม่ยังพูดได้ยาก
แต่หากไม่ได้จริงๆ ถังเหล่ยคงต้องใช้ไฟป่าปรุงยา และอัตราความสำเร็จอาจลดลงหลายสิบเท่า
“ในตำนานเล่าว่าัล้วนพ่นไฟได้ไม่ใช่หรือ? ัคชสารก็น่าจะพ่นไฟได้กระมัง อย่างน้อยก็ทำให้ข้าใช้ปราณแท้ธาตุไฟได้ที”
ถังเหล่ยกัดฟัน พยายามเอาปราณแท้ในร่างกายรวบรวมไว้ที่ิญญายุทธ์ เพื่อใช้พลังของิญญายุทธ์มากขึ้น
ัคชสารสีทองยังคงหลับตาอยู่ แต่ภายใต้การกดดันอย่างต่อเนื่องของถังเหล่ย ในที่สุดจมูกยาวก็พ่นเปลวเพลิงสีทองออกมา
“ฮ่าๆๆ มีไฟจริงๆ ด้วย!”
ถังเหล่ยััถึงกลิ่นอายธาตุไฟในร่างกาย มุมปากเผยรอยยิ้ม เขารีบเอาเปลวเพลิงสีทองไปไว้ที่มือขวา
เปลวเพลิงสีทองลุกไหม้บนฝ่ามือ ดูแล้วเหมือนไม่มีพลังทำลายล้าง แต่ให้ความรู้สึกสูงส่งบางอย่าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้