“อืม” เจาเยี่ยตอบเบาๆ หยิบสคริปต์ที่อยู่ข้างกายขึ้นมาอ่านต่อจากที่ค้างไว้
“นี่เป็สคริปต์ความฝันที่ล่องลอยใช่รึเปล่า? ” กู้หลานอันถาม พอเห็นเจาเยี่ยพยักหน้าก็ถามต่อว่า “ท่องบทไปถึงไหนแล้ว? ”
“ยังเหลืออีกเยอะเลย” เจาเยี่ยพูด
“ไม่ต้องรีบ ท่องตอนข้างหน้าก่อน ของตอนหลังใกล้ถ่ายทำแล้วสามารถอ่านคร่าว ๆก่อนก็ได้ ถึงเวลาค่อยจุดธูปไหว้พระเอา”
“อืม ไม่ได้รีบ”
“ตัวละครศึกษาให้ละเอียด...”[1]
“ก็ยังได้” หลังจากตอบคำถามสุดท้ายของกู้หลานอันเสร็จเจาเยี่ยชำเลืองมองไปยังสคริปต์ที่ไม่เพียงแต่อ่านไปไม่ถึงไหนแถมบทที่อ่านมาแล้วก็ลืมไปอีก กู้หลานอันเงยหน้าขึ้นมองแต่ไม่รู้เพราะอะไรทำให้เขาหัวเราะออกมาอย่างสดใส(ภายในใจของกู้หลานอัน : ในที่สุดภรรยาก็สนทนากับฉันไปเยอะขนาดนั้นแล้ว มีความสุขจังเลย~) สคริปต์ถูกปิด มีเสียงเ็าพูดขึ้นมาว่า “กู้หลานอัน...”
เมื่อได้ยินเจาเยี่ยเรียกชื่อตัวเองกู้หลานอันก็หัวเราะได้งี่เง่าเข้าไปอีก [2] นั่งตัวตรงแล้วขัดจังหวะเจาเยี่ยว่า “เรียกฉันว่าเด็กน้อยก็ได้” ถึงยังไงเมื่อชาติที่แล้วตอนนายมีความสุขนายก็ชอบเรียกฉันแบบนี้
เด็กน้อย? เจาเยี่ยมองกู้หลานอันแล้วสงสัยเล็กน้อยนี่เป็ชื่อเล่นของเขาเหรอ? ความจริงก็เข้ากับเขามากเขาดูเหมือนเด็กน้อยจริง ๆ ในใจเห็นด้วยแต่เจาเยี่ยกลับไม่ยอมเรียกเขาตามที่เขาปรารถนายังคงเรียกชื่อจริงของเขา “กู้หลานอัน นายนั่งพอหรือยัง? ”
“อะไรนะ? ” กู้หลานอันไม่เข้าใจ
“นายไม่ได้พูดว่าแค่จะเข้ามานั่งสักครู่หรอกเหรอ? ตอนนี้ก็นั่งไปสักพักแล้ว จะไปได้รึยัง? ” เจาเยี่ยอ่านสคริปต์ไปด้วยพลางถามไปด้วย
“ฉัน...ฉันยังนั่งไม่พอ”กู้หลานอันบ่นพึมพำอย่างข้องใจมือจับโซฟาไว้แบบอัตโนมัติ สายตาลอยไปยังนาฬิกาบนผนังห้อง บอกว่าเป็เวลา 11.00 น. แล้ว กะพริบตาแล้วคลายมือออก ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับเจาเยี่ยด้วยเสียงชื่นมื่นว่า “งั้นฉันไปละ นายอ่านสคริปต์ต่อเถอะ” พูดจบก็เดินออกไปทางประตูด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เจาเยี่ยมองเขาที่อารมณ์เปลี่ยนไปมาเป็ชุดแล้วรู้สึกปวดหัว คนคนนี้เมื่อสักครู่ยังดูไม่ยินยอม แต่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็เห็นชอบเสียแล้วเขาเป็โรคจิตเภทรึเปล่า?
เมื่อเดินไปข้างประตู ด้วยความเคยชินกู้หลานอันยกมือขึ้นกดรหัสจังหวะที่วางมือลงไปและจะกด หัวใจแทบสะดุ้งหันหลังจะมองว่าเจาเยี่ยเห็นทิศทางที่เขาวางมือลงไปหรือไม่ เจาเยี่ยก็ยื่นมือมาตรงแผงรหัสพอดิบพอดีทั้งสองอยู่ในอิริยาบถที่หวานแหวว บวกกับเจาเยี่ยนั้นสูงกว่ากู้หลานอันพอสมควรมองไปราวกับว่ากู้หลานอันกำลังอยู่ในอ้อมอกเจาเยี่ย
กู้หลานอันหน้าแดงขึ้นมาทันใด นี่มันกำแพงตึง [3] ใช่ไหม?!!! เงยหน้าขึ้นมองเจาเยี่ยด้วยความรักที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายแต่กลับเห็นเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรนอกจากยืนจ้องและยืดตัวขึ้นพูดว่า “ประตูเปิดแล้ว”
“อืม งั้นฉันไปล่ะ” กู้หลานอันยิ้มเขิน ๆหมุนตัวกลับแล้วจากไป เจาเยี่ยปิดประตูตามหลัง มองแขนตัวเองมุมปากยกขึ้นอย่างไม่เด่นชัดเล็กน้อย “ยังเป็เด็กน้อยจริง ๆ ด้วย”
ออกจากบ้านเจาเยี่ย กู้หลานอันยังไม่ได้กลับเข้าบ้านแต่เขาสวมแว่นกันแดดไปซื้ออาหารและข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตถึงบ้านจะใหม่แต่อุปกรณ์ทำครัวครบครัน พลางคิดในชาติก่อนเวลาที่เจาเยี่ยว่างอยู่บ้านก็มีนิสัยชอบกินข้าวข้ามมื้อ คาดว่าวันนี้เขาก็ยังไม่ได้กินอย่างแน่นอนเมื่อถึงบ้านกู้หลานอันก็รีบลงมือทำอาหาร
นึกว่ากู้หลานอันไปแล้วตัวเองจะได้อ่านสคริปต์อย่างสบายใจแต่ยังไม่ทันได้จับดี ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์ชวนไปกินข้าวจากหลินเซวียน
“ไม่กิน ฉันกินไปแล้ว” เจาเยี่ยตอบปฏิเสธ
“กินไปแล้ว? กินอะไรไป? คงไม่ใช่ขนมปังนะ” หลินเซวียนไล่ถาม
“ไม่ใช่” เจาเยี่ยตอบกลับในระหว่างที่เขากำลังจะพูด เจาเยี่ยก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าไม่มีเื่อะไรฉันวางก่อนนะ”
“มี ๆๆ ” หลินเซวียนรีบตอบ “ในเมื่อนายกินมื้อเช้าไปแล้ว งั้นพวกเรานัดกินข้าวมื้อเย็นละกัน” พูดจบ ด้วยความกลัวว่าเจาเยี่ยจะปฏิเสธอีก ก็พูดเสริมเข้าไปอีกว่า “ถ้าหากนายไม่อยากออกจากบ้าน งั้นฉันจะซื้อไปฝากนายเอง”
“ช่าง...” เจาเยี่ยกำลังจะปฏิเสธหลินเซวียนก็พูดขัดเขาขึ้นมาว่า “งั้นก็เอาตามนี้นะตอนเย็นเจอกัน” แล้วก็วางสายไป
เจาเยี่ยมองหน้าจอมือถือ นวดขมับไปมาอย่างระอา แค่กู้หลานอันคนเดียวก็ก่อความวุ่นวายมากพอแล้วตอนนี้ยังมีหลินเซวียนเพิ่มมาอีกหนึ่งคนคืนนี้ถ้าทั้งสองคนได้เจอหน้ากันจะวุ่นวายขนาดไหน พอคิดถึงตรงนี้เจาเยี่ยก็หลุดยิ้มออกมา เขาเป็คนที่ชอบความสงบ คงวุ่นวายใจน่าดูแต่ไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใดเขากลับรู้สึกมีความสุขอย่างน่าประหลาดใจ [4]
เขาหัวเราะออกมา ดูเวลาอีกทีก็เป็เวลาสาย ๆ แล้ว เจาเยี่ยต้มน้ำไปหยิบขนมปังจากตู้ มั่ว ๆ ไปจนผ่านมื้อเที่ยงแบบง่าย ๆ อีกมื้อแล้วไปวิ่งบนลู่วิ่งต่อสักพัก อาบน้ำ หยิบสคริปต์เตรียมตัวจะไปนอนกลางวันเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น เจาเยี่ยไม่ชอบให้ใครรบกวน โดยทั่วไปผู้จัดการ ผู้ช่วยฯถ้าไม่มีธุระก็จะไม่มาหาเขา หลินเซวียนนอกจากเวลาเลิกงานก็ไม่มีทางมาหาเหมือนกันแทบไม่ต้องดู เขาก็เดาได้ว่าเป็ใคร หยิบสคริปต์ ในใจคิดว่าจะไม่สนใจแล้วเข้าห้องไปนอนแต่ขากลับหันไปทางประตู เดินถึงข้างประตู เห็นกู้หลานอันคาดที่คาดผมหูแมวสีเทาผูกผ้ากันเปื้อนสีเทายืนยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่หน้าประตู เจาเยี่ยตกตะลึงกู้หลานอันเป็คนมีรูปลักษณ์น่าหลงใหลมาั้แ่เกิดอยู่แล้วแล้วยิ่งมาแต่งแบบนี้อีก กลับทวีความน่ารักขึ้นหลายระดับทำเอาคนแทบอยากจับปู้ยี่ปู้ยำ แต่ว่าการแต่งตัวแบบนี้ในสายตาเจาเยี่ยที่มีภูมิต้านทานเื่สวย ๆ งาม ๆ กลับรู้สึกแปลกไปอีกแบบยิ่งไปกว่านั้น กู้หลานอันยังแต่งตัวแบบนี้แล้วมาหาเขา
หลังจากลังเลอยู่นานหลายวินาทีเจาเยี่ยก็เปิดประตูจากมุมที่กู้หลานอันกดกริ่งแต่ครั้งนี้เขาแค่แง้มประตูนิดเดียว ไม่เปิดโอกาสให้กู้หลานอันมุดเข้ามาได้อีก
“มีธุระอะไรเหรอ? ” เจาเยี่ยถามพลางจ้องไปที่หูแมวของเขา
“กำลังทำตัวเป็เพื่อนบ้านใหม่ของนายไงฉันอยากจะเชิญนายกินข้าวสักมื้อเพื่อกระชับความสัมพันธ์ฉันเข้าครัวทำกับข้าวเองเลยนะ” กู้หลานอันเงยหน้า ทำทีเหมือนอ้อนขอคำชมเชย
“ขอบคุณ ไม่ต้อง ฉันกินไปแล้ว” เจาเยี่ยตอบปฏิเสธ
“กินไปแล้ว ก็กินเพิ่มได้อีกนี่ กินข้าวไม่ลงก็กินกับหน่อยก็ได้ฉันทำไว้เยอะมาก นายไม่ไป ฉันกินไม่หมด” กลัวเขาปิดประตูกู้หลานอันยื่นมือไปที่ขอบประตูพลางมองเขาแล้วพูดอย่างวิงวอนว่า “ไปกินหน่อยนะ แค่นิดเดียว ได้ไหม? ”
เจาเยี่ยไม่ได้พูดอะไร กะพริบตาแล้วหมุนตัวกลับเดินเข้าบ้านกู้หลานอันนึกว่าเขาจะปฏิเสธ หน้ามุ่ย พิงกายอยู่ที่ข้างประตู ยิ้มอย่างชั่วร้ายเล่นลูกไม้ข่มขู่อย่างหน้าด้าน ๆ ว่า “วันนี้ถ้านายไม่ไปกินข้าวกับฉันทางโน้นฉันจะกดปิดประตูด้วยตัวเองแล้วให้ประตูมันหนีบฉันให้ตายอยู่ตรงนี้”
ฟังเขาพูดแล้ว เจาเยี่ยที่เดินจนถึงโต๊ะวางสคริปต์ลงในขณะที่ก้มหน้าอยู่นั้นเขายิ้มออกมาอย่างสดใสเงยหน้าขึ้นแล้วเดินออกไปทางประตูสีหน้าเก็บอารมณ์หรี่ตาลงต่ำพูดกับกู้หลานอันว่า “ประตูอันนี้หนีบยังไงนายก็ไม่ตายหรอกอย่างมากสุดก็แค่ทำให้นายพิการไปตลอดชีวิต”
“ทำไมมันถึงได้รุนแรงขนา…?” กู้หลานอันกำลังจะแย้งทันใดนั้นเขาก็เข้าใจถึงความหมายที่เจาเยี่ยพูด หน้าก็แดงขึ้นมามองเจาเยี่ยแล้วบ่นว่า “เจาเยี่ย นายร้ายมาก”
“ร้ายมาก? ฉันพูดอะไรงั้นเหรอ? นายคิดบิดเบี้ยวไปเองรึเปล่า?” เจาเยี่ยตอบและถามเขากลับ
เชิงอรรถ
[1] ต่อจากนี้เป็การตัดบท กู้หลานอันถามตอบปัญหากับเจาเยี่ยเื่สัพเพเหระเป็สิบคำถามอีกทั้งเจาเยี่ยก็ตอบแบบกระชับเป็พิเศษอย่างอดทน
[2] (นักเขียน: แคก ๆ ใช้คำศัพท์ไม่เหมาะสม)
[3] 壁咚 หมายถึงฝ่ายชายต้อนฝ่ายหญิงจนชิดกำแพง มือข้างหนึ่งยันกำแพงลงไปเสียงดังตึง ทำให้อีกฝ่ายไม่มีทางหนี
[4] (นักเขียน:เพราะว่าเทียบกันแล้วคนสงบอย่างเธอดันไปชอบคนที่ไม่สงบมากกว่าน่ะสิ~)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้