คำพูดของเซี่ยชิงซานทำให้จี๋เหยียนหยุดชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไปจนดูไม่ค่อยดีเล็กน้อย เขาถูกเซี่ยชิงซานกล่าวว่ากำลังสาปแช่งเฒ่าประมุข จึงรู้สึกโกรธมาก
“ศิษย์น้องรองไยพูดเช่นนี้? ที่ศิษย์น้องสามพูดมาก็เพื่อให้วังเทพโอสถมีความสามัคคีกัน” ขณะนั้นเห็นฟู่หยางเดินออกมาพร้อมกวาดตามองเซี่ยชิงซานด้วยสายตาคมกริบแฝงความหนาวเหน็บ พร้อมกล่าวว่า “พวกข้าก็หวังว่าท่านอาจารย์จะอยู่คู่บ้านคู่เมืองตลอดไป ไม่มีวันหมดอายุขัย แต่เพื่อที่จะให้อนาคตของวังเทพโอสถดียิ่งขึ้น จำต้องมีคนดูแลและควบคุมวังเทพโอสถใน่นี้”
“ที่ท่านพูดกล่าวมาคงจะบอกว่าผู้ดูแลคนนั้นก็คือท่านสินะ?” เซี่ยชิงซานยิ้มจาง ๆ คล้ายเข้าใจศิษย์พี่ใหญ่ฟู่หยางเป็อย่างดี
“แน่นอน” ฟู่หยางเชิดหน้าตอบด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ไม่ว่าจะด้านวรยุทธ์หรือวิถีโอสถ ข้าฟู่หยางก็ล้วนแกร่งกว่าเ้าเซี่ยชิงซาน บุตรธิดาข้ายังฝึกอยู่ที่สำนักศึกษาเสินเจียง มีพร์ล้ำเลิศ ไม่เหมือนบุตรชายของเ้า ไม่ว่าอย่างไรผู้ดูแลคนนี้จะต้องเป็ของข้า”
“จงฟังคำสั่งของท่านประมุข!” ขณะที่ฟู่หยางและเซี่ยชิงซานปะทะฝีปากกัน จู่ ๆ มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากในถ้ำ จากนั้นเห็นชายวัยกลางคนปรากฏตัวที่หน้าถ้ำ พร้อมถือคำสั่งประมุข เขากวาดสายตาอันเยือกเย็นมองทุกคนราวกับว่ารังเกียจคนเหล่านี้
“ทำไม? เฒ่าประมุขใกล้สละตำแหน่ง คำสั่งประมุขก็ควบคุมพวกเ้าไม่ได้แล้วหรือ?” ชายวัยกลางคนผู้นั้นเห็นว่าทุกคนยังเงียบกริบก็กล่าวเช่นนั้นด้วยท่าทีโมโห
“ข้ามิกล้า” ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้คนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ฟู่หยางกล่าวพร้อมโค้งคำนับเล็กน้อยให้ชายวัยกลางคน
“ในเมื่อไม่กล้า เห็นคำสั่งประมุขแล้วเหตุใดยังไม่คุกเข่าอีก?” ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวพร้อมมีไอเย็นแผ่ออกจากร่างกาย จากนั้นทุกคนคุกเข่าลงพื้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านประมุขมีคำสั่งให้เปิดแดนลับยอดเขาเทพโอสถ โดยผู้ที่จะเข้าไปในแดนลับได้จะต้องปลุกิญญาาขั้นเหลืองและมีอายุไม่เกิน 20 ปี ส่วนศิษย์ของวังเทพโอสถก็ใช้กฎเดียวกับผู้อื่น ในการชิงมรดกแดนลับเช่นกัน” ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมถือคำสั่งประมุข
ผู้คนได้ยินเช่นนั้นต่างตาเป็ประกาย แดนลับยอดเขาเทพโอสถคือแดนศักดิ์สิทธิ์ทดสอบเพียงหนึ่งเดียวของวังเทพโอสถ ซึ่งมันไม่ได้เปิดมาหลายปีแล้ว บัดนี้เฒ่าประมุขที่ใกล้สิ้นอายุขัยรับสั่งให้เปิดแดนลับยอดเขาเทพโอสถ ไม่รู้ว่าเฒ่าประมุขคิดจะทำอะไรกันแน่?
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ในแดนลับยอดเขาเทพโอสถมีมรดกของประมุขคนก่อน ๆ ทิ้งไว้ ทั้งยังไม่อนุญาตให้คนนอกวังเข้าแดนลับ จะต้องเป็ศิษย์แห่งวังเทพโอสถที่มากพร์เท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเฒ่าประมุขจะรับสั่งให้เปิดแดนลับโดยให้เข้าไปได้ทุกคน นี่ถือว่าเป็การฝ่าฝืนกฎที่มีมาตลอด
“ในเมื่อท่านอาจารย์ให้คนนอกวังเข้าแดนลับได้ ไม่ใช่ว่าเป็การละเมิดกฎที่มีมาแต่โบราณหรอกหรือ?” ฟู่หยางเอ่ยถามชายวัยกลางด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามต่อไปว่า “อีกเื่ ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงประมุขคนต่อไปหรือไม่?”
“ท่านประมุขเป็คนเขียนคำสั่งนี้เอง จะขัดเจตจำนงของท่านได้เยี่ยงไร ส่วนประมุขคนต่อไปข้าไม่ทราบ” ชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดของฟู่หยาง สีหน้าพลันเย็นเยือกขึ้น แม้ฟู่หยางผู้นี้้าตำแหน่งประมุขคนต่อไป แต่ก็ไม่จำเป็ต้องพูดตรง ๆ ถึงอย่างไรเฒ่าประมุขก็สั่งสอนเลี้ยงดูฟู่หยางมา ตอนนี้ฟู่หยางไม่เพียงแต่ไม่สนใจเฒ่าประมุข แต่นึกเพียงตำแหน่งประมุข ประหนึ่งสัตว์เืเย็นที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ
สีหน้าของฟู่หยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เมื่อคิดจะพูดบางอย่าง กลับมีเสียงที่น่าเกรงขามดังออกมาจากในถ้ำ ประหนึ่งเสียงระฆังสั่นคลอนแก้วหูของผู้คนอย่างไรอย่างนั้น
“ฟู่หยาง ข้ายังไม่ลงจากตำแหน่ง เ้าก็เริ่มแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว หรืออยากก่อฏ?”
ฟู่หยางได้ยินเสียงนี้ใบหน้าพลันเปลี่ยนสีเขียวคล้ำ ดวงตาคมกริบเผยประกายแสงเยือกเย็น และกล่าวว่า “ศิษย์มิกล้า!”
“ในเมื่อไม่กล้า ก็จงทำตามที่ข้าสั่ง” เสียงที่เกรงขามดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เฒ่าประมุขออกโรงเอง ฟู่หยางย่อมหวาดกลัวเป็ธรรมดา จากนั้นคำสั่งประมุขแพร่กระจายไปทั่วสารทิศ ไม่นานก็แพร่ไปทั่วทุกมุมของทางตอนตะวันตก ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากมุ่งหน้าสู่วังเทพโอสถ เพียงเวลาไม่กี่ชั่วยามก็มีคนมารวมตัวกว่าพันคน คนเหล่านี้มาที่วังเทพโอสถและยังได้กลิ่นทะแม่ง ๆ
นอกจากนี้มีเงาร่างอยู่นับไม่ถ้วนที่ใต้เชิงเขาเทพโอสถ พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาสูงระฟ้าด้วยแววตาแน่วแน่
“เปิดแดนลับยอดเขาเทพโอสถ ข้าได้ยินมาว่าในแดนลับมีมรดกของประมุขวังเทพโอสถคนก่อน ๆ ทิ้งไว้ด้วย เพราะงั้นจึงมีคนมากมายให้ความสนใจ อัจฉริยะทั่วทั้งตอนตะวันตกของเมืองหลวงมารวมตัวกันที่นี่ การแข่งขันในแดนลับใกล้เริ่มขึ้นแล้ว!” มีชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวด้วยความตื่นเต้น
“ใช่แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากของตอนตะวันตกเมืองหลวงมากันแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน สำนักศึกษาเสินเจียง และกองกำลังอื่น ๆ ก็มาด้วย ช่างเป็ยุครุ่งเรืองเสียจริง” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเสริม ทำให้คนไม่น้อยตาเป็ประกายพลางคาดหวังกับแดนลับยอดเขาเทพโอสถ
จากนั้นทุกคนเดินขึ้นไปยังยอดเขาเทพโอสถ เย่เฟิงและนักดาบแขนเดียวปะปนอยู่ในฝูงชน โดยที่ไม่ดูสะดุดตาแต่อย่างใด ไม่นานผู้คนก็เดินขึ้นบันไดมาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาเทพโอสถ ที่นี่รายล้อมด้วยเมฆหมอก สูงระฟ้า พอมองลงไปก็จะเห็นเพียงทะเลเมฆสีแดง และมองไม่เห็นพื้นดินด้านล่างได้อย่างชัดเจน เมื่อผู้คนมาเยือนดินแดนแห่งนี้ก็อดตะลึงไม่ได้ แต่จู่ ๆ อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้นสูง พร้อมกับมีเปลวไฟลอยในอากาศ เหมือนปกคลุมร่างผู้คน
“ยอดเขาเทพโอสถสมกับเป็แดนศักดิ์สิทธิ์ พลังธาตุไฟที่นี่รุนแรงยิ่งนัก ไม่รู้ว่าในวังเทพโอสถจะมียาคืน์หรือไม่ ถ้ามี ข้าต้องหาวิธีตามหาให้ได้ เพื่อให้ซ่งซินหลิงฟึ้นขึ้นมาโดยเร็ว” เย่เฟิงคิดในใจขณะมองทะเลเมฆสีแดงรอบ ๆ ซึ่งสาเหตุที่เขามายังวังเทพโอสถ ส่วนใหญ่เป็เพราะยาคืน์ แม้วังเทพโอสถจะไม่มียานี้ แต่ก็ถือว่าเป็การสืบหาข้อมูลไปในตัว และการเดินทางครั้งนี้ยังมีนักดาบแขนเดียวอยู่ข้างกายเย่เฟิง ถึงเขาจะพูดน้อยแต่ก็เหมาะกับภาพลักษณ์ที่เ็าของเขา
เมื่อมาถึงยอดเขา พลันมีสายตาเย็นเยียบหลายคู่มองมาที่เย่เฟิง เย่เฟิงจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นคนรู้จักหลายคนอยู่ไม่ไกล นั่นก็คือนี่จ้านเทียนผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 2 ในรายนามขั้นรวมชี่แห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน และจงเทาอันดับที่ 6 ก็อยู่ด้วย แต่ไม่เห็นวี่แววของจ้าวเฉิน ส่วนอีกสองสามคนที่เหลือเย่เฟิงไม่รู้จัก น่าจะเป็หนึ่งในคนของกองกำลังที่เย่เฟิงล่วงเกิน ทว่าเย่เฟิงไม่สนใจและเมินคนเ่าั้
“นี่จ้านเทียนก็มาด้วย ยังมีจงเทาอีก พวกเขาคือผู้ฝึกยุทธ์รายนามขั้นรวมชี่แห่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แดนลับยอดเขาเทพโอสถดึงดูดกระทั่งพวกเขา ที่แห่งนี้กลายเป็ศูนย์รวมของเหล่าอัจฉริยะไปแล้ว!” มีคนผู้หนึ่งดูเหมือนรู้จักรายนามแท่นศิลาเทียนเสวียนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ซึ่งคนที่จะเข้าไปอยู่ในนั้นล้วนเป็คนไม่ธรรมดา ครั้งนี้มีสองคนในรายนามขั้นรวมชี่มาที่นี่ แล้วจะไม่เป็จุดสนใจของผู้คนได้อย่างไร?
“เทียบกับสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ศิษย์สำนักศึกษาเสินเจียงที่มาก็พอ ๆ กัน สามในสิบอันดับแรกในรายนามเสินเจียงของสำนักศึกษาเสินเจียงก็มา พวกเขามากพร์และทรงพลัง ในนั้นมีอี้ชิงผู้อยู่อันดับที่ 3 เขาอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 ปลุกิญญาาที่สอง เขาเก่งมาก ๆ เป็บุคคลชั้นยอดที่แข่งกับนี่จ้านเทียนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้” มีคนหนึ่งกล่าวโดยดูเหมือนว่าเขารู้จักสำนักศึกษาเสินเจียงเป็อย่างดี
เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาเห็นอี้ชิงประชันกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 8 อีกฝ่ายมีพลังแก่กล้า ทว่าเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ อีกฝ่ายก็ถูกอี้ชิงฆ่าตายโดยไม่มีศพเหลือให้เห็น นับจากนั้นคนผู้นี้ก็เลื่อมใสศรัทธาอี้ชิงมาก คิดว่าอี้ชิงคือหนึ่งในยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่เก่งที่สุดแห่งเมืองหลวง
เย่เฟิงเองก็อดมองเหล่าคนของสำนักศึกษาเสินเจียงไม่ได้ เขาพบว่าชายหนุ่มชุดฟ้าที่ยืนอยู่ตรงกลางดูพิเศษกว่าคนอื่น ดวงตาล้ำลึกคู่นั้นเผยประกายแหลมคม คนผู้นี้อยู่ขั้นรวมชี่ที่ 6 เหมือนนี่จ้านเทียนและไม่ด้อยไปกว่านี่จ้านเทียนแม้แต่น้อย จากนั้นสายตาเลื่อนไปมองนี่จ้านเทียนที่อยู่ใกล้ ๆ พลางมีเจตจำนงต่อสู้ลุกโชน
เย่เฟิงรู้ว่าชายชุดฟ้าผู้นี้ก็คืออี้ชิงที่ทุกคนพูดถึง เป็คนไม่ธรรมดาอย่างที่คิด ลมปราณแก่กล้า พลังต้องน่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน แต่อี้ชิงและศิษย์สองสามคนของสำนักศึกษาเสินเจียงรับรู้ได้ว่าเย่เฟิงกำลังมองตนอยู่ พวกเขาจึงหันไปมองเย่เฟิง เมื่อเห็นว่าเย่เฟิงอยู่จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายา ก็มองด้วยสายตาดูถูก ก่อนจะเห็นพวกเขาละสายตาจากไป เหมือนเห็นเย่เฟิงเป็คนต่ำต้อย
“ท่านประมุขสั่งให้เปิดแดนลับยอดเขาเทพโอสถ ทุกท่านและคนภายในวังเทพโอสถ หากอายุไม่เกิน 20 ปีสามารถเข้าแดนลับได้หมด เพื่อชิงมรดกที่ประมุขทิ้งไว้ สำหรับทุกท่านนับว่าเป็โอกาสครั้งใหญ่ หวังว่าทุกท่านจะคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี ๆ” ผู้าุโวังเทพโอสถเดินออกมา ก่อนจะกล่าวพลางกวาดตามองฝูงชน นี่ทำให้ผู้คนตาเป็ประกายและรู้สึกตื่นเต้น
แดนลับยอดเขาเทพโอสถเป็แดนศักดิ์สิทธิ์วังเทพโอสถ ที่นี่ไม่เคยเปิดให้คนนอกเข้า แต่บัดนี้เฒ่าประมุขวังเทพโอสถใกล้สิ้นอายุขัย สถานการณ์ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป
หลังจากนั้นทุกคนเริ่มถูกตรวจสอบอายุและระดับิญญาา ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าเกณฑ์ของวังเทพโอสถที่กำหนดไว้ ไม่นานนักก็ถึงตาของเย่เฟิงและนักดาบแขนเดียว
“นักดาบแขนเดียว อายุกระดูก 16 ปี ระดับิญญาาขั้นเขียว ผ่าน” ผู้ตรวจสอบกล่าว ผู้คนได้ยินเช่นนี้ก็ต่างหันมามองนักดาบแขนเดียว
“ิญญาาขั้นเขียว ไม่คิดว่าพร์ของนักดาบแขนเดียวจะแกร่งขนาดนี้!” ผู้คนคิดในใจด้วยความประหลาดใจ ถึงอย่างไรในหมู่พวกเขาก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้จักนักดาบแขนเดียว ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้น่าจะเป็คนของกองกำลังใดกองกำลังหนึ่ง แต่เหตุใดมีลักษณะของการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน และยังถูกตัดแขนเหลืออยู่ข้างเดียวเช่นนี้
ทว่าผู้คนก็ได้แต่สงสัยอยู่ในใจและรู้สึกสนใจนักดาบแขนเดียวขึ้นสองสามส่วน แม้แต่คนรุ่นเยาว์บางคนของวังเทพโอสถก็ยังถูกแสงแห่งิญญาาขั้นเขียวของนักดาบแขนเดียวดึงดูด หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มชุดจีนโบราณคนหนึ่งและหญิงสาวที่ดูโดดเด่นเป็พิเศษ สองคนนี้ถูกห้อมล้อมด้วยคนรุ่นเยาว์ของวังเทพโอสถ ประหนึ่งผู้สูงศักดิ์
“สองคนนั้นคือบุตรธิดาของศิษย์พี่ใหญ่มีนามว่าฟู่เจินและฟู่หยิง ทั้งสองมากพร์ สำเร็จวิถีโอสถั้แ่ยังเด็ก ขณะเดียวกันยังเป็ศิษย์อัจฉริยะของสำนักศึกษาเสินเจียง จึงได้รับความสำคัญจากสำนักศึกษาเสินเจียง อีกอย่างฟู่เจินผู้พี่ยังเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเสินเจียง เก่งทั้งด้านวรยุทธ์และด้านการปรุงยา” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะมองชายหญิงคู่นั้นที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนรุ่นเยาว์วังเทพโอสถด้วยสายตาอิจฉา
“ฟู่หยิงสวยงามยิ่ง เป็สาวงามแห่งเมืองหลวง หากได้หญิงเช่นนี้มาครอง ไม่ว่าให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะยอมทุกอย่าง” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวขณะมองหญิงสาวผู้งดงามคนนั้น ขณะเดียวกันยังมีสายตาหลายคู่จับจ้องไปที่หญิงผู้นั้น
เมืองหลวงนั้นมีหญิงงามทั้งหมดสิบคน แต่ละคนล้วนเป็สตรีผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ฟู่หยิงผู้นี้ก็คือหนึ่งในนั้น นางได้รับการเชิดชูจากชายหนุ่มมากมาย มีคนรักใคร่นับไม่ถ้วน
เย่เฟิงมองสองพี่น้องฟู่เจินฟู่หยิงแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาไป เพราะว่าถึงตาเขาตรวจสอบแล้ว
เย่เฟิงอายุ 15 ปี อายุกระดูกย่อมไม่มีปัญหา เมื่อถึงตอนทดสอบระดับิญญาา มีปีศาจัธรรมดาที่เรืองรองแสงสีเหลืองทองถูกปลดปล่อยที่ด้านหลังของเย่เฟิง ใช่แล้วเย่เฟิงจงใจปกปิดพลังที่แท้จริง เขาไม่อยากให้ตัวเองโดดเด่นเกินไป
“เย่เฟิง อายุกระดูก 15 ปี ระดับิญญาาขั้นเหลือง ผ่าน” ผู้ตรวจสอบกล่าว เมื่อเขาเห็นเย่เฟิงอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาก็อดชะงักนิ่งไม่ได้ คิดในใจว่า “แดนลับยอดเขาเทพโอสถเป็สถานที่ที่อันตรายอย่างมาก แต่เด็กคนนี้อยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายา ก็เท่ากับเข้าไปรนหาที่ตายไม่ใช่หรือ?”
แม้จะคิดในใจเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ได้พูดมันออกไป นี่คือสิ่งที่เย่เฟิงเลือก เขาไม่อยากก้าวก่าย
จากนั้นเย่เฟิงเดินไปรวมกลุ่มกับคนที่ผ่านการตรวจสอบ พลันดึงดูดสายตาหลายคู่ทันทีที่มาถึง เพราะว่าที่นี่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาเพียงคนเดียว แล้วจะไม่ให้ผู้คนสนใจได้อย่างไร
“คนผู้นี้เป็ใคร อยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาแต่มาสร้างความวุ่นวายที่นี่ เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีสถานะอะไรหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์สำนักศึกษาเสินเจียงคนหนึ่งกล่าวเสียงเย็น ขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
“ขั้นบ่มเพาะกายา คงอยากตายมากสินะถึงมาที่นี่ ไม่รู้ว่าหมอนี่กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” มีคนข้าง ๆ กล่าวเสริม ทำให้ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างหันมามองเย่เฟิงด้วยสายตาดูิ่ และกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันและเหยียดหยาม
ผู้ที่มาเยือนยอดเขาเทพโอสถแห่งนี้ล้วนเป็ผู้มีความสามารถยอดเยี่ยม ระดับการบ่มเพาะต่ำสุดอยู่ขั้นรวมชี่ที่ 1 แต่บัดนี้พวกเขาพบว่ามีสวะขั้นบ่มเพาะกายาปะปนอยู่ด้วย แล้วจะไม่ให้พวกเขายิ้มเยาะได้อย่างไร
“น่าสนใจ” ขณะนั้นมีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากด้านวังเทพโอสถ ทำให้ผู้คนชะงักนิ่งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองทางนั้นอย่างอดไม่ได้
“มีคนแบบนี้ย่างกรายเข้ามาที่วังเทพโอสถข้าั้แ่เมื่อไรกัน? ถึงเ้าจะอยู่ขั้นบ่มเพาะกายา แต่การบ่มเพาะพลังมันไม่ง่ายเลย ข้าขอแนะนำเ้าให้ออกจากไปที่นี่ซะ หากเข้าสู่แดนลับแล้ว เ้าคงได้ตายศพไม่สวยแน่!”
ผู้พูดก็คือฟู่หยิง ดวงตางามคู่นั้นกำลังมองมาที่เย่เฟิง แม้จะแนะนำให้เย่เฟิงถอนตัว แต่คำพูดนั้นกลับเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่งและโอหัง นางฟู่หยิงคือหญิงงามแห่งวังเทพโอสถ มีโฉมสง่างดงาม ฐานะไม่ธรรมดา นางย่อมมีสิทธิ์สั่งสอนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาอย่างเย่เฟิง
“ขอบใจมาก! แต่ข้าตัดสินใจแล้ว และจะเข้าแดนลับพร้อมกับสหาย” เย่เฟิงหันไปมองฟู่หยิงพลางคิ้วอดขมวดเข้าหากันเล็กน้อยไม่ได้ ดูเหมือนไม่ชอบน้ำเสียงและท่าทีของฟู่หยิง