หลังอาหารเช้าแล้ว หลัวจิ่งนำหลัวสือซานออกจากบ้านสกุลหู
ในหมู่บ้านวั้งหลินยามเช้าตรู่เงียบสงัดและสุขสงบ ควันจากปล่องไฟลอยล่องจากบ้านเรือนแต่ละหลังไม่น้อย มีเสียงสุนัขเห่าแว่วออกมาบ้างเป็บางคราว
ใต้ต้นมะเดื่อเก่าแก่ตรงทางเข้าหมู่บ้าน มีชาวบ้านที่ตื่นแต่เช้ามารวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว กำลังถกอะไรบางอย่างจนน้ำลายปลิวว่อน
หลัวจิ่งได้ยินเนื้อหามาแต่ไกล เป็ดังคาด เขากลายเป็จุดศูนย์กลางในการพูดคุยของคนพวกนั้นจริงด้วย
“ญาติห่างๆ ผู้นั้นของภรรยาฉางกุ้ยเป็ขุนนางใหญ่แล้ว”
“เป็เด็กหนุ่มผู้นั้นที่พักรักษาตัวอยู่บ้านนาง หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก สามปีก่อนยังเป็หนุ่มน้อยอยู่เลย”
“ได้ยินว่าตำแหน่งอยู่ขั้นสี่ด้วยนะ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก อยู่ชายแดนฆ่าชาวตาตาร์และหว่าชื่อไปมากมายเลยล่ะ”
“ฉางกุ้ยช่างมีวาสนาจริงๆ ผู้ใดจะคิดว่าเวลาสามปีคนเขาจะเดินขึ้นไปบนเส้นทางตำแหน่งสูงได้”
“ก็นั่นน่ะสิ ช่างเป็คนดีที่ได้รับผลตอบแทนที่ดีจริงๆ ขุนนางใหญ่ขั้นสี่เลยนะ ระดับขั้นสูงกว่านายท่านในอำเภออีก”
“…ว้าว สกุลหูสุนัขระกาเยี่ยมวิมานแล้ว”
หางตาของหลัวจิ่งกระตุก ชาวบ้านพวกนี้ว่างเกินไปแล้วใช่หรือไม่ พอดีเลย เขา้าให้พวกนั้นช่วยทำเื่บางอย่าง จะได้ไม่เหมือนผู้หญิงที่ชอบนินทาว่าร้ายทั้งวัน ปากมากไม่หยุด
บรรดาชาวบ้านพบเห็นพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว จึงรีบปิดปากลงทีละคนๆ ทันที
เขาก้าวย่างสุขุม ผ่อนคลาย รูปร่างสูงใหญ่ เครื่องหน้าหล่อเหลาสง่างาม บุคลิกลักษณะเต็มไปด้วยความองอาจผ่าเผย ใบหน้าไร้อารมณ์โกรธแต่ยังดูน่าเกรงขาม
หลัวสือซานลักษณะท่าทางสูงตรง มั่นคงดุจขุนเขา ใบหน้าเคร่งขรึมจากการผ่านสนามรบมานานปี สายตากวาดผ่านอย่างนุ่มนวล แต่ชาวบ้านในสถานที่นั้นล้วนเกิดความหนาวสั่น
มุมปากหลัวจิ่งยกรอยยิ้มขึ้นบางๆ หันไปพยักหน้าทางกลุ่มคนเล็กน้อย นับเป็การทักทาย แม้เมื่อก่อนเขาอยู่หมู่บ้านวั้งหลินมักเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แต่คนที่รู้จักเขาก็มีไม่น้อยเช่นกัน
ต่อไปอาจต้องติดต่อคบค้าสมาคมกับทุกคนในหมู่บ้านก็ได้
ชาวบ้านที่ได้รับความเคารพอย่างไม่คาดฝันในฉับพลัน ต่างพากันโค้งกายทำความเคารพให้เขา
หลัวจิ่งโบกมือและเดินต่อไปข้างหน้า จุดมุ่งหมายของเขาคือบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน
ชาวบ้านที่ทราบว่าหลัวจิ่งมีธุระย่อมรุดหน้ามาเคาะประตูบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อบอกกล่าว ครอบครัวจ้าวเหวินเฉียงจึงรีบมายืนอยู่หน้าประตูเพื่อต้อนรับเขา
“หัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ได้เจอท่านนานเลยนะขอรับ” หลัวจิ่งทักทาย
“โอ้ มิกล้ารับไว้ๆ ครอบครัวอันต่ำต้อยของพวกข้าขอแสดงความยินดีต่อนายท่านหลัว มีแขกผู้มีเกียรติมาเยือนช่างทำให้ข้าอิ่มเอมใจจริงๆ ขอรับ” จ้าวเหวินเฉียงระมัดระวังตัวเป็อย่างมาก เขาเคยพบขุนนางที่ใหญ่ที่สุดแค่นายอำเภอขั้นเจ็ดเอง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสี่นี้มาเยือนถึงบ้านเขาได้ ช่างเป็บรรพบุรุษทำเื่ดีไว้มากยิ่งนัก
จ้าวไป่ิยืนอยู่ด้านหลังผู้เป็ท่านปู่ของเขา เงยหน้ามองไปทางขุนนางขั้นสี่ที่อายุน้อยกว่าเขาอย่างระมัดระวัง
จ้าวไป่ิเคยพบหลัวจิ่ง เขาในตอนนั้นยังเป็เพียงเด็กชายหน้าตางามสง่าอยู่เลย ไม่เจอกันสามปี จากเด็กชายเปลี่ยนไปเป็ชายหนุ่มรูปงามลักษณะน่าเกรงขามร่างกายแข็งแรงเสียแล้ว
“หัวหน้าหมู่บ้านไม่จำเป็ต้องมากพิธีขอรับ ข้ามาครั้งนี้อยากจะถามสักหน่อย ป่าผืนนั้นทางตะวันออกของหมู่บ้านเป็ที่ดินของหมู่บ้านใช่หรือไม่?” หลัวจิ่งถามอย่างเปิดประตูก็เจอูเา [1]
“ป่าไม้นานาพันธุ์ด้านตะวันออก? เป็พื้นที่ของหมู่บ้านเราขอรับ” จ้าวเหวินเฉียงรีบพยักหน้า
“เช่นนั้นขายให้พวกข้าได้หรือไม่? ข้าอยากสร้างบ้านสักหลังในหมู่บ้าน แต่ดูไปแล้วมีเพียงที่ว่างของป่าผืนนั้นที่ดูค่อนข้างใหญ่สักหน่อย” หลัวจิ่งถูกใจที่ผืนนั้นั้แ่แรกแล้ว แม้ป่าไม้มากแต่หลังจากโค่นเสร็จก็สามารถปรับพื้นที่ออกมาได้เป็ที่กว้างใหญ่ผืนหนึ่งเลย
จ้าวเหวินเฉียงจ้องตาโต จิตใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้น จึงรีบถามขึ้น “นายท่านคิดจะสร้างบ้านที่หมู่บ้านวั้งหลินหรือขอรับ?”
ขุนนางใหญ่ขั้นสี่จะปักหลักอยู่หมู่บ้านวั้งหลิน ์แล้ว... นั่นเป็เกียรติยิ่งใหญ่เพียงใดกัน แค่คิดอย่างเดียวเขาก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่หยุด
“ใช่ขอรับ จะซื้อที่ดินและสร้างบ้านส่วนตัวแห่งหนึ่ง อย่างไรเสียทุกครั้งที่กลับมา ล้วนอาศัยอยู่บ้านท่านอารองหูไม่ค่อยสะดวกนัก” หลัวจิ่งอธิบาย
จ้าวเหวินเฉียงพยักหน้าติดๆ กัน “ได้เลย นายท่าน ป่าทั้งผืนนั้นล้วนเป็ของหมู่บ้าน หากท่านคิดจะใช้สร้างบ้าน เช่นนั้นข้าจะไปร้องขอให้ชาวบ้านช่วยกันขุดต้นไม้ทั้งหมดทันทีเลยขอรับ”
“ต้นไม้ต้องขุดแน่ แต่ขั้นตอนต่างๆ ยังต้องจัดการให้ดีก่อนแล้วค่อยมาขุดจะดีกว่าขอรับ”
“ใช่ๆ นายท่าน วันนี้พวกเราเข้าเมืองไปก็สามารถจัดการขั้นตอนได้เสร็จสิ้น ท่านโปรดวางใจ”
ตอนเที่ยงเมื่อโรงเรียนหยุดพัก ผิงอันและผิงซุ่นก็พุ่งกลับมาบ้านทันที
“พี่สามๆ พี่ยู่เซิงล่ะ?” ผิงซุ่นส่งเสียงะโ
เจินจูเขกหน้าผากเขาไปหนึ่งที “ะโอะไร มีมารยาทหน่อยได้ไหม”
ผิงซุ่นลูบหน้าผากพร้อมกับทำหน้ามุ่ย ทว่ายังปิดปากลงแต่โดยดี
“ท่านพี่ พี่ชายยู่เซิงล่ะ?” ผิงอันเห็นเขาถูกทำให้เหี่ยวเฉาลงไป จึงรีบยิ้มประจบและถามเสียงเบา
เจินจูชำเลืองมองสองคนอยู่หนึ่งที “เขาเข้าเมืองไปกับหัวหน้าหมู่บ้านแต่เช้าแล้ว ยังไม่กลับมาเลย”
หลัวจิ่งขี่ม้า และให้หลัวสือซานเร่งเกวียนล่อ ทั้งสองคนกับหัวหน้าหมู่บ้านร่วมเดินทางไปเมืองไท่ผิงด้วยกัน
“โธ่”
ผิงอันกับผิงซุ่นถอนหายใจด้วยความผิดหวังออกมาพร้อมกัน
“ผิงอัน เร็ว พาข้าไปดูดาบก่อน” ผิงซุ่นรีบจูงผิงอันไปหลังบ้าน
เจินจูยังไม่ให้ผิงอันมอบดาบแก่ผิงซุ่น สองคนอายุสิบเอ็ดและสิบสองปี ในสายตาของนาง กำลังในการควบคุมของพวกเขายังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะผิงซุ่นที่อุปนิสัยประมาทเลินเล่อ มีดดาบไร้ดวงตา เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดนางจึงอนุญาตเพียงให้ฝึกดาบภายใต้การดูแลของฟางเสิงหรืออาชิงเท่านั้น
ส่วนดาบของอาชิง ผิงอันมอบให้เขาไปนานแล้ว เพราะอาชิงมีอาจารย์ดูแล เจินจูเลยไม่ได้เป็กังวล
ผิงอันไม่เต็มใจเล็กน้อย เขาขอความช่วยเหลือจากหลัวจิ่งั้แ่เช้า หลัวจิ่งคิดว่านางปกป้องเด็กสองคนมากเกินไป แต่เจินจูชำเลืองมองเขาอย่างเ็าหนหนึ่ง เขาจึงเปลี่ยนจุดยืนความคิดไปทันที
นางทำได้เพียงปลอบใจผิงอัน รอให้เขาได้รับการยินยอมจากอาจารย์ฟางก็สามารถหยิบดาบได้แล้ว
ไม่ผิด... เจินจูใคร่ครวญครั้งแล้วครั้งเล่า คิดให้ฟางเสิงทำการประเมินเพื่อทดสอบ หากสามารถผ่านมาตรฐานไปได้ ค่อยให้พวกเขาใช้มีดดาบของจริงเหล่านี้
เจินจูไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขา ขอแค่พวกเขาไม่หยิบดาบออกมาวิ่งเล่นไปทั่วแล้วกวัดแกว่งอยู่ในลานบ้าน นางย่อมเห็นด้วยแน่
ไม่รู้ว่าหลัวจิ่งไปทำอะไรกับหัวหน้าหมู่บ้านแต่เช้า ลึกลับนัก พอถามเขา เขาเพียงยิ้มและกล่าวว่ารอเขากลับมาก็รู้เอง
ชิ... เ้าหมอนี่ เพิ่งกลับมาก็คิดจะแอบทำอะไรเสียแล้วหรือ
นางเดินไปทางหลังบ้าน เตรียมเข้าไปช่วยในห้องครัว ตอนนี้ที่บ้านคนเยอะ ปริมาณอาหารย่อมมาก จ้าวหงยู่ไหนจะยุ่งกับเื่ของตัวเองอีก เวลาย่อมต้องเร่งรีบ
ทว่านอกบ้านกลับได้ยินเสียงร้องของม้าดังแว่วเข้ามา ทันใดนั้นเสี่ยวหวงก็ยืนขึ้นและะโออกไป
นางหมุนกายออกไปเปิดประตูลานบ้าน เห็นหลัวจิ่งดึงเชือกบังเหียนไว้พอดี เมื่อม้าหยุดที่หน้าประตูจึงพลิกตัวลงจากหลังม้า การกระทำสง่างามและผ่าเผย ว่องไวประณีตอย่างยิ่ง
เกวียนล่อของหลัวสือซานตามหลังมาติดๆ บนเกวียนกองสิ่งของเกลื่อนกลาดไว้ไม่น้อย
มีเสียงแว่วมาจากบนเกวียน เมื่อเจินจูมองไปก็เห็นห่านสีขาวตัวโตที่ถูกมัดไว้สี่ตัว
“ซื้อของมามากมายเพียงนี้จะทำอะไร?” นางหันไปถามหลัวจิ่ง
ดวงตาคู่งามของนางจ้องเบิกกว้าง หลัวจิ่งมองนางด้วยหัวใจสั่นไหว อดเดินเข้าไปใกล้นางสองก้าวไม่ได้
“ตอนบ่ายใช้เลี้ยงแขก”
“เลี้ยงแขก? อะไรกัน?” เจินจูงงงวยเล็กน้อย เมื่อวานไม่ใช่ว่าจัดงานเลี้ยงต้อนรับไปแล้วหรือ?
หลัวจิ่งยิ้มบางๆ หยิบเอาโฉนดที่ดินหนึ่งฉบับออกมาจากในอก
“หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวว่า ซื้อที่แล้วต้องเลี้ยงอาหาร”
เจินจูตื่นตะลึง เ้าหนุ่มนี่ซื้อที่หรือนี่ นางรีบรับมาดูอย่างละเอียด ซื้อมาจริงด้วย
เป็ป่าไม้นานาพันธุ์หนึ่งผืนข้างบ้านพวกนาง รวมพื้นที่ทั้งหมดเป็สี่สิบแปดหมู่ กั้นไว้ด้วยถนนหนึ่งเส้นใหญ่เท่านั้น เขายังซื้อูเาสองลูกด้านหลังป่านานาพันธุ์ผืนนี้ไว้อีกด้วย เป็ผู้ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายจริงๆ
“เ้าซื้อที่ผืนใหญ่เพียงนั้นมาทำอะไร?” นางถามอย่างตกตะลึง
หลัวจิ่งมองนาง บนใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน
“สร้างบ้านส่วนตัวสักหลัง ไว้เป็เพื่อนบ้านกับเ้า” เสียงทุ้มต่ำล้ำลึก
‘ตึกตักๆ’ หัวใจของเจินจูเต้นรัวเร็ว บนใบหน้าอดแดงขึ้นมาไม่ได้ เขากำลังสารภาพความรู้สึกหรือ?
ห่านบนเกวียนล่อส่งเสียงร้องออกมาไม่หยุด ดึงความสนใจจากคนสองคนที่มองกันและกันให้ได้สติขึ้น
หลัวสือซานแทบอยากจะบีบคอห่านสี่ตัวนี้เสียจริง ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าทำไมคุณชายถึงได้อาลัยอาวรณ์หมู่บ้านูเาเล็กๆ ที่เรียบง่ายเพียงนี้นัก
ที่แท้... ที่นี่มีแม่นางที่เขาชื่นชอบอยู่นี่เอง
“เข้าบ้านก่อนเถอะ กำลังจะเตรียมทานอาหารกลางวันพอดีเลย เื่เลี้ยงอาหารปรึกษากับพวกท่านแม่ข้าเถอะ” เจินจูคืนโฉนดให้กับเขา แล้วเปิดบานประตูลานบ้านสองข้างออกให้เกวียนล่อเข้ามา
การกระทำอันยิ่งใหญ่ของหลัวจิ่งทำให้คนทั้งสกุลหูตกตะลึงตาค้างจนกล่าวอะไรไม่ออกจริงๆ
หลี่ซื่อกับหูฉางกุ้ยหยิบเอาโฉนดที่ดินมาดูแล้วดูอีก
ส่วนผิงอันดีใจจนะโโลดเต้นขึ้นมา “พี่ชายยู่เซิง เช่นนั้นต่อไปท่านจะอยู่ที่หมู่บ้านวั้งหลินตลอดไปใช่ไหม?”
“อืม... ก็ไม่ใช่เช่นกัน แต่มีเวลาย่อมกลับมาอย่างแน่นอน” หลัวจิ่งมองเจินจูที่นั่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ ทีหนึ่ง
“แต่... ยู่เซิง ตอนนี้เป็ฤดูหนาว การสร้างบ้านจึงไม่สะดวกเพียงนั้น ทว่า่นี้หิมะยังตกปกคลุมไม่หมด หากจะปรับพื้นดินให้เรียบแล้วขุดฐานการก่อสร้างขึ้นก่อนยังพอทำได้” หูฉางกุ้ยกล่าว
“ไม่เร่งรีบเลยขอรับ หาคนมาปรับระดับพื้นที่ให้เรียบก่อน และก่อกำแพงพร้อมกับสร้างลานเล็กๆ แห่งหนึ่งขึ้นมา หลังจากนั้นค่อยทยอยสร้างตัวบ้านขึ้นก็ได้ขอรับ” หลัวจิ่งอธิบาย
ในภายหน้าหากเขาพาคนมาอาศัยบ้านสกุลหูอยู่ตลอดคงไม่ดี เดิมหลัวรุ่ยคิดจะส่งองครักษ์หนึ่งหน่วยมาคุ้มกันเขา แต่เขาปฏิเสธไป สกุลหูจัดหาที่พักให้คนมากมายเพียงนั้นไม่ไหวหรอก รอเขาสร้างบ้านขึ้นมาดีแล้วก็จะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
“พี่ชายยู่เซิง อยากเชิญท่านลุงหลิ่วมาช่วยท่านสร้างบ้านหรือไม่ บ้านของครอบครัวพวกข้าล้วนเป็ท่านลุงหลิ่วสร้างทั้งสิ้น สร้างได้ดียิ่งนัก” ผิงอันเสนอความคิดเห็นออกมาด้วยดวงตาเป็ประกาย
“ดีเลย อีกสักพักเ้าช่วยไปเชิญเขามาให้ข้าเป็อย่างไร?” หลัวจิ่งยิ้มแล้วถามเขา
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ผิงอันยืนขึ้นและพุ่งตัวออกไปอย่างไว เพียงไม่กี่ก้าวก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว
หลิ่วฉางผิงมาอย่างรวดเร็ว เขาได้ยินข่าวที่หลัวจิ่งกลับมานานแล้ว กำลังคิดอยู่ว่าจะมาเยี่ยมสักหน่อยดีหรือไม่ ขณะนี้คนเขาเป็นายทหารสู้รบอันสูงส่งขั้นสี่ ไปััเ้าขุนมูลนายหน่อยก็ดีเช่นกัน
คาดไม่ถึงเลยว่าขณะที่ยังสองจิตสองใจอยู่นั้น ผิงอันก็วิ่งเข้ามาเรียกเขา
เขารีบตามไปด้วยความดีใจอย่างยิ่ง ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าจะให้เขาไปทำอะไร
เมื่อหลิ่วฉางผิงไปถึง ก็เห็นหลิงเสี่ยนนั่งอยู่ที่ห้องโถงก่อนแล้ว
กำลังหารือเื่วางแผนแบบบ้านแต่ละชนิดกับหลัวจิ่งอยู่
เมื่อหลิ่วฉางผิงมาถึง หลัวจิ่งก็ทักทายเขาขึ้นด้วยความคุ้นเคย เมื่อก่อนเขาก็เหมือนเป็กลุ่มคนสกุลหู เรียกเขาว่า ‘ท่านลุงหลิ่ว’ ตามที่ชนรุ่นน้อยเรียกกัน ในตอนนี้หลัวจิ่งจึงเรียกเขาเช่นเดิม
หลิ่วฉางผิงสะดุ้งใทันที ทั้งมือไม้สั่นทั้งเต็มไปด้วยความดีอกดีใจอย่างยิ่ง
พอเข้ามาใกล้จึงได้รู้ว่า หลัวจิ่งซื้อป่านานาพันธุ์ตรงทางเข้าหมู่บ้านผืนนั้นไว้ และเตรียมจะปรับพื้นที่จัดการให้เป็ที่โล่งเตียน เพื่อสร้างบ้านส่วนตัวแห่งหนึ่งขึ้น
ไอ๊หยา ต้องสร้างบ้านขึ้นมาอีกหรือนี่
หลิ่วฉางผิงตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง งานสร้างคฤหาสน์ในหุบเขานั่นเพิ่งหยุดได้ไม่กี่วัน นี่ต้องเตรียมสร้างบ้านส่วนตัวขึ้นอีกแล้ว
นับั้แ่สกุลหูเฟื่องฟูขึ้นมา งานที่ติดตัวเขาราวกับว่าไม่มีเวลาได้หยุดลงเลย
เขาทั้งดีใจทั้งกลัดกลุ้มเล็กน้อย ไม่กี่วันก่อนเพิ่งรับปากภรรยาไว้เองว่าผ่านไปอีกไม่กี่วันจะกลับบ้านบิดามารดาของนางไปเป็เพื่อนสักรอบ สองสามปีที่ยุ่งมานี้ นานแล้วที่เขาไม่ได้กลับบ้านไปเป็เพื่อนนาง ดูท่าต้องยืดออกไปถึงปีหน้ากระมัง
แน่นอนว่าการได้สร้างบ้านส่วนตัวให้หลัวจิ่ง เขารู้สึกเป็เกียรติเหลือคณนา
หลิงเสี่ยนใช้ดินสอถ่านในมือวาดเค้าโครงคร่าวๆ บนกระดาษเซวียนจื่อ พร้อมกับพูดคุยรายละเอียดกับหลัวจิ่ง
หลัวจิ่งไม่มีความคิดเห็นมากนัก บอกเขาเพียงว่ากำหนดแบบแผนออกมาสักสองถึงสามแบบ แล้วเขาจะเลือกเอาจากในนั้นก็พอ
หลิงเสี่ยนพยักหน้าไม่กล่าวอะไรมาก แสดงออกว่ารอให้เขาสังเกตดูพื้นที่ให้ดีก่อนจึงจะเริ่มวาดเค้าโครงได้
หลัวจิ่งให้หลิ่วฉางผิงช่วยหาคน เพื่อเริ่มเตรียมจัดการถางป่าไม้ใน่บ่าย
เจินจูขมวดคิ้วขึ้นทันที หลังจากที่นางยกชาเข้ามาให้พวกเขาก็เริ่มฟังอยู่ด้านข้าง
ใจร้อนดังไฟลุกโหม [2] เช่นนี้ ใช้ไม่ได้นัก
นางแอบใช้ถาดรองถ้วยชากระแทกเขาโดยไม่ให้ผิดสังเกต
หลัวจิ่งมองไปทางนางทันที สายตาประดับไว้ด้วยเครื่องหมายคำถามอย่างอ่อนโยน
เชิงอรรถ
[1] เปิดประตูก็เจอูเา หมายถึง ตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม
[2] ใจร้อนดังไฟลุกโหม หมายถึง กระวนกระวายใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้