“หากเ้าอยากรู้ความจริง เ้าก็ต้องพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น”
หลังจากที่เงียบไปนาน ในที่สุดซีเยว่ก็กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา
“เ้ารู้เื่มารดาของข้าจริงหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่เฟิงก็รู้สึกดีใจเป็อย่างมาก
“เ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว นางรักเ้ามาก ทว่านางมีความลำบากบางอย่างที่ทำให้ต้องทอดทิ้งเ้าไป แต่สำหรับเื่นี้ ตอนนี้ต่อให้เ้ารู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อใดที่เ้ามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะออกจากดินแดนเล็กๆ อย่างอาณาจักรหนานหลิงแห่งนี้ได้แล้ว เมื่อนั้นข้าจะบอกทุกอย่างกับเ้า”
หลังจากซีเยว่กล่าวจบ นางก็กลับเข้าไปในหยกเทพชูร่า และไม่ตอบคำถามใดของมู่เฟิงอีก
มู่เฟิงถือหยกเทพชูร่าไว้ในมือ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงร่องรอยของความมุ่งมั่น “ท่านแม่ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดหรือประสบปัญหาใดอยู่ก็ตาม สักวันหนึ่งเฟิงเอ๋อร์จะไปพบท่านอย่างแน่นอน ข้าต้องทำได้แน่...”
มู่เฟิงลอบตัดสินใจกับตัวเอง หากไม่ใช่เพราะเขาเคยเห็นบิดาพร่ำเพ้อเรียกหามารดาของตนยามที่เมามาย เขาคงไม่มีความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นนี้แน่ การตามหามารดาไม่ได้เป็เพียงความปรารถนาในวัยเด็กของเขาเท่านั้น แต่มันยังเป็ความปรารถนาของบิดาของเขาด้วย
แต่ไม่ว่าหนทางจะยากเย็นแสนเข็ญและลำบากมากเพียงใด เขาก็จะทำมันให้สำเร็จให้จงได้
มู่เฟิงดูดซับหยกเทพชูร่า
กลับคืนสู่ร่างกาย จากนั้นเขาก็กลืนเม็ดยาโลหิตขั้นสองลงไปหนึ่งเม็ด ก่อนจะกลั่นมันให้กลายเป็พลังปราณ
ระดับวรยุทธ์ของเขาในปัจจุบันยังไม่เหมาะที่จะใช้ในการกลั่นพลังปราณจากยาโลหิตขั้นสาม
หลังจากกลืนเม็ดยาโลหิตขั้นสองลงไปแล้ว กระแสพลังอันบริสุทธิ์จำนวนมากก็ได้หลั่งไหลไปยังจุดตันเถียนจื่อฝู่ แน่นอนว่าพลังเหล่านี้มีความบริสุทธิ์ยิ่งกว่าพลังที่มาจากยาบ่มเพาะพลังปราณเป็อย่างมาก
“แฟ่...”
คล้ายว่าเสี่ยวเทียนเ้างูขาวในอ้อมแขนของมู่เฟิงจะััได้ถึงอะไรบางอย่าง มันจึงส่งเสียงคำรามใส่เด็กหนุ่ม ขณะที่ดวงตาสีทองเข้มก็กำลังสื่อให้เห็นถึงความ้าบางอย่าง
“เ้าก็อยากจะกินมันงั้นหรือ?”
มู่เฟิงผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาได้นำยาโลหิตขั้นสองออกมาอีกหนึ่งเม็ด ก่อนจะโยนมันให้กับเสี่ยวเทียน
หลังจากเสี่ยวเทียนกลืนยาเม็ดนั้นลงไปแล้ว มันก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของมู่เฟิงด้วยความพึงพอใจ
มู่เฟิงลูบลงบนเกล็ดของเสี่ยวเทียนก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็เริ่มทำการบ่มเพาะพลังปราณของตัวเอง
ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญกลุ่มหนึ่งเดินทางมาเยือนตระกูลมู่ถึงหน้าประตูจวน โดยผู้นำกลุ่มของพวกเขาก็คือหวังปินผู้นำของตระกูลหวัง ตามด้วยหวังเยว่ นักสลักลายเส้นโจว และคนอื่นในตระกูลอีกจำนวนหนึ่ง
“ท่านผู้นำตระกูลหวัง ไม่ทราบว่าวันนี้ลมอะไรหอบท่านมาถึงที่นี่ได้”
มู่ไห่ออกมาต้อนรับ เขากำหมัดคำนับอีกฝ่ายตามมารยาท ขณะที่กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ฮึๆ เนื่องจากเมื่อวานมีเื่ใหญ่เกิดขึ้น ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาที่นี่เพื่อหารือกับสหายมู่เกี่ยวกับกิจการการค้าภายในเมืองอันหนานเสียหน่อย อ้อ จริงสิ ข้าลืมแนะนำไป ท่านผู้นี้คือนักสลักลายเส้นขั้นหนึ่ง ท่านอาจารย์โจวอู่โจว”
ผู้นำตระกูลหวังกำหมัดคำนับอีกฝ่ายก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หันไปแนะนำอาจารย์โจวที่อยู่ด้านข้างให้อีกฝ่ายรู้จัก
“นักสลักลายเส้นขั้นหนึ่ง!”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่ไห่ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขายังไม่ลืมที่จะกำหมัดเพื่อแสดงความเคารพต่ออีกฝ่าย “ท่านอาจารย์โจว รู้สึกเป็เกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน”
“ผู้นำตระกูลมู่สุภาพเกินไปแล้ว การมาของข้าเป็เพียงเื่เล็กน้อยเท่านั้น”
อาจารย์โจวกล่าวอย่างราบเรียบ คิ้วของเขาขมวดมุ่นท่าทางดูทะนงตนเล็กน้อย
“ทุกท่านโปรดเชิญทางนี้”
มู่ไห่ผายมือเชื้อเชิญอีกฝ่ายไปยังห้องรับรองของจวนตระกูลมู่
หลังจากทุกคนมาถึงห้องรับรองแล้ว ทั้งเ้าบ้านและแขกผู้มาเยือนต่างก็นั่งลงประจำที่ของตน จากนั้นมู่ไห่ก็ได้สั่งให้บ่าวรับใช้ยกน้ำชาออกมาต้อนรับแขก
“สหายหวัง ไม่ทราบว่าท่านมาหาข้าด้วยเหตุอันใดหรือ?”
มู่ไห่เอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง
“สหายมู่ ท่านคงทราบข่าวเื่ตระกูลหวงแล้ว”
หวังปิน ผู้นำตระกูลหวังจิบชาก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางใจเย็น เขากำลังลอบมองปฏิกิริยาของมู่ไห่จากหางตา
ใบหน้าของมู่ไห่กระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงได้กล่าวขึ้นว่า “เื่ที่ตระกูลหวงถูกกวาดล้างไปเมื่อคืนข้าทราบข่าวแล้ว ทำไมรึ หรือสหายหวังมาที่นี่ด้วยเหตุนี้?”
“ถูกต้องแล้ว เื่นี้เป็ฝีมือของผู้ใดนั้นเราจะยังไม่กล่าวถึง แต่กิจการการค้าของตระกูลหวงภายในเมืองอันหนานนั้นมีอยู่จำนวนไม่น้อย ในเมื่อเวลานี้ภายในตระกูลหวงไม่หลงเหลือผู้ฝึกยุทธ์คอยคุ้มกันกิจการเ่าั้แล้ว ไม่ทราบว่าสหายมู่คิดเห็นอย่างไรกับกิจการเหล่านี้?”
หวังปินเอ่ยถาม
กิจการของตระกูลหวงนั้นมีทั้งการค้าอาวุธ การค้าโอสถและการทำโรงเตี๊ยม ซึ่งทั้งหมดนี้ตระกูลใหญ่ทั้งสามตระกูลล้วนประกอบกิจการในรูปแบบเดียวกัน ในเมื่อเวลานี้ตระกูลหวงล่มสลายลงไปแล้ว กิจการทั้งหลายเหล่านี้ย่อมกลายเป็เนื้อชิ้นโตที่ไร้เ้าของ
“เหอะๆ จากสิ่งที่สหายหวังกล่าวมา แน่นอนว่ากิจการเ่าั้ยังคงเป็ของตระกูลหวง แต่หากใครที่้าจะมัน ย่อมต้องใช้ทั้งกำลังทางการเงินและความแข็งแกร่งที่มี”
มู่ไห่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขาทราบดีว่าหวังปิน้าจะทำอะไร
“อืม กล่าวได้ดี ถึงอย่างไรกิจการเหล่านี้ก็ไม่มีใครกล้าแข่งขันกับเราสองตระกูล ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้เป็อย่างไร ให้กิจการทั้งหมดตกเป็ของตระกูลหวังหกส่วน ส่วนที่เหลืออีกสี่ส่วนเป็ของตระกูลมู่ ท่านคิดว่าแบบนี้ดีหรือไม่?”
หวังปินเอ่ยถามขึ้น
ทันทีที่ได้ยินคำกล่าวนี้ เหล่าผู้าุโของตระกูลมู่ต่างก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา แม้ว่าข้อเท็จจริงจะยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ก็เป็พวกเขาที่ลงแรงกวาดล้างตระกูลหวงด้วยตัวเอง
ลุงฝูหยัดกายลุกก่อนจะกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “ผู้นำตระกูลหวัง ความ้าในหกส่วนนี้ ท่านไม่คิดว่าตระกูลหวังของท่านจะโลภมากเกินไปหน่อยหรือ กินคำใหญ่ขนาดนี้ระวังจะกลืนไม่ลงนะขอรับ”
หวังปินหัวเราะออกมาก่อนจะตอกกลับว่า “ข้าทราบดีว่าเพื่อกวาดล้างตระกูลหวงแล้วตระกูลมู่คงจ่ายออกไปไม่น้อย แต่มีเื่หนึ่งที่ข้าต้องบอกสหายมู่ให้ทราบเอาไว้เสียก่อน หวังเยว่บุตรชายของข้านั้นมีคุณสมบัติที่เข้าตาคนของวิหารสลักลาย อีกไม่นานเขาจะไปที่นั่นเพื่อฝึกฝนเป็นักสลักลายเส้น หากตอนนี้พวกท่านคิดล่วงเกินตระกูลหวังของข้า ในอนาคตอาจจะถือว่าเป็การล่วงเกินวิหารสลักลายด้วยก็ได้”
หลังได้ยินคำกล่าวนี้ สีหน้าของมู่ไห่และคนอื่นๆ ก็พลันเปลี่ยนไปในทันที พวกเขาต่างมองไปยังหวังเยว่ด้วยสายตาที่คาดไม่ถึง ในขณะที่หวังเยว่กำลังแสดงท่าทีภาคภูมิใจอย่างยิ่งออกมา
หวังเยว่กำลังจะเข้าไปยังวิหารสลักลายเพื่อฝึกฝน เช่นนี้หมายความว่าในอนาคตตระกูลหวังกำลังจะมีนักสลักลายเส้นปรากฏตัวขึ้นอย่างนั้นหรือ?
ตราบใดที่ภายในตระกูลหนึ่งมีนักสลักลายเส้นปรากฏขึ้นในตระกูล ไม่ว่าตระกูลนั้นจะเล็กเพียงใดก็ไม่อาจมองข้ามได้ เพราะเื้ัของนักสลักลายเส้นนั้นยังมีกลุ่มสหายของนักสลักลายเส้นด้วยกันเอง
คำเรียกร้องของนักสลักลายเส้นนั้นถือว่ามีอำนาจเป็อย่างมาก ในอดีตเคยมีองค์จักรพรรดิจากอาณาจักรแห่งหนึ่งได้ทำการล่วงเกินนักสลักลายเส้นขั้นสูงผู้หนึ่งเข้า หลังจากนั้นนักสลักลายเส้นผู้นั้นจึงได้เรียกเหล่าสหายให้มาทำลายอาณาจักรแห่งนั้นจนล่มจม
หากตระกูลหวังสามารถสร้างนักสลักลายเส้นขึ้นมาได้จริง เกรงว่าต่อไปตระกูลมู่คงต้องพิจารณาคำพูดของตระกูลหวังอย่างจริงจังแล้ว
“ถูกต้อง เด็กหนุ่มหวังเยว่ผู้นี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียนรู้วิธีสลักลายเส้นได้ พลังิญญาของเขาอยู่ในขั้นเจ็ด ตราบใดที่เขาได้เรียนรู้และฝึกฝนอยู่ภายในวิหารสลักลายของข้า มีความเป็ไปได้มากที่ในอนาคตเขาจะกลายเป็นักสลักลายเส้นขั้นสองหรือกระทั่งขั้นสาม”
ทันใดนั้นเอง โจวอู่ผู้นั้นก็กล่าวแทรกขึ้นมา
หลังจากมู่ไห่และผู้าุโคนอื่นของตระกูลมู่ได้ยินคำกล่าวของโจวอู่ ใบหน้าของพวกเขาก็พลันมืดครึ้มลงในทันที
“อ้อ จริงสิ เมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนรุ่นเยาว์ในตระกูลของท่านล่วงเกินบุตรชายของข้า ผู้นำตระกูลมู่ ท่านช่วยเรียกเด็กหนุ่มผู้นั้นออกมาได้หรือไม่ ให้เขาคุกเข่าและขอขมาบุตรชายของข้า หลังจากนั้นข้าจะถือว่าเื่นี้ให้แล้วกันไป”
แน่นอนว่าหวังปินย่อมไม่ลืมที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้
“หื้ม คนรุ่นเยาว์ในตระกูลมู่ของข้าทำให้บุตรชายผู้สูงศักดิ์ของท่านต้องขุ่นเคืองงั้นหรือ?”
มู่ไห่กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าที่ดูมืดมนอย่างยิ่ง
“เ้าหนุ่มนั่นมีนามว่ามู่เฟิง เขาตัดฝ่ามือผู้คุ้มกันคนหนึ่งของข้าและยังทุบตีข้าอีกด้วย”
หวังเยว่หยัดกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเ็า
“ว่าอย่างไรนะ! เ้าว่าใครนะ? มู่เฟิง”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่ไห่พลันลุกขึ้นยืนในทันที พร้อมทั้งถามกลับเสียงเย็น
“ถูกต้อง เขามีนามว่ามู่เฟิง เรียกให้เขารีบไสหัวออกมาเร็วเข้า จากนั้นก็ให้เขาคุกเข่าลงและขอขมาต่อข้าเสีย แล้วข้าจะถือว่าเื่นี้ไม่เคยเกินขึ้น”
เนื่องจากคิดว่าเวลานี้ตนมีวิหารสลักลายเป็ที่พึ่งแล้ว ดังนั้นหวังเยว่จึงได้กล่าวด้วยวาจาแข็งกร้าวและวางท่าใหญ่โตออกมาในทันที
“เ้าหนุ่ม เ้ากำลังเล่นกับไฟ!”
โดยไม่ทันคิด ใบหน้าของมู่ไห่พลันเปลี่ยนเป็บูดบึ้ง จากนั้นพลังสะกดข่มสายหนึ่งก็ได้พุ่งเข้าหาหวังเยว่ในทันที
สีหน้าของหวังเยว่ซีดเผือดลง เขาหวาดกลัวต่อพลังสะกดข่มนี้มากเสียจนต้องทรุดตัวลงบนที่นั่งเดิมของตน
หวังปินตวาดขึ้นอย่างเ็า พร้อมกับปล่อยพลังสะกดข่มสายหนึ่งพุ่งไปทางมู่ไห่เพื่อทำการหักล้างพลังของอีกฝ่าย
“สหายมู่ ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!”
“หากเป็คนอื่นย่อมสามารถคุกเข่าขอขมาคุณชายหวังได้ แต่สำหรับมู่เฟิงนั้นไม่ได้”
มู่ไห่ตอบกลับเสียงเย็น ในขณะที่ผู้าุโทั้งหมดของตระกูลมู่ต่างหยัดกายลุกขึ้นด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่
แน่นอนว่าหวังปินคาดไม่ถึงกับเหตุการณ์นี้ เหตุใดคนเหล่านี้ถึงได้ออกตัวปกป้องคนรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งได้ถึงขนาดนี้
“ปัง!”
โจวอู่ตบลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง เขาหยัดกายลุกขึ้น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ทำไม ตระกูลมู่ของพวกท่าน้าจะเป็ศัตรูกับวิหารสลักลายงั้นรึ?”
เมื่อถูกกดดันด้วยเื่นี้ ทุกคนในตระกูลมู่ก็พลันพูดไม่ออกขึ้นมา