หวังเฟยหลงยอมรับว่าเขารู้สึกใเป็อย่างมากที่ได้เห็นคุณชายหนิงอ้ายในครั้งแรก ด้วยเพราะสถานการณ์ทางฝั่งของเขานั้นย่ำแย่ถึงขีดสุด หากคุณชายเป็ฝั่งเดียวกันกับศัตรูแล้วเขาคงพลาดท่าตกตายไปในที่สุด ทว่าหลังจากที่อีกฝ่ายได้จัดการฝ่ายศัตรูอย่างเฉียบขาดอีกทั้งยังมอบโอสถระดับหกถึงสองเม็ดง่ายดายถึงเพียงนี้ย่อมพอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายเป็แน่
แม้จะยังไม่กระจ่างถึงความเป็มาแต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะกินโอสถรักษาที่ได้รับมาแต่โดยดี หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อ เสียงของฝีเท้าที่เหยียบย่ำด้วยวิชาตัวเบาได้เข้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่กลับเป็กลิ่นอายที่คุ้นเคยดังนั้นหวังเฟยหลงจึงไม่กังวลใจเท่าไหร่นัก
"คุณชายรองท่านเป็อย่างไรบ้างขอรับ?" เสียงขององครักษ์ผู้หนึ่งดังขึ้นก่อนที่ด้านหลังนั้นจะตามมาด้วยผู้ติดตามอีกนับสิบกว่าคน
"ข้าโชคดีที่มีสุดยอดฝีมือท่านหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกสังหารไปแล้วเช่นกัน..." หวังเฟยหลงตอบกลับไป
"แล้วนี่..."
"พวกมันล้วนตกตายกันหมดสิ้นเหลือแต่เพียงคุณชายฟางผู้นั้น อย่างไรเมื่อกลับตระกูลหวังข้าจะเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นอีกครั้ง พวกเรารีบกลับเสียเถอะ" ยามนี้ร่างกายของเขาค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นมาทีละส่วนอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าโอสถนั้นเลิศล้ำเพียงใด แม้อยากจะทดแทนคุณของอีกฝ่ายทว่ายามนี้เขาต้องรีบเร่งเดินทางกลับตระกูลหวังให้เร็วที่สุด...
หลังจากแยกตัวออกมาเป็ระยะทางไกลอยู่ไม่น้อย หนิงอ้ายจึงได้เลือกพักผ่อนตรงบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แตกกิ่งก้านสาขาร่มรื่นเพื่อสร้างเป็ที่พักง่าย ๆ สำหรับค่ำคืนนี้โดยไม่ลืมวางค่ายกลและบทเวทย์ป้องกันไว้โดยรอบอย่างแ่า ก่อนจะหวนคิดไปว่าเสาแสงจากงานปะรำพิธีที่มหาพิภพพิสดารนั้น เหตุใดจึงได้ส่งตัวเขามายังดินแดนจูเชว่ อันเป็สถานที่ของดินแดนพิภพระดับสูงได้อย่างไรกัน
เพราะจากเงื่อนไขของมหาค่ายกลดังกล่าวตามที่บิดาบุญธรรมได้บอกกล่าวก่อนหน้าขอเพียงกายเนื้อและจิติญญาของเขาหลุดพ้นออกจากเขตแดนของห้วงมิติได้แล้วเขาย่อมไปปรากฎในสถานที่ที่มีความเข้มข้นของพลังจิติญญามากที่สุด
ซึ่งความจริงแล้วควรเป็ที่ตั้งของตระกูลหวัง แคว้นเต่าดำในดินแดนพิภพระดับกลางเสียมากกว่า แต่กลับกลายเป็ว่าเขาได้มาปรากฎตัวตรงใจกลางผืนป่าโบราณอันอุดมสมบูรณ์ในดินแดนพิภพระดับสูงเช่นนี้ แม้จะมีบางอย่างที่ไม่กระจ่างเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น ตลอดเส้นทางเขาก็ได้เก็บเกี่ยวแก่นปราณอสูรและสมุนไพรวิเศษต่าง ๆ มากมากไว้ในแหวนมิติของตนจึงถือว่าเป็การเดินทางที่ไม่สูญเปล่าไปเสียทีเดียว
ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานในความรู้สึกของหนิงอ้ายอยู่ไม่น้อยแสงจันทราส่องสว่างท่ามกลางหมู่มวลเมฆาที่ล่องลอยขับกล่อมจิตใจ บรรยากาศเช่นนี้ชวนให้หวนรำลึกถึงวันวานและผู้คนที่ลาจากยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็บิดาบุญธรรมม่อเหยียน ท่านอาจารย์เสวี่ยจิง ท่านลุงม่อหราน ไหนจะท่านน้าฟางเยว่ ท่านพี่ฟานหลิง และท่านอาซูเซียวผู้เป็น้องสาวของบิดาที่แท้จริงนั่นอีก
ตลอด่ชีวิตใหม่ยี่สิบปีมานี้กล่าวว่าเขานั้นมีความรู้สึกผูกพันธ์กับทุกคนที่กล่าวมาอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายก็ไม่รู้ว่าในดินแดนเดิมวันเวลาได้ผันผ่านมากี่ปีแล้ว ได้แต่หวังว่าท่านตาหวังจิ่งหลง ท่านยายเหมยฮวา ท่านแม่เยว่ซิน ท่านพี่ลู่ซี รวมไปถึงสหายในสำนักของเขาทุกคนจะไม่หลงลืมกันไป
กาลเวลาได้ผันผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วยามก็จะเป็เช้าของวันใหม่แล้ว หนิงอ้ายจึงหลับตาลงพร้อมกับดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินโดยรอบเข้าสู่ร่างกาย แม้ความเข้มข้นบริสุทธิ์จะไม่อาจเทียบเคียงได้กับมหาพิภพพิสดารแต่ก็เพียงพอที่จะเติมเต็มมหาสมุทรทะเลลมปราณในร่างกายให้สมบูรณ์พร้อมอีกครั้ง
หนิงอ้ายใช้เวลาไปจนเกือบถึงรุ่งเช้าเพียงไม่นานในความรู้สึก เสียงของสกุณาได้กู่ร้องดังแว่วไปทั่วทั้งผืนป่าเป็สัญญาณของวันใหม่ แสงสีส้มอ่อนโผล่พ้นจากขอบฟ้าไอหมอกลอยฟุ้งไปทั่วไม่นานก่อนที่จะจางหายไปในที่สุดยามเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องลงมา
หนิงอ้ายลุกขึ้นพร้อมกับสังเกตโดยรอบอีกครั้งโดยไม่ประมาท ก่อนที่สองเท้าของเขาก้าวตรงไปยังลำธารที่อยู่ห่างไปไม่ไกลมากนัก อาศัยสายน้ำไหลเย็นล้างหน้าชำระร่างกายให้สดชื่นพร้อมออกเดินทางหลังจากนี้
ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง แม้ไม่มีขนาดใหญ่มากแต่โต๊ะด้านล่างก็เต็มไปด้วยผู้คนอยู่ไม่น้อย นับว่าเป็เมืองที่มีผู้คนคลาคล่ำเช่นกันแต่ถึงกระนั้นก็ยังมีโต๊ะว่างอยู่หลายที่อยู่เช่นกัน
“้าที่พักหรือสำรับอาหารขอรับนายท่าน...” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเดินออกมาสอบถามด้วยท่าทางมารยาทพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ว่าหนิงอ้ายยามนี้จะอยู่ภายใต้ผ้าคลุมปกปิดตัวตน ทว่ากลิ่นอายสะกดข่มของผู้ฝึกตนระดับสูงที่แผ่ซ่านออกมานั้นย่อมทำให้เสี่ยวเอ้อร์คนนี้สงวนท่าทีดังกล่าว ด้วยเพราะยุทธภพแห่งนี้ล้วนยอมรับและยกย่องผู้ฝึกตนย่อมได้รับความยำเกรงเหนือชั้นจากคนธรรมดาทั่วไป
“ข้า้าที่พักหนึ่งคืน สำหรับอาหารเลือกเอาอาหารขึ้นชื่อสักสองสามอย่างแล้วกัน...” หนิงอ้ายตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ใช้เวลาไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็ได้เข้ามายกอาหารไว้บนโต๊ะเมื่อตรวจสอบว่าอาหารเหล่านี้ไม่มีพิษเขาจึงลงมือกินอาหาร หลังจากกินอาหารจนอิ่มแล้วจึงขึ้นไปยังห้องพักที่ได้จับจองไว้ หนิงอ้ายปลดผ้าคลุมด้านนอกออกเหลือไว้เพียงเสื้อด้านในสีขาวพร้อมกับกั้นม่านพลังป้องกันเอาไว้ก่อนจะขึ้นเตียงแล้วนั่งสมาธิดูดซับพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายเฉกเช่นทุกวันแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะมีพลังลมปราณฟ้าดินแฝงอยู่เพียงน้อยนิดก็ตาม
เวลายามราตรีได้ผ่านพ้นไปอีกครั้ง แสงแดดยามเช้าของวันใหม่สาดส่องทะลุผ่านเข้ามาจากทางหน้าต่าง หนิงอ้ายลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ เมื่อััได้ว่าอีกไม่กี่ชั่วจิบชาเสี่ยวเอ้อร์จะเข้ามาจัดเตรียมถังน้ำเพื่อให้ทำธุระส่วนตัว หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นหนิงอ้ายก็ออกมาเดินสำรวจรอบ ๆ เมืองด้วยความสนใจ ถึงแม้ว่าบรรยากาศในเมืองยามเช้าอาจจะไม่ครึกครื้นเทียบเท่ายามเย็นไปจนถึงกลางคืนก็ตาม
ญาณััที่เกิดจากเคล็ดวิชาวิชามหาจักษุ์อนันตมายา ทำให้หนิงอ้ายรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ความเป็ไป เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเขตรอยต่อของดินแดนจูเชว่และดินแดนเสวียนอู่ โดยมีผืนป่าขนาดใหญ่ที่เป็พรหมแดนธรรมชาติ อันเป็สถานที่ที่เขาปรากฏตัวนั่นเอง จากสัญชาติญาณและแรงกระตุ้นจากโลหิตนั้นได้เรียกร้องให้เขาเดินทางลงสู่ทางใต้อันเป็สถานที่ตั้งของมหานครจูเชว่ ดังนั้นหนิงอ้ายจึงไม่รอช้ารีบเร่งออกเดินทางอีกครั้ง
"หรือว่าจะเป็...."
หลังจากใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวไปตามยอดไม้เป็เวลานับชั่วยาม ญาณััของเขากลับรับรู้ได้ถึงสิ่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลไปมากนัก ดังนั้น หนิงอ้ายจึงมุ่งตรงไปยังทิศทางดังกล่าวโดยทันที
“ไม่คาดคิดว่าจะพบเจอสิ่งที่ล้ำค่าเช่นนี้ได้...” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยแววตาประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
สมุนไพรที่อยู่ตรงเบื้องหน้านี้นับว่าเป็สมุนไพรระดับเซียนชนิดหนึ่งที่มีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับมนุษย์ทารกทว่ากลับมีสีแดงกล่ำคล้ายกับโลหิต ตรงใจกลางนั้นปรากฎเป็ไอปราณสีแดงเข้มเปลวเพลิงโหมลุกไหม้สว่างไสว ทั้งยังปล่อยกลิ่นอายแปลกประหลาดพิสดาร
สิ่งตรงหน้านี้สำหรับนักปรุงโอสถอย่างเช่นหนิงอ้ายนั้นถือว่าเป็การเก็บเกี่ยวที่ต้องอาศัยโชคชะตาคงไม่เกินจริงไปนัก โสมโลหิตนี้พินิจไปแล้วคงดูดซับลมปราณฟ้าดินมานานนับร้อยปี สามารถนำไปปรุงโอสถระดับหกได้หลากหลาย อีกทั้งยังมีฤทธิวิเศษเกี่ยวกับการขยายหลอดลมปราณในร่างกายอีกด้วย แน่นอนว่าเหมาะสมยิ่งนักกับผู้ฝึกตนสังกัดปราณธาตุไฟอย่างมาก
พรึบ!!!
ทันใดนั้นเบื้องหน้าของหนิงอ้ายปรากฎร่างของวานรสีน้ำตาลเข้มที่มีขนาดตัวสูงใหญ่ขวางทางเบื้องหน้าเอาไว้ ดวงตาสีแดงฉานจ้องมองมาด้วยความอาฆาต กลิ่นอายของสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำสังกัดปราณธาตุดินคละคลุ้งไปทั่วผสานไปกับกลิ่นสาปจาง ๆ จากจิตสังหารที่พวยพุ่งออกมารอบกายของสัตว์อสูรวานร ระดับพลังิญญาที่ถูกปลดปล่อยออกมาเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญาผู้หนึ่ง สิ่งนี้จึงไม่ทำให้หนิงอ้ายเป็กังวลเท่าไหร่นัก เมื่อชัดแจ้งในขุมพลังของสัตว์อสูรตรงหน้าแล้ว หนิงอ้ายจึงเร่งเร้าพลังลมปราณในร่างกายออกมาต้านรับในทันที
"มนุษย์ตัวน้อย คิดจะแย่งชิงโสมโลหิตของข้า เ้าอยากเป็ศัตรูกับพญาวานรพสุธาอย่างนั้นรึ?" เสียงกังวาลดังลั่นสะท้านะเืไปทั่ว กลิ่นอายอันกล้าแกร่งปะปนด้วยจิตสังหารพวยพุ่งทะลักทลายออกมาเห็นชัดได้ว่าสัตว์อสูรตรงหน้านี้ถึงกับเบิกภูมิสติปัญญาแล้ว
"ข้าพึ่งรู้ว่าสมุนไพรระดับเซียนนี้มีเ้าของจับจองเป็พญาวานรพสุธาเช่นท่าน ไม่ใช่ว่าสมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็สมบัติล้ำค่าที่มหาพิภพสรรสร้างขึ้นและไม่มีเ้าของไม่ใช่หรืออย่างไร..." หนิงอ้ายตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบด้วยไม่คิดว่าสมุนไพรวิเศษที่เขา้านั้นจะมีผู้กล่าวอ้างเป็เ้าของเช่นนี้
"วาจาช่างโอหังยิ่งนัก...หากเ้าไม่เสียดายชีวิตเช่นนี้ข้าก็พร้อมที่จะสังหารให้เ้าตายตกไปเสีย!!!" พญาวานรพสุธาตวาดคำรามดังลั่น
แม้จะเป็สัตว์อสูรระดับมายาที่มีการเบิกภูมิสติปัญญาก็จริง ทว่าอย่างไรแล้วย่อมไม่ละทิ้งสัญชาติญาณบ้าคลั่งดิบเถื่อน สองมือสองเท้าตะกุยพุ่งตรงเข้ามาโจมตีด้วยความรวดเร็ว หมัดที่อัดแน่นไปด้วยปราณธาตุดินที่ไม่ธรรมดาสามัญถูกส่งออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง
ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่แผ่ญาณััรับรู้อยู่ก่อนแล้วจึงไม่รอช้า ก่อนจะเร่งเร้าพลังปราณพร้อมกับออกท่าร่างวิชาตัวเบาทะยานออกไปตั้งรับ เมื่อหลบพ้นการโจมตีและกรงเล็บคมได้แล้วจึงตวัดขาเข้าฟาดหน้าอกของพญาวานรพสุธากลับไปทันที
ตู้ม!!!
ร่างสูงใหญ่ของพญาวานรพสุธาถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะกลับมายืนหยัดมั่นคงอีกครั้ง อย่างไรแล้วมันก็เป็ถึงสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำสังกัดปราณธาตุดิน ดังนั้นย่อมมีพลังป้องกันที่เป็เลิศหรือแม้กระทั่งพลังโจมตีก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน
เพียงแต่มันไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าที่มีรูปร่างบอบบางจะสามารถตั้งรับการโจมตีของมันเมื่อครู่ได้ อีกทั้งมันยังไม่อาจััได้ถึงขุมพลังที่อีกฝ่ายอยู่ เมื่อคิดเช่นนั้นจึงบังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ แต่หากจะให้มันยอมแพ้และยินยอมเป็ฝ่ายล่าถอยไป มันก็ไม่อาจกระทำได้เช่นกัน
เขตแดนเทพสังหาร สำแดง!!!!
สิ้นเสียงบัญชาการดังกล่าว ภายในรัศมีสองลี้ของการรับรู้ของหนิงอ้ายล้วนตกอยู่ในการควบคุมของหนิงอ้ายทั้งสิ้น สัญชาตญาณที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารของหนิงอ้ายได้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง ความกระหายเืและความ้าสังหารฉายชัดในแววตา ทันใดนั้นร่างกายของพญาวานรพสุธาตรงหน้าคล้ายกับถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นตวัดรัดคอและตรึงร่างจนไม่อาจขยับได้ด้วยความรวดเร็ว แม้จะดิ้นรนขัดขืนเพียงใดก็ไม่อาจขยับตัวได้เพียงนิด
พริบตานั้นหนิงอ้ายได้ตวัดมือออกไปเบื้องหน้า ก่อนจะปรากฎเป็กู่เจิงลวดลายัสีทองขาวพิสุทธิ์ลอยเด่นอยู่เบื้องหน้าที่ยามนี้กลิ่นอายของสมบัติวิเศษระดับต้นกำเนิดแผ่ซ่านกระจายสร้างแรงกดดันสะกดข่มไปทั่วทั้งบริเวณ ก่อนที่หนิงอ้ายจะโคจรออกเป็วิชายุทธ์พิฆาตที่ได้รับการสั่งสอนจากอาของตนที่นับว่าเป็ศาสตร์แห่งเสียงสังหารที่รุนแรงที่สุด ก่อนจะกรีดนิ้วไปตามเส้นสายของกู่เจิงพร้อมกับดีดออกไปยังเบื้องหน้า ปรากฎเป็เงาร่างของัสีขาวพิสุทธิ์ที่พุ่งทะยานขึ้นเหนือฟ้าก่อนจะมุ่งตรงไปยังเป้าหมายด้านหน้าอย่างเต็มกำลัง
ลำนำอัคคีัจรัสแสงสุวรรณอำไพ สำแดง!!!
ตู้ม!!!
แม้พญาวานรพสุธาจะไม่อาจขยับร่างกายได้ก็จริง ทว่าก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยสัญชาติญาณที่มากไปด้วยประสบการณ์ฆ่าฟัน เพียงสิ้นเสียงบัญชาการเมื่อครู่มันย่อมััได้ถึงวิชายุทธ์สังหารที่กำลังพุ่งตรงมาด้วยความรวดเร็ว มันจึงรีดเค้นพลังลมปราณในร่างกายถึงขีดสุดออกมาต้านรับอย่างเต็มกำลัง
พลังปราณธาตุดินที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกายได้ผนึกขึ้นเป็ โล่ป้องกันสีน้ำตาลแดงที่แผ่กลิ่นอายความแข็งแกร่งฉายชัดออกมาถึงขีดสุด เงาร่างของัสีขาวพิสุทธิ์จะพุ่งเข้าปะทะกับ โล่ป้องกันจนเกิดการสั่นะเืพร้อมกับรอยร้าวไปทั่ว เสียงะเิจะดังลั่นสะท้อนทั่วทั้งผืนป่า จากนั้นโล่ปราการของพญาวานรพสุธาก็ได้ถูกทำลายสูญสลายไป
ความจริงแล้วศาสตร์แห่งเสียงสังหารนี้ของหนิงอ้ายหาใช่มีอาณุภาพเพียงเท่านี้ เพียงแต่หนิงอ้ายเลือกที่จะสำแดงออกมาเพียงสองสามส่วนเท่านั้น อย่างไรแล้วด้วยระดับพลังปราณเทพยุทธ์ิญญายามนี้ของหนิงอ้าย ใคร่จะเรียกใช้สมบัติวิเศษระดับต้นกำเนิดออกมาแต่ละครั้งย่อมสูญเสียพลังลมปราณในร่างกายไปไม่น้อย แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยเงื่อนไขดังกล่าว แต่หนิงอ้ายคิดว่าหาก้าจัดการจู่โจมด้วยความรวดเร็วฉับไว สิ่งนี้นับเป็หนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วเช่นกัน
หลังจากสามารถทำลายโล่ป้องกันได้แล้ว เงาร่างของัสีขาวพิสุทธิ์ยังได้พุ่งเข้าปะทะเต็มแรงกับร่างของพญาวานรพสุธาจนกระเด็นล้มลงไป พร้อมกับส่วนแขนทั้งสองข้างที่อาบชุ่มไปด้วยเืสีแดงสดก่อนจะกระอักเืออกมาคำโตอย่างเสียไม่ได้ ดวงตาสีแดงฉานยังคงจ้องมองหนิงอ้ายด้วยความอาฆาตแค้นถึงขีดสุด แรงกระแทกเมื่อครู่ทำให้ร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยขนสั้นสีน้ำตาลที่ไม่ต่างไปจากเกราะป้องกันชั้นสูงถึงกับส่งผลให้อวัยวะภายในบอบช้ำถึงขีดสุด
"เ้ามันสมควรตาย!!!!" เสียงตวาดกร้าวด้วยโทสะของพญาวานรพสุธานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอาฆาตที่รุนแรงถึงขีดสุด เพียงแค่้าล้างแค้นสังหารชายหนุ่มตรงหน้า มันถึงกับยอมสังเวยอายุไข นับร้อยปีเพื่อที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการของเขตแดนดังกล่าว
ร่างของพญาวานรพสุธาได้ปลดปล่อยไอปราณสีแดงน้ำตาลออกมา พร้อมกับที่ระดับพลังิญญาได้พุ่งสูงขึ้นเทียบเท่ากับราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาด้วยระยะเวลาเพียงสั้น ๆ สิ่งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็สภาวะคลุ้มคลั่งของสัตว์อสูรที่ะเิพลังออกมาจนทำให้ระดับพลังปราณเพิ่มขึ้นเป็อย่างมาก ก่อนที่ร่างชุ่มเืของพญาวานรพสุธาได้พุ่งตรงเข้ามาด้วยความรวดเร็วถึงขีดสุด
ทักษะิญญาที่สอง ลิ่มหยกเงามัจจุราชมรณะ สังหาร!!!
หนิงอ้ายไม่รอช้าบัญชาการทักษะิญญายุทธ์ปรากฏเป็มีดสั้นทั้งเก้าเล่ม ก่อนที่จะถูกสั่งการไปยังเบื้องหน้าเพื่อตัดส่วนของศีรษะพญาวานรพสุธาตรงหน้านี้เสีย ชั่วพริบตานั้นร่างกายสูงใหญ่ก็ได้ล้มลงนอนแน่นิ่งกับพื้น สิ่งที่ปรากฏเหนือร่างไร้ิญญานั่นคือแก่นปราณอสูรสีน้ำตาลเข้มที่เปี่ยมไปด้วยจิตอาฆาตสุดท้าย ถือว่าเป็แก่นปราณอสูรระดับกลางที่สามารถนำไปใช้ได้หลายอย่างเลยทีเดียว
หลังจากเก็บแก่นปราณอสูรตรงหน้านี้แล้ว แน่นอนว่าหนิงอ้ายไม่ลืมเก็บสมุนไพรวิเศษโสมโลหิตนั้นเข้าแหวนมิติของตนไป อีกทั้งยังวางแผนไว้ว่าเขาคงต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการหลอมสร้างปรุงโอสถโดยเร็วที่สุดเสียแล้วหลังจากนี้
“!!!!”
หนิงอ้ายหยุดชะงักคล้ายกับััได้ถึงพลังสายหนึ่งที่กระตุ้นสายโลหิตในกายของเขาให้รู้สึกสั่นสะท้านแปลกประหลาดอย่างที่บอกไม่ถูกทว่ากลับมีความรู้สึกคุ้นชินอยู่ไม่น้อยคล้ายกับว่าจิติญญาของเขากำลังถูกเรียกร้องจากบางสิ่งที่ไม่อาจระบุได้ ชั่วพริบตานั้นได้ปรากฎวงแหวนเวทย์สีแดงทองประกายรุ้งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณศักดิ์สิทธิ์โอบล้อมรอบ ก่อนที่ร่างของหนิงอ้ายจะอันตรธานหายไปจากบริเวณนี้ทันที...
