หลังจากทำสัญญาเืแล้วไท้หยูค่อยรู้สึกวางใจปล่อยให้โบ๋เวินอยู่ในเทือกเขาหยก คนผู้นี้กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไท้หยูพลันค้นพบว่าเขากลายเป็คนที่พูดมากอย่างยิ่ง ในใจยังเกิดคำถามว่า “หรือแท้จริงเขาเป็คนที่พูดมากผู้หนึ่ง ทว่าไม่มีสหายหรือผู้รู้ใจให้พูดด้วย”
โบ๋เวินใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็สามารถสนิทสนมกับศิษย์ทั้งสี่ของเขา คนประเภทเขาเปรียบเสมือนสายน้ำไหลลื่น สามารถเข้าได้กับทุกสถานการณ์ ไม่จำเจไม่ยึดถือตนเองเป็คนหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปร ซึ่งอันที่จริงคนประเภทนี้จึงเป็คนที่ไม่ว่าอยู่ที่ใดล้วนสามารถมีชีวิตรอด ทว่าคนประเภทที่ได้รับการไว้ใจน้อยที่สุดก็เป็คนแบบนี้เช่นกัน
ตอนแรกหลังจากโบ๋เวินแนะนำว่าเป็ศิษย์น้องของเ้าสำนักเมฆัที่ตายไปพลันถูกทุกคนรุมทุบตี ใช้เวลาอยู่ไม่น้อยจึงจะทำให้เด็กน้อยทั้งหมดสงบลงได้ เมื่อทุกคนรู้ว่าอาจารย์ของพวกเขายึดสำนักเมฆัมาอยู่ใต้อาณัติแล้วก็คายความเป็ศัตรูลง
ผ่านไปไม่นานโบ๋เวินก็แทบกลายเป็อาจารย์ของเด็กเหล่านี้ ชี้แนะแต่ละคนไม่หยุดหย่อน โบ๋เวินที่ไม่สุงสิงกับผู้ใดกลับเป็ผู้ที่รักเด็กเอ็นดูทารก
ไท้หยูนั่งบนบัลลังก์สัตว์ที่ยิ่งใหญ่ มองห้องโถงที่โอ่โถ่กว้างขวาง ตัดสินใจวางสำนักเมฆัเป็จารชนข่าวสารให้กับตนเอง ส่วนเื่คนในสำนักเมฆัจะยอมรับหรือไม่นั้น เขาไม่สนใจ เื่นี้ให้โบ๋เวินจัดการ ผู้ใดไม่ยอมสยบก็สังหารทิ้งก็สิ้นเื่
สิ่งที่สำนักพันปีขาดที่สุดตอนนี้นอกจากขุมกำลังทัพผู้ฝึกตน ก็คือหน่วยข่าวสาร สำหรับเหล่าผู้มีอำนาจในแดนดิน ข่าวสารถือเป็สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ขุมกำลังสายต่อสู้ มิเช่นนั้นจะมีคำพูดว่า “รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งก็ไม่พ่ายแพ้” หรือ
รู้องอาจ รู้ประมาณ ย่อมพานพบชัย รู้เขาใจ รู้เราใช้ พิชัยา
เขาตัดสินใจลงจากเขาเข้าสู่ราชธานี นี้เป็รอบหลายปีที่เข้าสู่เมืองหลวง นับั้แ่ไท้หยูรับตำแหน่งประมุขสำนักก็ไม่เคยย่างก้าวเข้าสู่เมืองหลวงอีกเลย
เขาไม่กังวลว่าจะถูกคนลอบสังหาร เพราะในเมืองหลวงถือปลอดภัยที่สุด
กล่าวไปแล้วเมืองหลวงคือที่พยัคฆ์ซุ่มัเร้น เมืองหลวงเป็ใจกลางสำคัญที่สุดของชางไห่ ย่อมมิขาดการป้องกันจากยอดฝีมือ มิต้องเอ่ยถึงพยัคฆ์ัที่ซ่อนตัวในที่ลับ
เพียงหน่วยงานของราชสำนักก็มีมากมายยิ่งแล้ว ในเมืองหลวงประกอบด้วย หน่วยทหารรักษาการณ์ หน่วยป้องกันเมือง หน่วยองครักษ์ดาบ หน่วยมือปราบแขนเสื้อแดง หน่วยองครักษ์วังหลวง กองกำลังเ้าเมือง กรมราชทัณฑ์ ยังมินับรวมยอดฝีมือลับที่เหล่าผู้มีอำนาจเลี้ยงไว้ในจวน
สำหรับการหาข่าวสืบเสาะเื่ราว ไม่มีที่ใดเหมาะสมเท่ากับโรงเตี๊ยมอีกแล้ว หอนางโลม หอโคมแดงยังไม่ไปเพราะที่เ่าั้ผู้คนไปเพื่อเสพสุขในที่ลับ มิค่อยมีผู้คนกล่าววาจาในที่แจ้ง
ไท้หยูเดินทางโรงเตี๊ยมธรรมดาราคาไม่แพงแห่งหนึ่ง ด้านในพบทั้งชาวบ้านและชาวยุทธ์มากมาย ยังมีผู้ฝึกตนนั่งปะปนกับผู้คน
ร้านมีสองชั้น ชั้นล่างมีสามสิบโต๊ะ ้าเป็ที่พัก มีโต๊ะเจ็ดโต๊ะริมระเบียงทางเดิน
ไท้หยูไม่ต้องปลอมตัวปิดบังใบหน้า เขามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดรู้จักเขา จะอย่างไรขณะที่เขามีชื่อเสียงที่สุดคือสมัยยังเป็รุ่นเยาว์ ยามนั้นอายุยังไม่ย่างยี่สิบ ยิ่งตอนนี้ผ่านมาเป็สิบปีไม่มีทางจะมีใครจำหน้าเขาได้ สำหรับคนทั้งหมด ประมุขสำนักพันปี ไม่มีใครรู้จัก
โบ๋เวินติดตามเขาอยู่ด้านหลัง โบ๋เวินก็มิต่างจากเขาเท่าใด ไม่จำเป็ต้องแปลงโฉมปกปิดตัวตน
ไท้หยูเลือกโต๊ะหนึ่งไม่ใกล้ผู้คนทว่าไม่ห่างเกินไป สำหรับผู้ฝึกตนเช่นกันโสตประสาทการได้ยินแม้อยู่ไกลสองลี้ยังสามารถได้ยิน เขาสั่งถั่วทอดสองจาน สุราสองไห ทั้งยังสั่งน้ำแข็ง เสี่ยวเอ้อมองไท้หยูอย่างแปลกใจ สายตาคล้ายมองตัวประหลาด
“นายท่าน ในโรงเตี๊ยมไหนเลยมีน้ำแข็งขาย”
ไท้หยูค่อยนึกขึ้นได้ สั่งน้ำแข็งในโรงเตี๊ยมใส่คู่กับสุรา เป็โลกในชีวิตเก่าของเขา จากนั้นพลันเปลี่ยนเป็ถามว่า
“่นี้มีเื่ใดน่าสนใจบ้างหรือไม่” พร้อมกันนั้นวางเหรียญทองแดงห้าเหรียญลงบนโต๊ะ
เสี่ยวเอ้อสองตาพลันเป็ประกาย กล่าวขออนุญาตก็ดึงเก้าอี้ด้านข้างมานั่งลง กระแอมปรับน้ำเสียงสองคราพลางกล่าวขึ้นมาว่า
“่เวลานี้ไม่ว่าผู้ใดต่างพูดถึงเื่สำนักพิรุณพายุถูกคนลบล้างหายไป ข้าจะเล่าให้นายท่านฟัง”
ไท้หยูพลันโบกมือตัดบทว่า
“ข้าฟังมาแล้ว เปลี่ยนเื่”
เสี่ยวเอ้อนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าสายตาจ้องมองเหรียญบนโต๊ะครู่หนึ่งก็กล่าวต่อว่า
“เช่นนั้นเป็เื่นี้ เ้าสำนักเมฆัเองก็สิ้นชีพแล้วเช่นกัน สำนักใหญ่ในเมืองหลวงจู่ ๆ ก็ล้มลงพร้อมกันเช่นนี้ ท่านทราบหรือไม่เป็เพราะเื่ใด”
ไท้หยูพลันคิดขึ้นมาในใจ ในโลกนี้ยังมีผู้ใดทราบเื่เหล่านี้กระจ่างยิ่งกว่าเขา เห็นทีมาโรงเตี๊ยมหาข่าวคงคว้าน้ำเหลวแล้ว
“ไม่ต้องกล่าวแล้ว ข้าทราบหมดแล้ว” เขากล่าวพลางปัดเหรียญทองแดงบนโต๊ะให้เสี่ยวเอ้อ เสี่ยวเอ้อมองเหรียญทองแดงในมือสองตาเป็ประกายรีบเดินออกไป
โบ๋เวินที่ด้านข้างรินสุราดื่มสุราจากนั้นกล่าวว่า
“ท่านตระเวนไปมาเช่นนี้ จะมีประโยชน์อันใด”
ไท้หยูแค่นเสียงเ็าไม่สนใจ ยกสุราดื่มจนหมดถ้วย
ยามนั้นพลันมีคนเดินมานั่งลงที่โต๊ะ ไท้หยูสำรวจคนผู้นี้ เป็ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ กำยำร่างกายเปี่ยมพลังเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ศีรษะล้านเลี่ยน มีหนวดเคราหร่อมแหร่ม ใส่ต่างหูห่วงสีทองสองข้าง ผิวเข้มเล็กน้อย แต่งกายคล้ายนักบู๊ผู้หนึ่ง
นักบู๊ผู้นั้นนั่งลงก็เอ่ยขึ้นว่า
“พี่ชาย้าทราบหรือใด ระยะนี้ข้าได้ยินข่าวน่าสนใจมาไม่น้อยเลยทีเดียว”
ไท้หยูกล่าวอย่างไม่นำพาว่า
“ยกเว้นเื่ที่ทุกคนลือกัน สามารถเล่ามา หากเป็เื่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ให้สิบเหรียญทองแดง”
นักบู๊ผู้นั้นตบอกเสียงดังกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า
“เื่นี้พี่ชายต้องไม่เคยได้ยินมา ข้ามีข่าวมากมาย พี่ชายท่านมีเงินพอหรือ”
ไท้หยูไม่ตอบเพียงคว้าถุงแพรมาวางไว้บนโต๊ะ เสียงเคร้งดังหนักๆ เมื่อถุงแพรร่วง นักบู๊พอเห็นถุงเงินถึงกับตาเป็ประกาย
“อันที่จริงแต่ละข่าวล้วนมีค่าหลายสิบถึงหลายร้อย ทว่าข้าคิดพี่ชายไม่แพง พี่ชายอยู่เมืองหลวงคงรู้จักเสวียนอินกระมัง” เสวียนอินคือหนึ่งในสิบโจวของชางไห่ ชางไห่มีสิบโจว ในหนึ่งโจวมีสิบฝู เสวียนอินถือเป็อันดับสี่ที่มีประชากรมากที่สุด
นักบู๊ผู้นั้นขยับหน้าเข้ามาใกล้ ลดเสียงเบาลงกล่าวว่า
“ในเสวียนอินมีกองกำลังลับกำลังเตรียมก่อฏ ข่าวนี้เชื่อถือได้แน่นอน เพราะพี่ชายที่นับถือที่สุดผู้หนึ่งของข้า เป็ทหารเอกของท่านเ้าเมือง ปกติพวกเราส่งจดหมายคุยกันเสมอ”
ไท้หยูถามว่า
“กองกำลังลับนั้นชื่อว่าอะไร”
“คล้ายว่า คล้ายว่า.....หน่วยฟ้าไพศาล ใช่แล้วชื่อนี้ หน่วยฟ้าไพศาล”
ไท้หยูพลันหมดความสนใจส่ายหน้าโบกมือให้เขาเล่าเื่อื่น สำหรับข่าวการก่อฏเช่นนี้มีอยู่เสมอ ทว่ามีผู้ใดสามารถทำสำเร็จ? กองกำลังแค่นี้อย่าว่าแต่ก่อฏ คาดว่าแม้แต่หนึ่งโจวยังไม่มีความสามารถกวาดล้างได้
นักบู๊ผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลันกล่าวว่า
“เื่นี้ยี่สิบเหรียญทองแดง เป็ข่าวใหญ่ ข้าเชื่อว่ามีน้อยอย่างยิ่งที่จะทราบ”
ไท้หยูคร้านจะพูดกับเขาเพียงจ้องมองให้เขากล่าวต่อ
“เป็เื่ทางตะวันตก เื่นี้เป็ข่าวใหญ่ระดับเจ็ดดินแดน ท่านคงรู้จักลัทธิอัคคีะกระมัง ข่าวว่าเ้าลัทธิหลังจากกักตนมาห้าสิบปี ในที่สุดก็ออกจากด่านแล้ว ข่าวยังบอกว่าเขามีพลังฝีมือสูงเยี่ยมอย่างยิ่ง ก้าวหน้าขึ้นหลายส่วน”
สำหรับข่าวนี้สร้างความสนใจได้ทว่ายังไม่พอใจ ข่าวนี้อยู่นอกอาณาจักร ทราบก็ได้ ไม่ทราบก็ไม่มีใดเสียหาย
“ลัทธิอัคคีะถูกเผ่ามารแดนิอวี้โจมตีชายแดนมาหลายครั้ง คิดว่าครั้งนี้หลังจากเ้าลัทธิออกจากด่านคงได้สู้รบถึงขั้นแตกหักจริงๆ แล้ว”
ไท้หยูพลันตาเป็ประกายขึ้นมา ใช่แล้วลัทธิอัคคีะมีชายแดนติดกับดินแดนิอวี้ ยอดฝีมือิอวี้มีเป้าหมายที่สำนักพันปี เกี่ยวกับเื่นี้มีค่าให้เปลืองหูรับฟัง
ไท้หยูปัดเหรียญใส่มือนักบู๊ให้เขาเล่าต่อ ทว่าน่าเสียดายที่นักบู๊ผู้นี้เพียงทราบเื่การออกจากด่านของเ้าลัทธิ เบื้องลึกอื่นๆ ไม่ทราบ
“พี่ชายท่านนี้ช่างดียิ่ง คู่ควรที่จะคบหา ก่อนจะลาข้ามีหนึ่งเื่ เื่นี้ไม่ต้องจ่ายเงิน เกี่ยวกับเมืองหลวงนี้เอง ระยะนี้เมืองหลวงมีกลุ่มอำนาจหนึ่งก่อร่างสร้างฐานขึ้นมา แม้นข้าไม่ทราบว่าผู้ใดอยู่เื้ัทว่าสามารถยืนยันได้ว่าคนผู้นี้มีอำนาจไม่ธรรมดา พวกเขาสามารถรวมกลุ่มนักเลงทั้งหมดในวงการเข้าด้วยกัน กลุ่มนักเลงเหล่านี้ไม่ต้องพูดถึงท่านก็ทราบกระมัง ล้วนเป็ตัวเลวร้ายที่คบหาไม่ได้ ชั้นต่ำเลวทราม ทว่ากลับมีคนผู้หนึ่งสามารถสยบพวกเขาไว้ได้ทั้งหมด เื่นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก”
ไท้หยูและโบ๋เวินพลางจ้องตากันแวบหนึ่ง ไม่ต้องเอ่ยวาจา เพียงสายตาก็สามารถทดแทนคำพูดในใจได้ สิ่งที่พวกเขาตามหาคือเื่นี้เอง
“คนที่รวบรวมและกลุ่มอำนาจใหม่นั้นมีชื่อหรือไม่”
นักบู๊ส่ายศีรษะตอบว่า
“ชื่อแซ่ข้าไม่ทราบ ทว่าแม้แต่นักเลงอันดับหนึ่งของเมืองหลวงยังสยบให้กับคนผู้นั้น อืม เื่นี้อีกไม่นานคงต้นเหตุเป็การเปลี่ยนแปลงของเมืองหลวงในอนาคต ยามนี้สำนักใหญ่ทั้งสองล้วนร่อแร่ สำนักพันปีไม่ยุ่งเกี่ยวกับเื่ในเมืองหลวง
“ข้าคาดว่าอีกไม่นานอิทธิพลของกลุ่มอำนาจนี้คงกินไปทั้งเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียงแล้ว เื่ที่ข้าทราบมีเพียงเท่านี้ พี่ชายท่านนี้หากมีวาสนาคงได้พบกันอีก”
ไม่รอให้ไท้หยูรั้งเขาเอาไว้ ก็วิ่งแล่นออกไป เพียงครู่เดียวก็หายวับไปแล้ว ไท้หยูมองท่าร่างของเขา ทราบว่านักบู๊คนนี้ก็เป็ผู้ฝึกตน ทว่าฝึกมรรคาใดยังมองไม่ออก ส่วนระดับฝีมือคาดว่าคงมีอยู่บ้างทว่าไม่สูงมาก ส่วนข่าวพวกนี้สามารถเชื่อได้หรือไม่คงต้องไปพิสูจน์ดูหลังจากนี้แล้ว
โบ๋เวินพลันกล่าวขึ้นมาว่า
“หากเื่ที่เขาพูดเป็ความจริง เช่นนั้นกลุ่มอำนาจที่เขาพูดคงเป็พรรคอัปสรเป็แน่ เหล่านักเลงพวกนั้นแม้แต่สองสำนักใหญ่พวกมันยังไม่ยอมสยบ คาดว่าเื้ัของพรรคอัปสรคงไม่ธรรมดาจริงๆ”
ไท้หยูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า
“พวกเราไปตามหานักเลงเ่าั้ เื่จริงแท้สอบถามแล้วจะทราบเอง”
แน่นอนว่าสอบถามย่อมมิใช่สอบถามอย่างธรรมดา โดยเฉพาะกับนักเลงเมืองหลวงเหล่านี้ที่ดุร้ายยิ่งกว่าสุนัขจรจัด ทว่าไท้หยูพานเชี่ยวชาญการปราบพยศสุนัขพอดี