บทที่ 34 สถานะพิเศษ
เขาหันกลับไปมองพินิจฉู่หยุน จากนั้นเก็บกระบี่เข้าฝักและเดินออกจากลานประลองไป
“หยุดเดี๋ยวนี้ เ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” เมื่อเห็นฉินชูไม่สนใจตัวเอง ฉู่หยุนก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาทันที
“เห็นแก่ภาพลักษณ์ของเขา มีบางคำพูดที่ข้าพูดออกไปไม่ได้ แต่ได้โปรดสำรวมกิริยาท่าทางของเ้าด้วย หากเ้าแค่้าปะทะเพื่อวัดฝีมือก็ย่อมได้ แต่เื่นี้มันเกี่ยวอะไรกับการที่ข้าปฏิเสธท่านปรมาจารย์ของเ้า เ้าหยิบยกเื่นี้ขึ้นมาเป็เหตุผลในการฝึกซ้อม ทั้งนี้ก็เพื่อจะสั่งสอนข้างั้นหรือ เป็คู่ซ้อมวัดฝีมือเป็เื่หนึ่ง การสั่งสอนเป็อีกเื่หนึ่ง ไม่ควรเอามารวมกัน” ฉินชูชี้ไปทางเหยียนอี้ที่อยู่ด้านหลังและอธิบายเหตุผลของตัวเอง
“ฉู่หยุน พวกเราค่อนข้างสนิทกัน ที่ผ่านมาข้ายืนเคียงข้างสนับสนุนเ้ามาตลอด แต่ครั้งนี้ฉินชูพูดถูก” เหยียนอี้พูดขึ้น เขารู้ดีว่ากิริยาท่าทางของฉู่หยุนขวางตาฉินชูแน่นอน อีกทั้งเขายังรู้ดีว่าฉินชูเป็คนแบบไหน ทุกคนทั่วทั้งยอดเขาชิงจู๋ต่างก็รู้ดี การที่เขาอธิบายเหตุผลของตัวเองอย่างใจเย็นขนาดนี้ก็ถือว่าไว้หน้าเธอมากแล้ว เหยียนอี้ไม่อยากให้มีใครใช้ท่าทีเช่นนี้ปฏิบัติต่อคนบนยอดเขาชิงจู๋ ต่อให้คนคนนั้นจะเป็ฉู่หยุนที่ตัวเองกำลังตามเอาใจอยู่ก็ตาม
ฉู่หยุนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก “ถึงแม้การยอมรับความผิดต่อหน้าคนอื่นจะทำให้ข้าอับอายไม่น้อย แต่ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ก็ไม่เหมาะสมจริงๆ ว่าแต่ตอนนี้พอจะเป็คู่ซ้อมวัดฝีมือกับข้าได้แล้วหรือยัง”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นของฉู่หยุน ฉินชูก็กลับมาที่กลางลานประลองอีกครั้ง ในเมื่ออีกฝ่ายยอมรับผิดและแก้ไข ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่เขาจะต้องทำตัวบึ้งตึงต่อไป
“ศิษย์พี่เหยียน ศิษย์พี่ฉู่ พวกศิษย์พี่ทั้งสองเป็ถึงศิษย์สายหลักที่เป็ถึงผู้ฝึกตนขั้นสี่ ส่วนตบะของฉินชูเพิ่งจะอยู่ขั้นสองอยู่เลยนะขอรับ” ศิษย์สายในคนหนึ่งพูดขึ้น เพราะเขาคิดว่าไม่เหมาะสม เขาไม่อยากเห็นฉินชูถูกคนอื่นใช้ตบะที่สูงกว่าข่มขวัญ
ฉินชูส่ายหน้าให้ศิษย์สายในคนนี้ “ขอบใจมาก แต่ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้ข้าหมดความกล้าที่จะชักกระบี่ออกมาต่อสู้”
ฉู่หยุนชักกระบี่ออกมาและพุ่งไปที่หน้าอกของฉินชูทันที
ฉินชูเบี่ยงเท้าหลบพร้อมชักกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะงัดขึ้นไปที่กลางใบดาบของฉู่หยุนที่เป็จุดบอดของกระบี่ ครั้นทำลายการโจมตีแรกของฉู่หยุนได้ก็เท่ากับทำลายรอยต่อที่นำไปสู่กระบวนท่าถัดไปของอีกฝ่าย
ครั้นใบดาบถูกงัดจนเสียวิถีการโจมตี ดวงตาของฉู่หยุนพลันฉายแววแปลกใจขึ้นทันที เพราะการโจมตีของฉินชูเพียงครั้งเดียวทำให้จังหวะการโจมตีต่อไปของเธอแปรปรวน
สูดลมหายใจอีกหนึ่งที ฉู่หยุนก็ง้างกระบี่ฟาดฟันใส่ฉินชูไม่หยุด
ฉินชูพลิกข้อมือ งอศอกปรับตำแหน่งใบดาบและเริ่มป้องกัน และก็เป็เหมือนเช่นเคย กระบวนท่าป้องกันช่างไหลลื่นดุจสายนที ท่าหนึ่งเชื่อมต่อไปอีกท่าหนึ่งอย่างลื่นไหล
การโจมตีของฉู่หยุนหนักแน่นดุดัน แต่จังหวะขาดห้วงไม่พลิ้วไหว เธอไม่อาจโจมตีให้ฉินชูเสียจังหวะได้เลยแม้แต่ห้วงเดียว ถึงจะมีพลังปราณขั้นที่สามล้อมไปทั่วใบดาบก็ไม่อาจทำให้วิถีกระบี่ของฉินชูสั่นคลอนได้เลย ในทางตรงกันข้าม จังหวะการโจมตีของเธอกลับถูกสกัดั้แ่ยังไม่ทันเริ่มเอาจริง
หลังจากเก็บกระบี่เข้าฝัก ฉู่หยุนก็ประสานมือคำนับฉินชู “ข้าไม่สามารถทำลายการป้องกันของเ้าได้ ในการประลองครั้งนี้ ข้าเป็ฝ่ายแพ้แล้ว”
ท่าทีของฉู่หยุนทำเอาฉินชูแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดว่าฉู่หยุนจะโมโห แต่ใบหน้าของเธอปราศจากแววโมโหอย่างสิ้นเชิง
“การซ้อมวัดฝีมือไม่มีแพ้ชนะ อย่างไรฝากคำทักทายจากฉินชูผู้นี้ไปถึงท่านาุโเสวี่ยอินด้วย” หลังจากเก็บกระบี่ ฉินชูก็จากไป เขารู้ดีว่าฉู่หยุนยังสู้ไม่เต็มที่ นางมีตบะขั้นที่สี่ แต่กลับสำแดงออกมาแค่ขั้นที่สาม
“ต้องบอกเลยว่า สมแล้วที่พวกยอดเขาหลักแพ้ ตอนนี้ตบะของเขาอยู่แค่ขั้นที่สองหนิงหยวน ยังไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนขั้นที่สี่หลิงหยวน ลำพังแค่ขั้นที่สามก็แทบไม่มีใครโค่นเขาได้แล้ว” ฉู่หยุนมองตามแผ่นหลังของฉินชูที่คล้อยจากไป
“ศิษย์พี่ฉู่ ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ฉินชูเริ่มทำภารกิจระดับสี่แล้วและเขาก็ฆ่าสัตว์อสูรขั้นที่สี่ไปมากมาย” ศิษย์สายในบนยอดเขาชิงจู๋คนหนึ่งพูดขึ้น
เหยียนอี้มองฉู่หยุนพลางคลี่ยิ้ม “ใช้ตบะขั้นที่สามเป็คู่ซ้อมยังพอทน แต่ใช้ตบะขั้นที่สี่เป็คู่ซ้อมให้เขา พวกเราคงกลายเป็เื่ตลก”
“การพิจารณาเลื่อนขั้นปีนี้ เขาน่าจะได้เป็ศิษย์สายในเลย จากศิษย์รับใช้เลื่อนขั้นเป็ศิษย์สายในภายในหนึ่งปี กรณีแบบนี้แทบไม่เคยเกิดในประวัติศาสตร์ของสำนักชิงหยุนมาก่อน” ฉู่หยุนพูดขึ้น
เหยียนอี้ส่ายหน้า “ในสำนักชิงหยุน สมาชิกตามยอดเขาอื่นๆ ที่เหลือล้วนคิดแบบเดียวกับเ้า แต่เหล่าลูกศิษย์บนยอดเขาชิงจู๋ไม่คิดเช่นนี้ เขามีเหตุผลอะไรต้องเลื่อนขั้นเป็ศิษย์สายในด้วย ในเมื่อตอนนี้เขาเป็หัวหน้าศิษย์รับใช้และใช้ชีวิตเป็อยู่อย่างสุขสบายที่หอศิษย์รับใช้ อีกอย่างศิษย์น้องไม่สังเกตหรือว่าเ้าหมอนี่ไปไหนมาไหนบนยอดเขาชิงจู๋ได้ตามอำเภอใจ ทั้งผู้ดูแลและผู้คุมกฎล้วนไม่สนใจ เขาน่าจะเป็ศิษย์รับใช้คนแรกในประวัติศาสตร์สำนักชิงหยุนของพวกเรา ที่ได้รับสถานะพิเศษเช่นนี้ ส่วนเื่ทรัพยากรและตำราคัมภีร์ที่จำเป็ต้องใช้ฝึกตน ตอนนี้เขามีแต้มคุณูปการเป็แสนๆ แต้มแล้ว จำเป็ต้องกังวลเื่นี้ด้วยหรือ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ทั้งที่สามารถแลกตำราคัมภีร์ฝึกตนเล่มใดก็ได้ในหอคัมภีร์ แต่เ้าหมอนี่ก็ยังเอาแต่ฝึกวิชากระบี่พื้นฐานอยู่ซ้ำๆ แบบเดิม!”
“ไม่จำเป็ต้องเลื่อนขั้นจริงๆ แหละ เขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็ศิษย์รับใช้ก็ไม่น้อยหน้าใคร ตอนนี้ดูเหมือนว่าคำว่า ‘ศิษย์รับใช้’ จะเป็คำที่ทุกคนในสำนักชิงหยุนได้ยินมากที่สุดแล้วกระมัง!” ฉู่หยุนคลี่ยิ้มอย่างขบขัน เพราะเธอคิดว่าหากใครคิดดูถูกศิษย์รับใช้ใน่เวลานี้ล่ะก็ มีหวังถูกแสกหน้ากลับไปแน่นอน
เมื่อกลับมาที่หอศิษย์รับใช้ ฉินชูก็เห็นเหล่าศิษย์รับใช้กำลังฝึกตนกันอยู่ เขาทักทายเอ้อพั่ง ไป๋อวี้และพวกหลินเจิงสักพักก่อนกลับไปฝึกตนต่อที่ผาหินตัด
ทางด้านโม่เต้าจื่อ ่นี้เขาค่อนข้างแปลกใจกับความเงียบของฉินชู ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหลังจากฉินชูเสร็จธุระแล้วคงรีบมาหาเขาเพื่อให้ช่วยย้อนนิมิตค้นหาชาติกำเนิดของตัวเอง แต่ฉินชูกลับไม่มา ทว่าเขาก็ได้ฟังเื่ราวของฉินชูผ่านลู่หยวน
“ท่านาุโขอรับ อีกสามเดือนกว่าก็จะถึงการประลองยุทธ์จัดอันดับประจำปีของศิษย์รับใช้ ศิษย์สายนอกและศิษย์สายนอกหน้าใหม่แล้วขอรับ ศิษย์ผู้น้อยคิดว่าฉินชูคงไม่อยู่เฉยแน่นอน” ลู่หยวนพูดขึ้น
“ถ้าให้เขาไปเข้าร่วม เกรงว่าคงกวาดทุกอันดับ แต่จงระวังเอาไว้อย่าง เ้าอย่าเปิดโอกาสให้พวกซูซานเหอกับจางจี้เด็ดขาด เ้าออกโรงจัดการเองได้เลย ยังมีอีกเื่ที่ข้าต้องบอกเ้าให้รู้ไว้ล่วงหน้า โบราณสถานชิงหวางจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้งภายในหุบเขามี่หยุน ่เวลาคงประมาณหลังจากการประลองยุทธ์ของสำนักพวกเราหนึ่งเดือนกว่า ด้วยพลังของผนึกของโบราณสถานแห่งนี้ ผู้ฝึกตนที่สูงกว่าขั้นที่สี่ไม่สามารถเข้าไปได้ สำนักจำเป็ต้องจัดสรรกลุ่มลูกศิษย์ยอดฝีมือเข้าไปที่นั่นและคว้าเหรียญลัญจกรของชิงหวางมาให้ได้ เพราะมันมีความสำคัญกับสำนักของพวกเรายิ่งนัก หากพวกศิษย์รับใช้และศิษย์นอกอยากเข้าร่วมก็ย่อมได้ แต่ต้องเตือนพวกเขาถึงอันตรายให้ชัดเจนว่ามีโอกาสตายสูงมากเช่นกัน” โม่เต้าจื่อพูดกับลู่หยวน
ลู่หยวนพยักหน้า เขารู้ดีว่าการที่โม่เต้าจื่อพูดเสริมด้วยประโยคที่ว่า ‘หากพวกศิษย์รับใช้และศิษย์นอกอยากเข้าร่วมก็ย่อมได้’ กำลังสื่อถึงฉินชูเป็พิเศษและอยากให้โอกาสเขา แค่โอกาสนี้ก็หาไม่ง่ายแล้ว เพราะโบราณสถานชิงหวางจะปรากฏขึ้นมาบนโลกนานๆ ครั้ง มีลูกศิษย์ในสำนักชิงหยุนตายไปในโบราณสถานแห่งนี้นับไม่ถ้วนเพียงเพื่อเหรียญลัญจกรของชิงหวาง
‘ชิงหวาง’ คือ ศิษย์เอกอันดับหนึ่งของท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักชิงหยุน เป็ผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นที่หกหวางเจ่อ แต่เนื่องจากกระหายเืและโปรดปรานการเข่นฆ่ามากเกินไป เลยถูกท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักชิงหยุนเนรเทศออกไป แต่ภายในใจของเขายังคงจมปลักอยู่กับสำนักชิงหยุนและอยู่ฝึกตนภายในหุบเขามี่หยุนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก คอยเฝ้าระวังปกป้องสำนักชิงหยุนอยู่เรื่อยมา โดยเหรียญลัญจกรของชิงหวางจัดว่าเป็สมบัติลับที่สำคัญของสำนักชิงหยุนชิ้นหนึ่ง ตอนที่ท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งขับไล่ชิงหวางออกไป เขาไม่ได้เก็บเหรียญลัญจกรคืนมา ทำให้เหรียญลัญจกรของชิงหวางตกอยู่นอกสำนักมาโดยตลอด
ตบะของฉินชูพัฒนาเร็วขึ้นมาก ฝึกฝนผ่านไปแล้วอีกหนึ่งเดือน ตบะของวิถีกระบี่พื้นฐานของเขาก็หยุดชะงักอยู่กับที่ ครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ๆ เขาก็คิดว่าถึงเวลาที่ตัวเองจะต้องต่อยอดวิชากระบี่ของตัวเองแล้ว วิชากระบี่พื้นฐานอย่างไรก็เป็กระบวนท่าพื้นฐานอยู่วันยังค่ำ ใช้ปกป้องป้องกันก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่พลังพิฆาตที่ใช้ปลิดชีพยังมีพลังไม่มากพอ
ฉินชูเดินทางมายังยอดเขาหลัก เพื่อมาที่หอคัมภีร์
“ขั้นที่สองหนิงหยวนระดับเจ็ด ความเร็วในการฝึกตนถือว่าไม่เลว แต่ยังไม่พอ” โม่เต้าจื่อมองพินิจฉินชู
“ฉินชูรู้ดีว่ายังไม่พอ แต่สัญญาว่าจะบรรลุเงื่อนไขของท่านาุโให้จงได้ ครั้งนี้ฉินชูตั้งใจจะมาแลกวิชากระบี่” ฉินชูบอกถึงจุดประสงค์ที่มา
“ขัดเกลาวิชากระบี่พื้นฐานได้ดีแล้วหรือ เ้าเดินได้หรือยัง ยังเดินได้ไม่เต็มที่แล้วยังคิดจะวิ่งอีก” โม่เต้าจื่อขมวดคิ้วมองฉินชู