ร่างสูงของสตรีคนหนึ่งยืนรอเธออยู่ด้านนอกห้องหอพลางเร่งเร้า ด้วยการเดินไปเดินมาหน้าห้องทำให้เธอต้องรีบจัดแจงชุด หลิวเซียงเอ๋อร์ยืนมองตัวเธอผ่านเงาสะท้อนจากแผนทองเหลือง ร่างอรชรที่สวมชุดคล้ายคลึงบุรุษ มัดรวบผมตึงกลางศรีษะใบหน้ายามไร้เครื่องประทินโฉมกลับมองดูสดใส ผิวกายเรียบเนียนขับชุดสีครามเข้มให้ดูสว่าง
“หลินเสียงพอแล้ว เราจะไปฝึกซ้อมมิได้ออกไปเที่ยวไหนมิต้องแต่งมากนัก” เสียงห้ามของเธอทำให้นางหยุดมือลง หลินเสียงมองนายตนอย่างสงสัยเหตุใดนางถึงมีวรยุทธ์จนสามารถที่จะฝึกสอนผู้อื่นได้ เพราะนางเองก็มิเคยออกห่างจากกายนางไปที่ใด
“พระสนมท่านไปเอาวิชาวรยุทธ์นี้มาจากที่ใดกันหม่อมชั้นอยากรู้นัก” หลินเสียงเอ่ยถามอย่างสงสัย
‘ฉันจะบอกได้ยังไง ว่าจากภพชาติเดิมที่ฉันเคยอยู่’ หลิวเซียงเอ๋อร์มองหน้ายกยิ้มกรุ่มกริ้มก่อนจะกระซิบบอกนาง
“เราก็แค่จำเอาเวลาที่เฉินฮั่วฝึกไง” เธอโกหกหญิงสาวตรงหน้าเพื่อคลายความสงสัยให้นาง หากความจริงแล้วถ่วงท่าที่เธอใช้ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เฉินฮั่วใช้จริง ๆ เธอเองก็สงสัยเช่นกันเหตุใดเฉินฮั่วจึงรู้ท่าทางของศิลปะเทควันโดนี้
“...เพค่ะ” หลินเสียงทำท่าพยักหน้ารับงก ๆ ราวกับเข้าใจในสิ่งที่เธอบอก
หลิวเซียงเอ๋อร์จัดแจงชุดอย่างเรียบร้อยพร้อมก้าวออกจากห้องหอนั่น เธอมองสตรีตรงหน้าที่มาพร้อมด้วยชุดที่คุ้นตาดังเช่นที่เห็นทุกครั้ง
“คารวะอาจารย์” น้ำเสียงเล็ก ๆ กระเซ้าแหย่เอ่ยเรียกเธอ หลิวเซียงเอ๋อร์ยกยิ้มอย่างภูมิใจ
‘ไหน ๆ ก็มาอยู่ที่นี่แล้วก็สร้างประโยชน์ให้เขาหน่อยเดี๋ยวจะหาว่าอยู่เฉย ๆ มิทำอะไรเลย’ หลิวเซียงเอ๋อร์จับเอวเล็กคอดของสตรีด้านหน้าจนผู้ถูกแตะใ
“อ่ะ...สนมหลิวท่านจะทำอะไร”
“ก็จะดูว่าองค์หญิงพร้อมไหมล่ะ การฝึกวิชานี้เป็ศาสตร์อย่างหนึ่งเราจะไม่ใช้อาวุธหรือเครื่องมือใด ๆ ฉะนั้นขอให้องค์หญิงปดดาบข้างเอวนี้ด้วย” หลิวเซียงเอ๋อร์อธิบายรายละเอียดของการฝึกเทควันโดที่ผู้คนในยามนี้ยังไม่มีใครรู้จัก
“ได้ ๆ ..แล้วข้าต้องทำยังไงต่อ”
“เราจะต้องเตรียมพร้อมร่างกายกันก่อน เชิญนั่งลงที่พื้นนี้ก่อนเพค่ะ” หลิวเซียงเอ๋อร์กดไหล่องค์หญิงหนานเว่ยให้ย่อกายลงกางขาออกเพื่อดูความพร้อม ช่างโชคดีที่องค์หญิงหนานเว่ยที่มีร่างกายพร้อมเธอจึงมิต้องมาฝึกขั้นพื้นฐานเยอะ เธอและองค์หญิงหนานเว่ยให้เวลาฝึกซ้อมราวเกือบชั่วยาม ก็มีสองบุรุษที่คุ้นเคยเดินเอ่ยถามมาแต่ไกล
“สนมหลิวช่างน่าสนใจยิ่งนัก” อ๋องสี่ยกคิ้วแปลกใจกับถ่วงท่าเธอ ก่อนจะหยุดยืนตรงลานไม้กว้างหน้าสวนของตำหนักซูฮวากง
“อ๋องสี่..รองแม่ทัพ เหตุใดวันนี้ท่านมิเล่นหมากล้อมกันแล้วหรือ” องค์หญิงหนานเว่ยเอ่ยถามสองบุรุษผู้มาใหม่เพราะทุกครั้งที่กลับจากรบรองแม่ทัพผู้นี้ก็จะเข้ามาเพียงนั่งเล่นหมากล้อมกับอ๋องสี่และฮ่องเต้มิเคยเดินไกลมายังตำหนักสนม
“ข้าได้ยินนางกำนัลพูดกันว่าเ้ามาให้สนมหลิวฝึกวรยุทธ์ ข้าแปลกใจยิ่งนักจึงอยากมาเห็นด้วยตาตนเอง” อ๋องสี่เอ่ยตอบ อ๋องสี่ หรือหนานเออร์หรง เป็อนุชาของฮ่องเต้หนานรั่วหานที่เกิดจากมารดาเดียวกัน เขาเป็คนที่รักสนุกจึงมิได้รับผิดชอบสิ่งใดมากนัก ส่วนใหญ่แล้วที่ที่เขามักจะชอบไปก็คือหอตั่งรี่ฮวามากกว่าวังหลวงนี้
“ข้าก็แค่ฝึกศิลปะป้องกันตัว ใช่ไหมท่านอาจารย์”
“อาจารย์?” รองแม่ทัพจิ้งเอ่ยย้ำ ดูเหมือนว่ายามนี้หลิวเซียงเอ๋อร์ที่เขารู้จักดูจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
“ใช่..เพราะสนมหลิวเป็ผู้ฝึกสอนข้า ข้าจึงนับถือเป็อาจารย์อีกผู้หนึ่ง”
“แล้วเหตุใดองค์หญิงจึงมิเรียกกระหม่อมว่าอาจารย์บ้าง” องค์หญิงหนานเว่ยเบียนหน้าเบะปากบางราวทะเล้น นางมักจะทำอะไรเอาแต่ใจตนเองเสมอแต่ก็มิเคยเอาเปรียบผู้ใด ด้วยเพราะพระเชษฐาของนางเป็ถึงชินอ๋องและยังปลูกฝังคุณธรรมให้นางมาแต่เล็ก นางจึงรักความยุติธรรมเป็ใหญ่
“ก็ท่านมิได้บอกให้ข้าเรียกนี่”
“....” เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ องค์หญิงน้อยผู้นี้เขาเองก็ผูกพันราวน้องสาวอีกคน ด้วยเพราะเธอมักจะติดตามชินอ๋องไปราชการบ่อย ๆ ทำให้มักมีท่าทางคล้ายบุรุษไม่เรียบร้อยดังสตรีในวัง และยังชอบการยิงธนูเรียกได้ว่าเก่งกาจกว่าบุรุษทั่วไป
หนานชินอ๋องที่กลับมาครานี้ยังมิเคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเฮา เขาจึงได้เดินทางมายังวังหลังนี้พร้อมองครักษ์ข้างกาย ฮ่องเฮาที่อาการไม่สู้ดีนักทำได้เพียงกล่าวพูดคุยกับเขาได้ไม่กี่ประโยคก็ต้องพัก หนานชินอ๋องจึงต้องกลับเร็ว แต่ยังไม่ทันได้ผ่านรั้วตำหนักวังหลัง เขาก็พบเหล่าผู้คนที่คุ้นเคยอยู่ทางด้านตำหนักของสนมหลิวซูเฟย ทำให้เขาเองอยากที่จะลองเดินเข้าไปกล่าวทักว่าสนมซูเฟยผู้นี้เป็เช่นไร มีเพียงชื่อเสียงนางที่ฮ่องเต้กล่าวเล่าให้ฟัง
“ท่านพี่..ท่านมาได้เยี่ยงไร” องค์หญิงหนานเว่ยมองพระเชษฐาที่ยามนี้ยืนมองนางห่างราวหนึ่งวา (1)
“คารวะชินอ๋อง” บุรุษทั้งสองหันมาคารวะพร้อมกันก่อนที่ชินอ๋องจะเดินเข้าไปใกล้ก็ได้เวลาพักของนาง
“ท่านพี่..คงได้ยินกำนัลพูดกันอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าไม่ได้ยินอะไร เพียงแต่มองเห็นพวกเ้าจึงใคร่รู้ถึงได้มา” หนานชินอ๋องจ้องมองไปยังหลิวเซียงเอ๋อร์ที่ตอนนี้ใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดโต เธอเอื้อมสะบัดชุดเล็กน้อยก่อนจะคารวะหนานชินอ๋อง
“คารวะชินอ๋อง” หลิวเซียงเอ๋อร์ยอบกายลงโดยมิกังวลภาพลักษณ์นางในยามนี้ หนานชินอ๋องย่นคิ้วหนาพิจารณาสตรีงามตรงหน้า หากเอ่ยถึงสนมซูเฟยเมื่อยามเข้าวังใหม่ ๆ แล้วช่างดูแตกต่างแม้เขาจะมิได้เห็นด้วยตาตนเองแต่ก็พอได้ยินเหล่าขันทีนางกำนัลในตำหนักพูดคุยอยู่บ้างเมื่อครั้งเข้ามาปรึกษาหารือกับฮ่องเต้ ช่างผิดกับสิ่งที่เขาได้ยินนัก สตรีที่ว่ากิริยามารยาทสง่าดุจนางพญาดูช่างห่างไกลนาง
“ดูท่าพระสนมกำลังมีสิ่งที่น่าสนใจทำอยู่ เช่นนั้นข้ามิอาจรบกวน” หนานชินอ๋องยกกำปั้นมือขึ้นเพื่อปิดมุมปากที่ยกยิ้ม เขานึกภาพไม่ออกเลยยามที่ฮ่องเต้ไปพบนางที่หอต้ารี่ฮวา
“มิเป็การรบกวนเลยเพค่ะ หากชินอ๋องพอมีเวลาร่วมดื่มน้ำชาด้วยกันซักครั้งคงดีไม่น้อย” หลิวเซียงเอ๋อร์เชื้อเชิญผู้มาใหม่ เธอ้าที่จะรู้จักตัวละครด้านหลังนี้นักว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็เช่นไร
“ดีสิ..ข้ากำลังคอแห้งอยู่พอดี” พูดจบหนานลู่ หรือหนานชินอ๋องได้ย้ายมานั่งที่ม้านั่งในศาลาหน้าตำหนัก บรรดาสาวใช้นางกำนัลต่างก็ยกน้ำชาและขนมออกมาวางไว้มากมาย พวกเขาต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเองได้พบเจอมา มีเพียงหลิวเซียงเอ๋อร์ที่ไม่ได้เอื่อนเอ่ยใด ๆ ออกมา เพราะหากเธอได้เล่าแล้วพวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่เธอบอกหรือไม่นั้นก็ไม่รู้ได้ เธอทำได้เพียงเป็ผู้ฟังที่ดี มีหัวเราะบ้างในบางที่พวกเขาเอยเล่าเื่ตลกที่ผ่านมาให้ฟัง บรรยากาศที่ร่วมพูดคุยต่างไหลลื่นเป็อย่างดีลวงเลยจนถึงยามซวี (2)
ทางด้านตำหนักหลันเป่าในยามนี้ฮ่องเต้ที่กำลังตั้งใจสะสางงานต่าง ๆ เพื่อให้พร้อมร่วมพิธีอภิเษกสมรสกับองค์หญิงแห่งแคว้นหูเป่ยตามสารที่ส่งมากับขบวนขณะฑูต ใบหน้าเคร่งขรึมดูไม่มีทีท่าจะก้าวลุกออกไปที่ใด มีเพียงสตรีอีกคนที่คอยช่วยอ่านฎีกามากมายเหล่านี้ รวมทั้งช่วยเขาฝนหมึก ซึ่งเขาเองก็มิได้เอ่ยขัดอะไรเพราะั้แ่ที่นางเข้ามาในตำแหน่งสนมเขานั้นก็มิเคยทำให้เขาต้องรู้สึกหนักใจใด ๆ มีเพียงที่นางมักจะชอบห่วงใยผู้อื่นเกินกำลังตนจนถูกสนมอื่นรังแก เขาที่เป็ที่พึ่งก็ต้องปกป้องนาง
“ฝ่าาทรงเมื่อยพระวรกายหรือไม่เพค่ะ เดี๋ยวหม่อมฉันนวดให้” จูเหมยฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวเป็ห่วงเขา แววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำให้ผู้ที่นั่งตรงหน้ากลับรู้สึกสงสารนางที่เอาติดอยู่กับเขามาหลายชั่วยาม
“เ้าไปพักซะก่อนเถอะ เจิ้นยังอยู่อีกหลายชั่วยาม”
“เช่นนั้นฝ่าาทรงออกไปเดินเล่นซะหน่อยไม่ดีหรือ หม่อมฉันได้ยินมาว่าสนมหลิวได้ฝึกศิลปะป้องกันตัวให้แก่องค์หญิงเจ็ด”
“ฝึกศิลปะป้องกันตัว?” หนานรั่วหานขมวดคิ้วชนราวสงสัย
“ไม่เพียงแค่องค์หญิงเจ็ด แต่ยังมีรองแม่ทัพจิ้งอยู่ด้วยคงน่าสนุกนักนะเพค่ะ” จูเหมยฮวาเอ่ยราวอยากชักชวนให้ไปร่วมดูกับนาง หากแต่ฮ่องเต้หนุ่มเมื่อได้ยินชื่อรองแม่ทัพนั้นกลับกำมือแน่น ฝ่ามือหนารวบกำราวสะกดกลั้นอารมณ์ เพราะเขาย่อมรู้ดีว่ารองแม่ทัพจิ้งนั้นมีใจให้นางมาโดยตลอด ครั้งเมื่อยามที่เขาอภิเษกสมรสนางเข้าเป็สนมก็มิได้ใส่ใจความรักใคร่นั้น มีเพียงความเหมาะสมที่เป็การหารือจากเหล่าข้าหลวงที่เห็นดีเห็นชอบ ส่วนใจเขานั้นมิได้สนใจนางเลย หากในยามนี้เพียงแค่ได้ยินชื่อนางเขากลับอยากจะเห็นหน้านางเสียให้ได้ และยิ่งรู้ว่าบุรุษที่อยู่ใกล้นางยามนี้เป็ใครยิ่งอยากจะลุกออกไปเสียให้ไว จูเหมยฮวามองแววตาคมที่ตอนนี้ดูสั่นไหวจนเธอรู้สึกได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้