ในใจมู่จื่อหลิงคิดว่า ต่อไปถ้าผู้ใดกล้ามาพูดว่าฉีอ๋องมีนิสัยรักสะอาด ไม่เข้าใกล้สตรี นางจะเถียงให้
อะไรคือไม่เข้าใกล้สตรี? เป็เื่ที่กุขึ้นมาทั้งนั้น เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองวัน นางคล้ายกับว่าจะถูกแต๊ะอั๋งไปถึงสองครั้ง
เ้าคนเลวน่ารังเกียจผู้นี้ช่างเหมือนกับ นกไม่ร้องนั้นธรรมดา นกร้องขึ้นมาคนตื่นตะลึง [1]
แต๊ะอั๋งก็แต๊ะอั๋งเถอะ ยังมาหาเหตุผลอย่างมั่นอกมั่นใจอีก สิ่งใดคือไม่เคยเสียเปรียบ สิ่งใดคือไม่ดื่มจอกชาร่วมกับผู้อื่น เป็คำพูดไร้สาระชัดๆ
สายตาหลงเซี่ยวอวี่จับจ้องใบหน้าเล็กที่ทั้งแดงแจ๋ทั้งฟืดฟาดอยู่นาน ดูเหมือนจะรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ ก็ยกมุมปากน่ามองขึ้นน้อยๆ ถามอย่างอารมณ์ดีอีกครั้ง “ยังกระหายหรือไม่?”
เสียงของหลงเซี่ยวอวี่นั้นทรงเสน่ห์ทุ้มต่ำ เจือไปด้วยความรู้สึกชวนให้ลุ่มหลง ไพเราะยิ่งนัก ราวกับเสียงแห่ง์
ใจมู่จื่อหลิงเต้นแรงไม่เป็จังหวะโดยไม่รู้ตัว สะดุ้งใขึ้นมาฉับพลัน รีบร้อนโบกไม้โบกมือ ส่ายศีรษะทันที พูดอย่างปากไม่ตรงกับใจ “ไม่ ไม่กระหาย ไม่กระหายแล้ว”
กระหาย! กระหายอย่างแน่นอน
แต่ว่า นี่มันตลกร้ายระดับชาติแล้ว!
ต่อให้วันนี้นางจะตายเพราะกระหายน้ำ ก็มิอาจปล่อยให้คนเลวคนนี้ป้อนชาปากต่อปากได้อีก ยังดีที่ยังไม่มีใครเห็น มิเช่นนั้นคงขายหน้ายิ่งนัก
“อืม ไปได้” หลงเซี่ยวอวี่กลับไม่ไล่ถามต่อ จู่ๆ ก็ยื่นมือเรียวยาวออกมา เตรียมรัดเอวคอดของมู่จื่อหลิงไว้
“หม่อมฉันไปเองได้” ดูเหมือนว่ามู่จื่อหลิงจะกลัวถูกแต๊ะอั๋งอีก เห็นหลงเซี่ยวอวี่ยื่นมือมา นางจึงถอยไปก้าวหนึ่งตามจิตใต้สำนึก
เพียงแต่ หลังจากที่พูดประโยคนี้จบ นางก็เสียใจทันที
เพราะยามนี้มู่จื่อหลิงถึงได้รู้สึกตัวว่าตอนนี้นางยังอยู่ที่ศาลาชั้นสอง และไม่มีบันได นางจะไปเองได้อย่างไร? ถ้าะโลงไป ไม่แขนหักก็ขาหักแล้ว
ต้องโทษหมอนี่ที่ทำให้สตินางไม่แจ่มชัด
เพียงแค่ชั่วพริบตา มู่จื่อหลิงฉวยตอนที่หลงเซี่ยวอวี่ยังไม่ดึงแขนกลับไป รีบมุดเข้าไปในอ้อมอกของหลงเซี่ยวอวี่
ดูเหมือนจะกลัวว่าหลงเซี่ยวอวี่จะไม่พานางลงไป ทำหน้าหนาดึงฝ่ามือใหญ่ของหลงเซี่ยวอวี่ มาโอบรัดรอบเอวคอดของตนเองแน่น ใช้มือขาวนวลของตนเองทับไว้อย่างแ่า เกรงว่าหลงเซี่ยวอวี่จะดึงมือกลับ
ความเร็วและการเคลื่อนไหวของมู่จื่อหลิง ทำให้คนพูดไม่ออก ว่องไวเสียจนไม่มีใครเทียบได้
เป็ฝ่ายอิงแอบเข้ามาในอ้อมอกก่อน!
หลงเซี่ยวอวี่หลุบตามองหญิงสาวตัวเล็กในอ้อมกอด มุมปากกระตุกน้อยๆ หญิงผู้นี้จะโง่ไปกว่านี้ได้อีกหรือไม่?
มู่จื่อหลิงเห็นหลงเซี่ยวอวี่ไม่ขยับอยู่นาน นางเงยศีรษะเล็กเท่าฝ่ามือขึ้นไปอย่างกระวนกระวาย มองหลงเซี่ยวอวี่อย่างสงสัย
เห็นว่าหลงเซี่ยวอวี่ก็หลุบตามองนางอยู่พอดี ั์ตามืดดำลุ่มลึกนั้น...ดูไม่ออก
มู่จื่อหลิงพลันหัวใจเต้นแรง เอ่ยเตือนอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง ไปได้แล้วเพคะ”
หลงเซี่ยวอวี่ไม่พูดจา กระชับมือที่โอบรัดเอวคอดของมู่จื่อหลิงให้แน่นขึ้นอีก ทะยานกายมุ่งหน้าไปนอกจวนฉีอ๋อง
เดิมมู่จื่อหลิงคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่เพียงแค่จะพานางลงไปบนพื้น ไม่คิดว่าหลงเซี่ยวอวี่จะพานางไปนอกจวนอ๋อง
ร่างกายของพวกเขาร่อนลงบนหลังของอาชาเปินเหลยที่รออยู่หน้าประตูจวนอ๋องอย่างนิ่มนวล อาชาเปินเหลยส่งเสียงร้องฮี้ยาวๆ ห้อตะบึงออกไป
อาชาเปินเหลยวิ่งกุบกับออกไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง เล่อเทียนอยู่ที่ใด? หม่อมฉันไปหาเขาเองก็ได้” มู่จื่อหลิงซุกตัวอยู่ในอ้อมอกหลงเซี่ยวอวี่แต่โดยดี ะโออกมาเสียงดังแข่งกับเสียงฟู่ฟู่ข้างหู
หมอนี่จะพานางไปหาเล่อเทียนด้วยตนเอง?
ที่จริงแล้วมู่จื่อหลิงอยากพูดเสริมเข้าไปอีกประโยค ท่านวันๆ ธุระรัดตัว ไม่รบกวนม้าใหญ่ของท่านแล้ว
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการถูกโยนลงจากม้า มู่จื่อหลิงจึงได้แต่นำคำพูดที่อยากจะพูดจริงๆ กลืนลงท้องไป
“สวนจิ้งซิน” หลงเซี่ยวอวี่ขมวดคิ้ว พูดออกมาสามคำอย่างเย็นเยียบ ใบหน้าปรากฏแววไม่พอใจจางๆ
แม้รู้ว่ามู่จื่อหลิงมีธุระกับเล่อเทียน แต่มู่จื่อหลิงวันนี้ต่อหน้าหลงเซี่ยวอวี่จะพูดจะเงียบก็ล้วนเป็เล่อเทียน เล่อเทียน...
ฉีอ๋องในยามนี้ ถ้าได้ยินเล่อเทียนสองคำนี้อีกครั้ง ในที่สุดก็ไม่พึงพอใจแล้ว!
แม้หลงเซี่ยวอวี่จะมีเพียงสามคำง่ายๆ กระชับ แต่ก็แฝงไว้สองความหมาย
ทั้งพูดว่าเล่อเทียนอยู่สวนจิ้งซิน และพูดว่าเขาจะพามู่จื่อหลิงไปที่สวนจิ้งซิน
มู่จื่อหลิงเองก็เข้าใจคำพูดของหลงเซี่ยวอวี่ หมอนี่จะพานางไปสวนจิ้งซิน
เพียงแต่...
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันยังไม่ได้นำล่วมยามา” มู่จื่อหลิงดีดตัวออกมาจากอ้อมกอดเย็นสบายของหลงเซี่ยวอวี่อย่างเฉียบพลัน
เพราะยามผ่าตัดมีเล่อเทียนอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้มู่จื่อหลิงจึงนำสิ่งของที่ต้องใช้ผ่าตัดหลี่เอินบางส่วนออกมาวางเตรียมไว้ในล่วมยาล่วงหน้าแล้ว ยามนี้ไม่ได้นำล่วมยาอำพรางสายตามาแล้วจะผ่าตัดได้อย่างไร?
“ไม่เป็อันใด กุ่ยหยิ่งนำไปแล้ว” หลงเซี่ยวอวี่ตอบรับอย่างเฉยเมย
ในใจมู่จื่อหลิงบรรยายความรู้สึกไม่ออก ที่แท้หลงเซี่ยวอวี่ก็จัดการไว้เรียบร้อยล่วงหน้าแล้ว ให้เล่อเทียนไปสวนจิ้งซิน ให้กุ่ยหยิ่งไปเอาล่วมยา
หลงเซี่ยวอวี่รั้งไหล่บางของมู่จื่อหลิงถือโอกาสดึงเข้ามาสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
บริเวณที่หลงเซี่ยวอวี่แตะต้องนั้นเป็หัวไหล่ที่มู่จื่อหลิงรับฝ่ามือคนชุดดำพอดี เพียงแค่ถูกหลงเซี่ยวอวี่รั้งเบาๆ เช่นนี้ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีก แล้วยังมีแต่มากขึ้นไม่น้อยลง
สีหน้ามู่จื่อหลิงฉายแววสงสัย ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว
สมควรตาย! หัวไหล่เจ็บขึ้นมาอีกได้อย่างไร?
เมื่อเช้าตอนที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ดูแล้วก็ไม่มีปัญหาใด มีเพียงแค่รอยฝ่ามือบางๆเท่านั้น แม้แต่รอยฟกช้ำก็ยังไม่มี เหตุใดยามนี้จึงเจ็บเพียงนี้?
-
อาชาเปินเหลยห้อตะบึงมาทั้งทาง ใช้เพียงครึ่งชั่วยามสั้นๆ เมื่อมาถึงสวนจิ้งซิน ก็พลบค่ำเสียแล้ว
พวกเขาเพิ่งมาถึง กุ่ยหยิ่งก็นำล่วมยามาแล้ว
มู่เจิ้นกั๋วกับเล่อเทียนนั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนในลาน ดื่มชาพลางสนทนากันอย่างสบายใจ
เล่อเทียนยกน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างสง่างาม เพียงแต่ยังไม่ทันกลืนลงไป กลับเหลือบไปเห็นหลงเซี่ยวอวี่รั้งมู่จื่อหลิงทะยานกายลงจากหลังม้าที่นอกเรือนโดยไม่ตั้งใจ
“แค่กๆๆ...” เล่อเทียนสำลักน้ำชาที่กำลังกลืนลงไป ภาพลักษณ์อ่อนโยนสง่างามถูกทำลายจนสิ้นในชั่วพริบตา
“ท่านหมอเล่อ เป็อันใด? ชานี่มีปัญหาหรือ?” มู่เจิ้นกั๋วถามอย่างกังวลสงสัย เขานั่งหันหลังให้กับประตู ย่อมไม่ได้เห็นฉากด้านนอกประตูนั้น
“แค่กๆ...ไม่เป็อันใด น้ำชาไม่มีปัญหา ไม่เลวเลย” เล่อเทียนสำลักจนหน้าแดง มือหนึ่งจับหน้าอกตนเองให้หายใจสะดวก มืออีกข้างโบกไปมาติดๆ กัน
น้ำชาไม่มีปัญหา ฉีอ๋องผู้ไม่ชื่นชอบเข้าใกล้สตรีผู้นั้นนอกเรือนต่างหากที่มีปัญหา!
ยามนี้ หลงเซี่ยวอวี่กับมู่จื่อหลิงเดินเคียงไหล่กันเข้ามา
กุ่ยหยิ่งติดตามอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ แรกเริ่มที่เห็นหลงเซี่ยวอวี่และมู่จื่อหลิงขี่ม้าตัวเดียวกัน เขาก็ใจนพูดไม่ออก ที่แท้สิ่งที่กุ่ยเม่ยพูดก็เป็ความจริง
มู่เจิ้นกั๋วได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันศีรษะไป สีหน้าก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย แล้วรีบร้อนลุกขึ้นทำความเคารพหลงเซี่ยวอวี่
“เล่อเทียน โรคของเ้าเล่า? ดูท่าเหมือนจะหนักหนานัก?” มู่จื่อหลิงมองเล่อเทียนที่ยังไออยู่จนหายใจไม่ออก แสร้งถามอย่างหวังดี
มู่จื่อหลิงย่อมรู้ว่าเล่อเทียนผู้สวมหน้ากากสง่างาม แกล้งทำเป็อ่อนโยนนั้นกำลังสำลักแล้ว ตอนนี้ในใจนางก็มีเพียงสองคำเท่านั้น สมควรตาย!
“แค่กๆ...ไม่มี...ไม่มีอันใด!” ยามที่เล่อเทียนได้ยินก็สำลักจนพูดไม่ออกแล้ว นี่ฉีหวางเฟยมองตรงใดว่าเขาไม่สบาย?
“จะไม่เป็อันใดได้อย่างไร ไอจนกลายเป็เช่นนี้ อ้อ จริงสิ ผู้เป็หมอนั้นไม่สามารถรักษาตนเองได้ ให้ข้าตรวจดูเ้าหรือไม่?” ใบหน้ามู่จื่อหลิงกังวล ในใจกลับชอบใจจนหงายหลัง
ในเมื่อตอนนี้ทั้งเื่ให้เล่อเทียนช่วย ไม่อาจชำระแค้นที่ถูกปั่นหัวคราก่อนได้แล้ว บัดนี้มีโอกาสหยอกเย้า แน่นอนว่าไม่อาจพลาดได้ถือเสียว่าล้างแค้น
“แค่กๆ...” เล่อเทียนพูดไม่ออกจนถึงที่สุด สนใจแต่ไอแล้ว
เขาแค่สำลักน้ำชาเท่านั้น ไหนเลยจะป่วยหนัก?
ฉีหวางเฟย พวกเราไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดพอมาถึงก็ไม่มีคำพูดดีๆ แล้วแช่งให้เขาป่วย คนที่ควรหาหมอมิใช่ฉีอ๋องที่ไม่ชอบเข้าใกล้สตรีผู้นั้นหรือ?
เพียงแต่วินาทีต่อมาเล่อเทียนก็ได้รู้ว่ามู่จื่อหลิงมีความแค้นกับเขา
มู่จื่อหลิงยกมุมปากยิ้มอย่างพึงพอใจ จู่ๆ ก็เดินเข้ามาใกล้เล่อเทียน ยิ้มจนตาหยีกระซิบข้างหูเขาอย่างแ่เบา “ครั้งที่แล้วปั่นหัวเปิ่นหวางเฟยจนหัวหมุน สนุกหรือไม่?”
เล่อเทียนหยุดส่งเสียงไอโดยพลัน ตื่นใขึ้นมาทันที
ที่แท้ ฉีหวางเฟยก็ถูกฉีอ๋อง ‘จัดการ’ ไปแล้วนี่!
ที่แท้ มู่จื่อหลิงปากคอเราะร้ายเช่นนี้ทันทีที่พบเขา กำลังถูกชำระแค้นนี่เอง!
เขาในยามนี้ควรดีใจใช่หรือไม่ที่มู่จื่อหลิงเพียงปากคอเราะร้ายใส่เขา ไม่ได้เข้ามาใกล้อีกก้าว...
เล่อเทียนเพิ่งคิดไป จู่ๆ รู้สึกว่ามีสายลมเย็นๆ พัดมาด้านหลัง ความเย็นวาบไล่ขึ้นมาจากปลายเท้าช้าๆ เสียดแทงเข้าไปในแขนขาและกระดูก
ในชั่วขณะนั้น เล่อเทียนก็รู้ว่าสายลมเย็นๆ นั้นพัดมาจากที่ใด
“ยืนทำอะไรอยู่ ยังไม่เข้าไปตรวจมู่ฟูเหรินอีก?” น้ำเสียงหลงเซี่ยวอวี่เรียบนิ่งดังสายน้ำ กลับเหมือนเสียงหวีดหวิวของสายลมเย็นเยียบทางเหนือ มู่จื่อหลิงและเล่อเทียนได้ยินขึ้นมาก็ตัวสั่น รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
เ้าของเื่มองไม่เห็น แต่คนข้างๆ นั้นชัดเจน มู่จื่อหลิงโน้มเข้าไปใกล้เล่อเทียนอย่างไม่ใส่ใจ ในสายตาหลงเซี่ยวอวี่นั้นดูสนิทสนมยิ่ง
ผู้ที่ไม่รู้คงจะคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่นั้นกังวลอาการป่วยของหลี่เอินจริงๆ?
มู่จื่อหลิงหดคอโดยไม่รู้ตัว เ้าคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นี้เป็อันใดไปอีก?
เล่อเทียนลูบสองแขนเย็นเยียบของเขา ออกจากจวนเมื่อเช้าต้องไม่ได้ดูฤกษ์เป็แน่ เหตุใดโชคร้ายอันใดก็มาตกอยู่ที่เขาเล่า?
มู่จื่อหลิงไม่ล้อเล่นอีก สำรวมขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามมู่เจิ้นกั๋วอย่างจริงจัง “ท่านพ่อ สองสามวันมานี้ร่างกายของท่านแม่เกิดความผิดปกติขึ้นหรือไม่?”
“สองสามวันนี้ท่านหมอเล่อเทียนนั้นช่วยอยู่ดูแลตลอด ไม่เกิดความผิดปกติ ยังคงเป็เช่นเดิม” มู่เจิ้นกั๋วถอนหายใจ สีหน้าของเขายังคงมีความกลัดกลุ้มอันเบาบาง
สองสามวันนี้เล่อเทียนอยู่ที่สวนจิ้งซิน?
มู่จื่อหลิงลอบมองหลงเซี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้าง ในใจก็ไม่สงบขึ้นมา ที่จริงเขาบอกเล่อเทียนไปแล้ว ให้เล่อเทียนมาดูที่นี่ก่อน
แม้หมอนี่จะมีท่าทีเมินเฉยเ็ากับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เื่ที่ทำมักจะละเอียดรอบคอบอย่างไม่คาดคิด ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
“สองสามวันมานี้ข้าน้อยศึกษาอาการป่วยของมู่ฟูเหริน รู้เพียงว่าอวัยวะภายในล้มเหลว แต่กลับหาสาเหตุไม่เจอ หวางเฟยคิดจะรักษาอย่างไร?” สีหน้าของเล่อเทียนกลับมาเป็ปกติ ถามอย่างแปลกใจ
เล่อเทียนเองก็รู้โรคอาการป่วยของหลี่เอินก่อนหน้านี้ ปีนั้นอาจารย์ของเขาไป๋หลี่ฉิวก็ไร้หนทางรักษาอาการป่วยของหลี่เอิน ได้แต่ใช้ยาช่วยควบคุมอาการป่วยไว้เท่านั้น
เขาได้ยินมู่เจิ้นกั๋วพูดว่าหลี่เอินนั้นถูกพิษในพิษ พิษในพิษเขาเพียงเคยได้ยิน แต่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่เพียงไร้หนทางรักษา แต่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแม้แต่น้อย
“พวกเราเข้าไปค่อยพูดเถิด กุ่ยหยิ่ง ล่วมยา” น้ำเสียงมู่จื่อหลิงเรียบเฉย แสดงท่าทีให้กุ่ยหยิ่งนำล่วมยามาให้นาง
-----------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] นกไม่ร้องนั้นธรรมดา นกร้องขึ้นมาคนตื่นตะลึง หมายถึงคนที่มีความสามารถในด้านนั้นๆ แต่เก็บงำไว้ เมื่อแสดงออกมาก็ทำให้ผู้อื่นตื่นตะลึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้