“สัจปราณขุ่น! ปราณที่ขุ่นมัวที่สุดแห่งฟ้าดิน มีกลิ่นพิลึกพิลั่น สามารถลุกไหม้ได้!”
นี่เป็ข้อความจาก《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》ลุกไหม้ได้? ไหนเลยหวังเค่อจะไม่เข้าใจ? ก็เหมือนแก๊สชีวภาพไง แก๊สชีวภาพก็เอาไว้จุดไฟได้ไม่ใช่หรือ?
ท่านอยากเห็นคาถาเพลิง ข้าก็จุดไฟให้ท่านชม ยากตรงไหนกัน?
แต่ในสายตาของทุกคนรอบด้าน ภาพนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือทน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฉินเทียนหยวนกับเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยสองผู้าุโขั้นทารกแกนิญญา พวกมันบำเพ็ญตนมานานปี แต่เพิ่งเคยเห็นการใช้วิชาอัคคีที่ต้องจุดไฟด้วยไม้ขีดเป็ครั้งแรก มีชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้โดยแท้ วันนี้ข้าได้ศิษย์รุ่นเยาว์ช่วยเปิดหูเปิดตาแล้ว
มู่หรงลวี่กวงก็จุกอยู่ในคอจนพูดไม่ออก เนิ่นนานไม่ทราบควรเอ่ยปากอย่างไร วิชาอัคคีที่ต้องจุดไฟด้วยไม้ขีด? เ้าจะเอาวิชาบ้าบอนี่ไปใช้อย่างไรได้? โลกนี้ถึงกับมีวิชาสิ้นเปลืองพลังเช่นนี้อยู่?
“เห็นหรือไม่ เห็นหรือยัง? ข้าก็บอกแล้วว่าเป็เคล็ดเทพอัคคี ทำไมจะปล่อยไฟออกมาไม่ได้? เปลวเพลิงลุกไหม้ร้อนแรงปานนี้ยังไม่นับเป็ธรรมชาติของอัคคีอีก?” จางเจิ้งเต้าที่เห็นหวังเค่อส่งสัญญาณให้รีบะโหนุนหลังทันที
“หวังเค่อ สรีระเ้าสมควรพิสดารจนเคล็ดวิชาเกิดความเปลี่ยนแปลงไป!” องค์หญิงโยวเยว่เองก็กล่าวด้วยสีหน้าพิกล
หวังเค่อมองหน้ามู่หรงลวี่กวง “ศิษย์พี่มู่หรง ท่านเห็นหรือยัง? เปลวเพลิงที่ท่าน้าใช่แบบนี้หรือไม่?”
ทุกคนต่างล้วนแปลกใจ มู่หรงลวี่กวงเองก็พูดไม่ออก
“ไอมารอันใด? ท่านบอกว่าข้าฝึกวิชามาร แล้วปราณมารไปอยู่ไหนแล้ว?” หวังเค่อถามย้ำ
ตอนนี้มีท่านอาจารย์คอยหนุนหลัง หวังเค่อก็ไม่ขลาดเขลาอีก ท่วงท่าสภาวะคนพลิกผันโดยสิ้นเชิง
“ท่านอาจารย์ ท่านต้องช่วยทวงความเป็ธรรมให้ศิษย์นะ ศิษย์เพียงนั่งอยู่ในจวนก็โดนเคราะห์กรรมลอยลงมาจากฟ้า! ขนาดศิษย์เก็บตัวฝึกวิชาก็ยังมีคนมาเคาะประตูทำร้ายคนรับใช้องค์หญิง หากไม่ได้ท่านอาจารย์ช่วย ศิษย์คงถูกผู้อื่นใส่ความไปแล้ว นี่เป็เื่ใหญ่นัก ท่านอาจารย์ ข้าเป็ศิษย์ท่าน มีคนมาใส่ความข้าโดยไร้เหตุผล หันคมดาบเข้าหาท่าน ขอท่านอาจารย์เชือดไก่ให้ลิงดูด้วยเถอะขอรับ!” หวังเค่อรีบหันไปร้องแรกแหกกระเชอใส่เฉินเทียนหยวน
ในเมื่อตอนนี้มีคนหนุนหลังแล้ว หากส่งสำนวนฟ้องศาลได้จะลีลาไปทำไมอีก?
“ข้าเปล่านะ!” มู่หรงลวี่กวงกล่าวด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว
หันคมดาบใส่เฉินเทียนหยวน? เห็นข้าเสียสติรึไง? เ้าหวังเค่อผู้นี้บัดซบเกินไปแล้ว หากไม่ใช่ว่าเฉินเทียนหยวนอยู่ด้วย มู่หรงลวี่กวงคงลงมือทุบหวังเค่อตายคามือไปแล้ว
ห่างออกไปไม่ไกล เฉินเทียนหยวนมองดูมู่หรงลวี่กวงด้วยใบหน้าหม่นทมึน
“ท่านประมุข ข้าเข้าใจหวังเค่อผิดไป! แต่ พวกมันขนพิษร้ายของเสียขึ้นเขามาจริงๆ ข้า ข้า…!” มู่หรงลวี่กวงไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร
เดิมที ั้แ่ตอนที่หวังเค่อเปล่งสัจปราณออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ข้อสันนิษฐานและข้ออ้างทั้งหมดของมันก็กลายเป็คำใส่ความแล้ว ทำให้มู่หรงลวี่กวงไม่อาจโต้แย้งหรือถอยกลับได้อีก
“มู่หรงลวี่กวง ยอมรับความพ่ายแพ้เถอะ สัจปราณของหวังเค่อเป็ปกติปราศจากพลังมาร เ้าทำกระบี่บินของหวังเค่อพังและยังติดเงินมันอีกหมื่นชั่ง รีบใช้คืนมันไปเสีย!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยที่ห่างออกไปไม่ไกลเอ่ย
หวังเค่อเหลือบมองเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย ทั้งกระบี่บินและศิลาิญญาล้วนเป็ของข้าั้แ่แรก กลับถูกเ้าเสนอออกมาคล้ายเบี้ยเดิมพัน คลี่คลายสถานการณ์ในอึดใจ? เ้าตำหนักหมาป่าบูรพาผู้นี้เคี้ยวไม่ง่ายเสียแล้ว
หวังเค่อกำลังจะเอ่ยปากต่อ เฉินเทียนหยวนก็พยักหน้ารับ “ข้ายอมรับการเดิมพัน มู่หรงลวี่กวง…!”
“ขอรับ! ข้าจะใช้คืนให้!” มู่หรงลวี่กวงตอบอย่างหดหู่
หวังเค่อกลับหดหู่ยิ่งกว่า ท่านอาจารย์ ท่านกลับยอมเปิดทางถอยให้เนี่ยเมี่ยเจวี๋ย? ข้ายังอยากได้มากกว่านี้!
แต่ในเมื่ออาจารย์ออกปากแล้ว หวังเค่อย่อมไม่คิดได้คืบเอาศอก ทำได้เพียงยอมรับเงินชดใช้อย่างไม่เต็มใจ
ศิลาิญญาหมื่นชั่งนับเป็อย่างไรได้ แต่กระบี่บินเล่า? นั่นไม่ใช่ของที่จะใช้เงินซื้อกันได้ ต่อให้มู่หรงลวี่กวงมอบกระบี่บินเล่มใหม่มาให้ ใบหน้าของหวังเค่อก็ยังเต็มไปด้วยความปวดร้าว
เฉินเทียนหยวนไม่สนใจใบหน้าหม่นหมองของหวังเค่อ เพราะเฉินเทียนหยวนเชื่อใจเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเป็อย่างยิ่ง มันรู้ว่าวันนี้นางไม่ได้เป็คนตั้งใจหาเื่ แต่เื่ในวันนี้ก็ประหลาดพิกลเกินไปจริงๆ
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ย ฝุ่นเข้าตายังไม่คิดลดตัวไปขยี้ รักษาหน้าตาตนเองเป็ที่หนึ่ง ไฉนเลยจะมาหาเื่ศิษย์คนอื่นโดยไม่มีเหตุผล? แล้ววันนี้เกิดบ้าอะไรขึ้น? พาลูกศิษย์ขึ้นมาก่อหวอดวุ่นวายถึงยอดเขาหยั่งรู้กระบี่? นี่ไม่คล้ายแนวทางของเนี่ยเมี่ยเจวี๋ย?
“ท่านประมุข มู่หรงลวี่กวงเป็คนของข้า มันมีพร์เลิศล้ำ พลังฝีมือรุดหน้าว่องไว เป็ที่นับถือของศิษย์พรรคเทพหมาป่า์มากมาย ดังนั้นจึงเกิดบุคลิกยโสโอหัง เื่นี้ต้องโทษเป็ความผิดข้า ข้าสั่งสอนมันน้อยเกินไปจนมันควบคุมอารมณ์ไม่ดี บางครั้งก็ลงมือหุนหัน ขอท่านประมุขโปรดเมตตามันด้วย! ขอท่านประมุขเมตตาข้าด้วย!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยพลันก้มศีรษะให้เฉินเทียนหยวน
“ท่านอาจารย์!” มู่หรงลวี่กวงห่างไปไม่ไกลรีบก้มหน้างุด
ท่านอาจารย์ถึงกับออกหน้าขอร้องแทนมัน? มู่หรงลวี่กวงทั้งโกรธทั้งอาย
“เ้าตำหนักเนี่ย ท่านพูดอะไรแบบนั้น? มู่หรงลวี่กวงเป็ศิษย์ท่าน และยังเป็หนึ่งในศิษย์เอกประจำพรรคเทพหมาป่า์เรา จะหยิ่งยโสบ้างก็ไม่แปลก มันปราบมารมากมายสั่งสมกุศลแก่พรรคและโลกหล้า ข้าจะลงโทษมันได้อย่างไร? ไม่ต้องห่วง ภายภาคหน้าข้าจะดูแลมันเป็อย่างดี!” เฉินเทียนหยวนรีบตอบอย่างสุภาพ
“เป็เช่นนั้น ข้าก็วางใจ!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยพยักหน้ารับ
“เ้าตำหนักเนี่ย วันนี้ท่านทำตัวแปลกไปจริงๆ…!” เฉินเทียนหยวนกล่าวอย่างสับสน
“ให้มู่หรงลวี่กวงจ่ายเดิมพันแก่หวังเค่อก่อน แล้วข้าค่อยเล่าให้ท่านฟัง!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ย
“ดี!” เฉินเทียนหยวนพยักหน้ารับ
ไม่ไกลออกไป มู่หรงลวี่กวงหยิบกระบี่บินออกมาด้วยสีหน้าปวดใจ พร้อมกับศิลาิญญาอีกหมื่นชั่ง
หวังเค่อไม่ขยับตัว ปล่อยให้กลุ่มลูกน้องเป็คนรับไว้
“มู่หรงลวี่กวง วันนี้เ้าทำพังเพราะความริษยา แล้วยังทำผิดต่อศิษย์น้องตัวเอง เื่เดิมพันไม่เกี่ยวข้องกัน เ้าต้องขอขมาต่อศิษย์น้องร่วมสำนักด้วย!” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกล่าวเสียงเข้ม
“ข้า? ต้องขอขมาหวังเค่อ?” มู่หรงลวี่กวงสีหน้าแปรเปลี่ยน
จะให้ข้าขอโทษคู่ปรับ? จะเป็ไปได้อย่างไร?
ทว่าสายตาเ็าของเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยทำให้หัวใจของมู่หรงลวี่กวงเย็นวาบ มันรีบฝืนกลั้นก้มหัวให้หวังเค่อ “ศิษย์น้องหวังเค่อ ข้าเข้าใจเ้าผิดไป ล่วงเกินเ้าแล้ว! ยกโทษให้ข้าเถอะ!”
หวังเค่อเหลือบมองเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยห่างออกไปไม่ไกลด้วยสีหน้าพิกล นี่เื่อะไรกัน? ไม่ใช่จางเจิ้งเต้าบอกว่านางเป็นางมารร้ายหรือไร? ไฉนถึงได้รักหน้าตาตัวเองขึ้นมากะทันหัน?
ในเมื่อท่านอาจารย์ก็อยู่ด้วย แถมอีกฝ่ายยังยอมก้มหัวแล้ว หวังเค่อก็ไม่สะดวกใจเอาความต่อ
“ช่างเถอะ เลิกแล้วต่อกัน ในอนาคตถ้าหากศิษย์พี่มู่หรงเข้าใจข้าผิดอีก ท่านก็พูดจาดีๆ กับข้าก็ได้ ไม่ต้องลงมือลงไม้ไม่ถามถูกผิด!” หวังเค่อพยักหน้าให้
“ได้!” มู่หรงลวี่กวงตอบด้วยใบหน้าบูดบึ้งขณะก้มหัวอยู่
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเองก็พยักหน้ารับอย่างพอใจ
“หวังเค่อ ตอนนี้เ้าก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว เ้าหยุดใช้วิชาอัคคีได้แล้ว!” องค์หญิงโยวเยว่กล่าว
เพราะบนฝ่ามือหวังเค่อ ลูกโป่งสัจปราณยังคงลุกไหม้ไม่หยุด
ดับไฟ?
หน้าหวังเค่อพลันแข็งทื่อ เปลวไฟนี้ดับได้ที่ไหน!
หวังเค่อเองก็นึกไม่ถึงว่าสัจปราณขุ่นขนาดเท่าไข่ไก่นี้จะลุกไหม้ทนทานจนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมดับ
จะให้เก็บสัจปราณกลับเข้าสู่ร่าง? หวังเค่อไม่กล้าลงมือ ในร่างมันเวลานี้อัดแน่นไปด้วยสัจปราณขุ่น ถ้าเกิดดูดสัจปราณกลับเข้าไปแล้วมีเปลวไฟติดเข้าไปด้วย ไม่ใช่เป็การะเิจุดตันเถียนของตนหรอกหรือ?
ส่วนจะให้ฝืนดับไฟ หวังเค่อก็มีวิธีอยู่ แต่การจะฝืนดับลูกไฟจะทำให้สัจปราณขุ่นในมือมันกระจายตัวออกไปรอบด้าน หากเป็แบบนั้นพวกเ้าก็ต้องสูดกลิ่นหอมสดชื่นน่ะสิ? ข้าก็ยังมียางอายอยู่บ้างเข้าใจไหม?
จางเจิ้งเต้าได้กลิ่นทียังอ้วกพุ่งน้ำลายฟูมปาก แล้วถ้าเ้าได้กลิ่นไปจะเป็ยังไง?
สิ่งสำคัญที่สุดคือหวังเค่อไม่อยากให้องค์หญิงโยวเยว่ได้กลิ่นหอมรัญจวนใจนี้ ไม่อย่างนั้นสายสัมพันธ์อันดีที่อุตส่าห์สั่งสมมาก็คง…
“อืม ข้ายังฝึกวิชาควบคุมไฟได้ไม่คล่อง ปล่อยเอาไว้เดี๋ยวมันก็ดับเอง!” หวังเค่อแถด้วยรอยยิ้ม
ปล่อยเอาไว้ให้สัจปราณขุ่นในมือมันลุกไหม้จนหมด เปลวเพลิงก็ย่อมมอดดับไปเอง
“เ้ายังฝึกวิชาควบคุมไฟได้ไม่คล่อง? หรือก็คือเ้าดับไฟเองไม่เป็? งั้นเดี๋ยวข้าช่วย!” องค์หญิงโยวเยว่ยื่นมือออกมา
หวังเค่อหน้าแข็งทื่อ หากท่านจับมัน สัจปราณขุ่นขุมนี้ย่อมต้องคลายตัว ข้าไม่อยากให้ท่านได้กลิ่นมันน่ะสิ
“ไม่เป็ไรหรอก เดี๋ยวมันก็ดับไปเอง!” หวังเค่อรีบเบนตัวหลบ
“ไม่เป็ไร ไม่ต้องห่วง ข้าบรรลุถึงขั้นดวงธาตุทองคำ เปลวไฟเ้าทำอะไรข้าไม่ได้!” องค์หญิงโยวเยว่ยังพยายามยื่นมือเข้าหาลูกไฟอย่างกระตือรืนร้น
หวังเค่อเหงื่อแตกพลั่ก รีบขยับตัวหลบมือองค์หญิงโยวเยว่
ให้ตายเถอะองค์หญิงโยวเยว่ ท่านจะอยากช่วยเหลืออะไรปานนั้น? ข้าไม่ยอมให้ท่านแตะมันหรอก
“ไม่เป็ไร ไม่เป็ไรจริงๆ ข้าจัดการเองได้ องค์หญิง ท่านพักผ่อนเถอะ!” หวังเค่อยังคงหลบหลีกองค์หญิงโยวเยว่
ทว่าคุณสมบัติขุดหลุมฝังเพื่อนขององค์หญิงโยวเยว่เหมือนจะปรากฏขึ้นอีกแล้ว นางไม่สังเกตเห็นเหงื่อเม็ดโป้งที่เกิดจากความเครียดบนหน้าผากหวังเค่อ คนยังพยายามช่วยหวังเค่อดับไฟอย่างกระตือรือร้น
ภาพ “ข้าวใหม่ปลามัน” ตรงหน้าทำให้มู่หรงลวี่กวงที่มองอยู่ต้องตาแดงก่ำ
แม่งเอ๊ย ข้ายังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้! พวกเ้าสองคนจะจู๋จี๋กันทำไม? เ้าตามข้า ข้าหลบเ้า? มีคนดูอยู่ตั้งมากมายแท้ๆ เ้าพวกคบชู้
“หมับ!”
องค์หญิงโยวเยว่คว้าแขนหวังเค่อไว้ ไม่ยอมให้ลูกไฟหนีไปไหนได้อีก
“หวังเค่อ ให้ข้าจัดการเอง!” องค์หญิงโยวเยว่รีบยื่นอีกมือเข้าหาลูกไฟบนฝ่ามือหวังเค่ออย่างตื่นเต้น
อย่างไรเสียหวังเค่อก็เพิ่งบรรลุเซียนเทียนขั้นสอง พละกำลังยังสู้องค์หญิงโยวเยว่ไม่ได้ พอถูกองค์หญิงโยวเยว่คว้าแขนเอาไว้ มันจะหนีไปไหนได้อีก? คนได้แต่เบิกตามององค์หญิงโยวเยว่ยื่นอีกมือเข้าดับลูกไฟ
“ไม่ได้นะ!” หวังเค่อทำหน้าหวาดผวา
ทันทีที่องค์หญิงโยวเยว่ใช้มือดับไฟ กลิ่นไข่เน่าของสัจปราณขุ่นก็คงทุบทำลายภาพลักษณ์อันสวยงามของมันในใจองค์หญิงจนไม่เหลือซาก หวังเค่อได้แต่เหงื่อท่วมด้วยสีหน้าหวาดผวา
ห่างออกไปไม่ไกล จางเจิ้งเต้าก็ยิ้มร่าราวกับรอดูท่าทีชวนหัวของหวังเค่อ
ยามนี้เอง ฝ่ามือใหญ่หนาก็ชิงตบเข้าใส่ฝ่ามือหวังเค่อก่อนองค์หญิงโยวเยว่ มันดับไฟทิ้งทั้งยังฉวยเศษลูกโป่งปราณที่ยังติดไฟไปถือไว้เอง
“ข้าช่วยเ้าเอง ศิษย์น้องหวัง!” มู่หรงลวี่กวงกัดฟันกรอด
มันเห็นทั้งคู่หยอกล้อแสดงความรักใส่กันจนะเิโทสะ ถ้าหากไม่ใช่ว่าท่านอาจารย์ทั้งสองอยู่ด้วย มันคงสับหวังเค่อออกเป็พันท่อนแล้ว แต่ในเมื่อมีอาจารย์ทั้งสองอยู่ มันก็ทำได้เพียงกัดฟันข่มอารมณ์ไว้ หากยามนี้มู่หรงลวี่กวงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป มันยื่นมือเข้าช่วยดับไฟ ทั้งยังฉวยสัจปราณขุ่นที่เหลือไปกุมไว้ในมือ
หวังเค่อพอเห็นสัจปราณขุ่นที่เหลือไม่ตกไปอยู่ในมือองค์หญิงโยวเยว่ แต่ถูกมู่หรงลวี่กวงคว้าไป ตุ้มถ่วงหัวใจมันก็พลันถูกปลดออก ในใจเริงร่าด้วยความยินดีเปี่ยมล้น
ท่านผู้มาโปรด!
“ขอบคุณท่านมาก!” หวังเค่อกล่าวอย่างซาบซึ้งจริงใจด้วยเหงื่อเยียบเย็น
“ขอบคุณข้า? ขอบคุณเื่อะไร?” มู่หรงลวี่กวงสงสัย
แต่สายตาขอบคุณอย่างจริงใจของหวังเค่อล้วนเป็ของจริงไม่เสแสร้ง ข้าขวางทางไม่ให้พวกเ้าจู๋จี๋กันต่อหน้าธารกำนัล จะมาขอบคุณข้าทำไม?
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบคุณท่าน!” หวังเค่อกล่าวด้วยความจริงใจอย่างที่สุด
มู่หรงลวี่กวง “??????”
