าแของจวินหวงเกือบจะหายดีแล้วในเวลาอันรวดเร็ว เช้าวันหนึ่งฉีเฉินส่งคนมาเชิญนางไปดื่มชาและรับประทานอาหารเช้าในสวน จวินหวงก็ไม่ปฏิเสธ หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มุ่งหน้าตรงไปทันที
เมื่อเห็นจวินหวงมาถึง ฉีเฉินก็ออกไปต้อนรับนางเข้ามา "น้องเฟิงมาได้เสียที ให้พี่คอยอยู่ตั้งนาน
จวินหวงทักทายปราศรัยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงแล้วก็ชวนฉีเฉินคุยเื่สัพเพเหระ
ครั้นเวลาผ่านไปหนึ่งจิบชา บ่าวชายผู้หนึ่งเข้ามารายงานว่า มีคนจากในวังมาแจ้งว่าฝ่าาทรงมีเื่้าปรึกษาหารือ จึงรับสั่งให้ฉีเฉินเข้าวัง
ฉีเฉินขมวดคิ้วพลางมองไปที่จวินหวง จวินหวงดื่มชาไปคำหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ "ฝ่าาทรงเรียกหาหวางเหย่ในเวลานี้ สาเหตุก็คงมีเพียงเื่ชายแดนเป่ยฉีเกิดภัยธรรมชาติเท่านั้น"
"ใช่ ต้องเป็เช่นนี้แน่ หลายวันมานี้มีรายงานเื่ภัยธรรมชาติมากมายส่งเข้ามาไม่หยุดหย่อน เสด็จพ่อให้หาเพราะเื่นี้แน่นอน แล้วคุณชายเฟิงรู้หรือไม่ว่าเื่นี้ควรจะแก้ไขอย่างไร?"
ฉีเฉินไปที่มองจวินหวงดวงตาเปี่ยมไปด้วยความหมาย ้าให้จวินหวงคิดวางแผนกลยุทธ์ให้เขา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ จวินหวงก็ค่อยๆ กล่าวออกมา "ตอนนี้ใต้หล้ากำลังระส่ำระสาย ปัญหาชายแดนทำให้ผู้คนหวาดผวา ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจไพร่ฟ้าอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง หากศัตรูมีเจตนาเข้ามาปลุกปั่น ก็เป็ไปได้อย่างมากที่เป่ยฉีก็จะสูญเสียใจประชา ดังนั้นสิ่งที่ควรกระทำอย่างเร่งด่วนคือการปลอบประโลมขวัญประชาชนที่อยู่ในเขตชายแดน"
หลังจากฉีเฉินได้ฟังก็ผงกศีรษะรับ คิดว่าทุกถ้อยคำของจวินหวงล้วนมีเหตุผล "แล้วน้องเฟิงมีแผนการดีๆ แล้วหรือ?”
จวินหวงยิ้มแล้วขยับเข้ามาใกล้ฉีเฉินกระซิบบอกเขาอยู่ชั่วครู่ ในตอนแรกสุดฉีเฉินขมวดคิ้วแน่นแต่ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงในตอนท้าย จนกระทั่งจวินหวงพูดจบ เขาก็ตบบ่าของจวินหวง หัวเราะอย่างโอหัง "แผนการของน้องเฟิงครั้งนี้ยอดเยี่ยมนัก หากเสด็จพ่อรู้เข้าจะต้องพอพระทัยอย่างแน่นอน เช่นนั้นข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้เลย" พูดจบฉีเฉินก็ยืนขึ้นหัวเราะแล้วเดินออกไป
จวินหวงนั่งยิ้มอยู่ในศาลา ดื่มชาไปในใจก็คิดว่าทางฉีอวิ๋นคงจะได้รับข่าวของตนเองแล้ว ตอนนี้นางก็เพียงแค่คอยโอกาสจะได้พบกับฉีอวิ๋น จากนั้นก็จัดการให้คนข้างกายฉีอวิ๋นแฝงเข้าไปอยู่ในอาณัติของฉีเฉินแค่นี้ก็เรียบร้อย
ฉีเฉินสาวเท้าเดินเข้าไปในวังหลวงอย่างเร่งรีบ แทบอยากจะพบฮ่องเต้ให้ได้เสียเดี๋ยวนี้เพื่อคลายความกลัดกลุ้มให้แก่พระองค์
เดินมาถึงนอกตำหนัก ฉีเฉินก็เห็นเงาร่างของหนานสวินมาแต่ไกล แววตาพลันเปลี่ยนเป็ลุ่มลึก
"หวางเหย่ ฝ่าาทรงให้พระองค์เข้าไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" ขันทีที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้เดินมาอยู่ข้างกายฉีเฉิน แล้วกล่าวอย่างนอบน้อม
ฉีเฉินถอนสายตากลับมา ผงกศีรษะรับแล้วเข้าไปในตำหนัก เมื่อเข้าไปด้านในตำหนักแล้วก็เห็นฮ่องเต้ทรงประทับอยู่หน้าโต๊ะเตี้ย พระขนงขึงเครียด ข้างพระหัตถ์เต็มไปด้วยหนังสือฎีกามากมาย
"ถวายบังคมเสด็จพ่อ" ฉีเฉินประสานมือโค้งกายคารวะด้วยกิริยานอบน้อม
ฮ่องเต้เงยพระพักตร์ขึ้น โบกมือเบาๆ ให้ฉีเฉินทำตัวตามสบายได้
"เสด็จพ่อทรงมีเื่ระคายพระทัยอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?" ฉีเฉินแสร้งทำเป็ไม่รู้เอ่ยวาจาถามขึ้นด้วยความสงสัย
"่นี้เขตชายแดนเกิดภัยธรรมชาติ ตอนนี้ได้ยินว่าประชาชนแทบจะรักษาชีวิตกันไว้ไม่ได้ เกิดความโกลาหลระส่ำระสายไปทั่ว ขุนนางใหญ่พวกนั้นรู้จักแต่เขียนฎีกาส่งมา แต่กลับไม่รู้จักคิดหาวิธีแก้ปัญหา หรือว่าแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลของข้าจะไม่มีผู้ใดที่สามารถคิดมาตรการแก้ไขปัญหาได้เลยสักคน" ฮ่องเต้ตรัสขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วยื่นพระหัตถ์กดหว่างพระขนงเอาไว้ หลายวันมานี้พระองค์ทรงกลัดกลุ้มว้าวุ่นใจจนไม่อาจบรรทมลงได้ ทำให้เหน็ดเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจ คิดแล้วคิดอีกกลับคิดหาวิธีการดีๆ ไม่ได้
ฉีเฉินหยักยิ้มที่มุมปาก "เสด็จพ่อ ลูกมีแผนการหนึ่งมิทราบว่าควรจะกล่าวดีหรือไม่?"
"พูดมาให้ฟังสิ"
"แผนการที่เหมาะสมในตอนนี้มีเพียงส่งคนในราชสำนักไปยังชายแดนเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามควรให้ความสำคัญกับการปลอบประโลมจิตใจของประชาชนเป็หลัก ช่วยพวกเขาสร้างบ้านเรือนพ่ะย่ะค่ะ" ฉีเฉินกล่าวตามความที่จวินหวงบอกกล่าวกับเขาก่อนหน้านี้ให้องค์ฮ่องเต้ฟัง
ฮ่องเต้ขมวดพระขนง "แผนการนี้แม้ว่าจะดี แต่เวลานี้ใครจะยอมไปสถานที่ทุรกันดารแบบนั้น อีกอย่างตอนนี้ในคลังแผ่นดินก็มีไม่เพียงพอ จะนำเงินทองมากมายขนาดนั้นมาสร้างบ้านเรือนให้พวกเขาได้อย่างไร?"
ฉีเฉินเห็นฮ่องเต้ทรงมีความคิดอ่านรอบคอบ คิดครอบคลุมครบถ้วนทุกด้าน ในใจก็คิดว่าตนเองช่างโชคดี เมื่อครู่จวินหวงคาดเดาเอาไว้แล้วว่าฮ่องเต้จะทรงกังวลพระทัยเื่ใด และได้ช่วยเขาคิดแผนรับมือเอาไว้แล้ว
ฉีเฉินทำท่าครุ่นคิดอย่างหนักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยอธิบายต่อ "ประชาชนที่อยู่ชายแดนก็เป็ประชาชนของเป่ยฉีเรา ไพร่ฟ้ามีทุกข์พวกเราจะนิ่งดูดายได้อย่างไร? พ่อค้าคหบดีผู้มั่งคั่งมีอยู่มากมายในเมืองหลวง พวกเขาล้วนขอความคุ้มครองจากเป่ยฉีเรา บัดนี้บ้านเมืองกำลังลำบาก พวกเขาจะไม่ยอมช่วยเหลือได้หรือ? ลูกคิดว่าควรจะเพิ่มการเก็บภาษีเหล่าพ่อค้าคหบดี และให้ขุนนางใหญ่ในราชสำนักร่วมบริจาคอีกสักหน่อย เช่นนี้จึงจะเป็แนวทางที่ถูกต้อง"
"ที่เ้ากล่าวมาล้วนมีเหตุผล แต่เ้าคิดว่าใครเป็ผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการออกไปปฏิบัติภารกิจนี้?"
"หากเสด็จพ่อทรงไว้วางพระทัย ลูกยินดีไปเป็ผู้แทนเสด็จพ่อเองพ่ะย่ะค่ะ" แววตาของฉีเฉินมีความมั่นคง ถ้อยคำน้ำเสียงล้วนหนักแน่น
ฮ่องเต้ทรงมองเขาด้วยสายพระเนตรแห่งความปลาบปลื้มเป็ครั้งแรก ทรงยืนขึ้นแล้วเสด็จเข้าไปหาฉีเฉิน นี่เป็ครั้งแรกที่พระองค์ได้มองโอรสที่ไม่ค่อยได้เห็นหน้าของตนเองอย่างเต็มตา ตอนนี้เติบโตเป็ผู้ใหญ่แล้ว สามารถแบ่งเบาภาระทำหน้าที่แทนพระองค์ได้แล้ว
พระพักต์ของฮ่องเต้เปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตาของผู้เป็บิดา ทรงตบบ่าของฉีเฉินเบาๆ ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง "เ้าโตแล้วจริงๆ แบ่งเบาภาระของบิดาได้แล้ว"
ฉีเฉินมีเพียงความรู้สึกขมขื่นในใจ ตอบรับความชื่นชมยินดีของพระบิดาด้วยสีหน้าท่าทางเฉยเมย ตามมาด้วยรอยยิ้มเยาะหยัน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ขันทีก็เข้ามาทูลว่าได้เวลาเสวยพระกระยาหารเที่ยงแล้ว เดิมทีฉีเฉินคิดจะกล่าวทูลลา แต่องค์ฮ่องเต้กลับทรงรั้งให้อยู่ก่อน
"เฉินเอ๋อร์ ให้เ้าไปชายแดนคนเดียว เรารู้สึกค่อยไม่สบายใจ เ้าคิดเห็นอย่างไรหากเราจะให้หนานสวินเดินทางไปพร้อมเ้า?" ฮ่องเต้ตรัสถามขึ้น ขณะที่ทรงประทับอยู่หน้าโต๊ะไม้แกะสลักลายบุปผา
ฉีเฉินพยักหน้ารับ "ทุกสิ่งให้ดำเนินการตามแต่พระประสงค์ของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลด้วยความปลื้มปีติ หลังจากฉีเฉินรับพระกระยาหารเที่ยงแล้วก็ออกจากวังหลวงมาด้วยอารมณ์แจ่มใส ยิ่งได้เห็นท่าทางปลาบปลื้มของพระบิดาที่มองเขา ทำให้เขาตั้งสัตย์ปฏิญาณอยู่ในใจว่าจะต้องจัดการเื่นี้อย่างดีที่สุดเพื่อให้เสด็จพ่อยอมรับในตนเองมากขึ้นอีก
เมื่อกลับไปถึงจวนเฉินอ๋อง ฉีเฉินก็ให้คนไปตามจวินหวงมาพบ ตอนที่ฉีเฉินเล่าถึงถ้อยคำที่องค์ฮ่องเต้ทรงตรัส นางไม่มีท่าทีตอบสนองมากนัก เพราะทุกอย่างล้วนอยู่ในความคาดหมายของนางอยู่แล้ว
เห็นจวินหวงอายุยังน้อยแต่กลับเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและสติปัญญาเยี่ยงนี้ ฉีเฉินก็รู้สึกว่านี่ช่างเป็วาสนาที่เทพยดาประทานมาให้เขาโดยแท้ คิดแล้วก็ยิ้มไม่หุบ
"น้องเฟิงช่างเป็ดาวนำโชคของข้าจริงๆ เดินทางไปชายแดนครั้งนี้ เปิ่นหวางอยากให้เ้าร่วมเดินทางไปด้วย น้องเฟิงมีความคิดเห็นอย่างไร?" ฉีเฉินกล่าวขึ้น
จวินหวงพยักหน้ารับ สายตาเลื่อนไปที่แขนที่หายเป็ปกติครู่หนึ่ง ดูเหมือนเป็การเตือนฉีเฉินโดยไม่รู้ตัว ในเวลานี้เขาควรจะสุขุมและมั่นคงถึงจะถูก ไม่ควรจะร้อนรนกระวนกระวาย เพราะถ้าหากถูกคนนอกจับผิดหรือกระทำการใดๆ เข้า ก็อาจจะพบจุดจบแบบเดียวกับรัชทายาท
จวินหวงเงยหน้าขึ้นมองฉีเฉิน แล้วยกยิ้มที่มุมปาก "ตามแต่หวางเหย่ทรงตัดสินใจ" นางไม่ปฏิเสธที่จะไปเยี่ยมเยียนชายแดน แต่พอได้ยินว่าหนานสวินไปด้วย ก็เกิดความรู้สึกแปลกไปกว่าปกติเล็กน้อย
ฉีเฉินออกจากประตูไปอย่างมีความสุขโดยมิได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของจวินหวง จวินหวงมองดูเงาหลังที่ค่อยๆ ไกลออกไป รอยยิ้มเ็าค่อยปรากฏออกมา นางย่อมรู้ดีว่าการจะจัดการกับคนระดับรัชทายาทไม่ใช่เื่ง่าย เพื่อช่วยฉีอวิ๋น นางจำเป็ต้องยืมมือฉีเฉินเข้ามากำจัดสมัครพรรคพวกของรัชทายาท
ไม่นานนักก็สามารถรวบรวมเงินได้ไม่น้อย ประชาชนที่ชายแดนกำลังทุกข์ทรมานแสนสาหัส หลังจากนั้นไม่กี่วันฮ่องเต้ก็ทรงเสด็จมาส่งฉีเฉินออกเดินทาง พระองค์ส่งพวกเขาออกจากเมืองหลวง คณะเดินทางออกเดินทางท่ามกลางฝุ่นลมคละคลุ้งมุ่งสู่ชายแดนอย่างยากลำบาก
ชายแดนเป่ยฉีปกคลุมไปด้วยผืนทรายสุดลูกหูลูกตา ความแห้งแล้งทำให้ที่นี่ไม่มีแม้แต่หญ้าขึ้นมาสักต้น แม่น้ำลำธารเหือดแห้งภายใต้แสงอาทิตย์ เดินทางมาแสนไกล ยังไม่พบสีเขียวแม้เพียงครึ่งส่วน ที่นี่ท้องฟ้าไร้ฝนมานานหลายเดือนแล้ว แม้แต่รากหญ้าก็ยังถูกผู้คนขุดออกมากินกันจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
เดินทางอยู่บนผืนทรายเวิ้งว้าง ใบหน้าของจวินหวงหม่นเศร้า นางได้ยินเื่ภัยแล้งของชายแดนในปีนี้มานาน แต่ไม่รู้ว่าจะมีสภาพเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ ราวกับความอุดมสมบูรณ์ในอดีตก่อนหน้าไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ชวนให้คนรู้สึกมึนงง
ดวงตะวันร้อนแรงที่อยู่เหนือศีรษะแผดเผาหัวใจจนเกรียมไหม้ ความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหน้าชวนให้คนรู้สึกตรอมใจ จวินหวงเคยประสบกับความรู้สึกที่สูญเสียครอบครัวและแผ่นดินเกิดมาแล้ว ตอนนี้มาเห็นสภาพเช่นนี้เข้า ไม่คิดว่าจะให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน
หนานสวินขี่อาชาตัวพ่วงพีตามอยู่ด้านหลัง คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย เมื่อมองไปยังบุรุษร่างบางที่อยู่เบื้องหน้า เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดฉีเฉินถึงต้องลากจวินหวงมายังสถานที่แบบนี้ด้วย เขายังจำได้ว่าจวินหวงเพิ่งได้รับาเ็เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นาน แล้วนางจะทนรับกับความเหน็ดเหนื่อยเช่นตอนนี้ได้อย่างไร
จวินหวงนั่งอยู่บนอาชาเหงื่อโลหิต[1] ดูแล้วไม่น่าเกรงขามสักเท่าไร ในขณะที่ฉีเฉินผู้ซึ่งคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอย่างสูงศักดิ์ สะดวกสบายมาตลอด ได้ให้คนจัดเตรียมรถม้าที่โอ่อ่าหรูหรามาโดยตรง ดูไม่เหมือนผู้มาช่วยบรรเทาภัยพิบัติ แต่กลับเหมือนคุณชายจากตระกูลมั่งคั่งออกมาท่องเที่ยวเสียมากกว่า
มีคนแอบส่ายหัวอย่างอิดหนาระอาใจ คนส่วนมากต่างก็รู้ว่าการที่ฉีเฉินเดินทางมานี้เป็การแสดงฉากหนึ่ง เป็ไปได้หรือที่คนอย่างเขาจะไปใส่ใจความเป็ความตายของผู้ลี้ภัยอย่างแท้จริง
หากไม่ใช่เพราะจวินหวง เกรงว่าฉีเฉินคงไม่แม้แต่จะคิดว่าตนเองจะมายืนอยู่บนผืนดินที่ไร้ความอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ สายลมที่แห้งแล้งพัดพาเอาฝุ่นจากพื้นดินคลุ้งตลบไปทั่วทุกหนแห่ง ฉีเฉินยื่นมือไปปิดจมูกไว้ "ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าเป่ยฉีที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร จะมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย"
จวินหวงะโลงมาจากหลังม้า เดินมาอยู่ข้างกายฉีเฉิน มองไปยังใจกลางพื้นที่เขตชายแดน
สถานการณ์ภัยพิบัติของที่นี่รุนแรงกว่าที่นางคิดไว้มาก คนเ่าั้เสื้อผ้าขาดวิ่นแทบจะปิดร่างกายไว้ไม่มิด หน้าเหลืองและซูบผอมชวนให้คนรู้สึกเวทนาสงสาร มากไปกว่านั้นยังมีเด็กนั่งร้องไห้เสียงดังลั่นอยู่ตามมุมกำแพงที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง เขาคงขาดน้ำมานานมากแล้ว จึงไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมาสักหยด มีเพียงเสียงแหบแห้งที่เค้นออกมาจากลำคอ
นอกเหนือจากผืนทรายสุดลูกหูลูกตา ก็ยังมีอีกาสีดำเมี่ยมร้องเสียงแหลมบินโฉบไปมาวนเวียนอยู่กลางอากาศมานานแล้ว หากที่ไหนมีคนล้มลง พวกมันก็จะบินลงมาทันที แล้วใช้จะงอยปากอันแหลมคมจิกทึ้งิัซากศพผู้เสียชีวิต จิกกินเนื้อและโลหิตเป็อาหาร
"หวางเหย่เห็นแล้วหรือไม่ ที่นี่คือชายแดนเป่ยฉี คนของที่นี่ก็คือลูกหลานของชาวเป่ยฉี สิ่งที่หวางเหย่ต้องทำในตอนนี้ก็คือ สร้างบ้านเรือนใหม่ให้พวกเขา" จวินหวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ฉีเฉินได้ยินเช่นนั้นก็คิ้วขมวดแน่น มือชี้ไปยังสถานที่ด้านหน้าที่ดูราวกับเป็แดนอสูร แล้วพูดตะกุกตะกักออกมา "น้องเฟิง ยะ... อย่ามาล้อเล่นนะ... ที่นี่..."
จวินหวงเดินก้าวขึ้นหน้าไปสองก้าว ตามองเห็นอยู่ว่าเกือบจะตกลงไปในทางลาดชัน หนานสวินอยากจะเดินเข้าไปดึงนางไว้ แต่ชั่วขณะถัดไปเห็นนางหยุดก้าวเท้าก็พลันรู้สึกโล่งอก
"หวางเหย่คิดว่าข้าน้อยกำลังล้อเล่นอย่างนั้นหรือ? เฮ้อ... ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าเป็หวางเหย่ล้อข้าน้อยเล่น หรือว่าเป็ข้าน้อยที่ล้อหวางเหย่เล่น"
"สถานการณ์ใต้หล้าในเวลานี้ ผู้คนต่างใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวและวิตกกังวล เมื่อต้องเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติเช่นนี้ พวกเขาก็คาดหวังว่าจะได้รับความเมตตาช่วยเหลือจากราชสำนัก มิใช่ละทิ้งหน้าที่ไม่ใส่ใจ" ถ้อยคำที่จวินหวงพูดมาทั้งหมดแต่ละประโยคล้วนทิ่มแทงใจ ดวงตาเย็นะเื
หนานสวินมองสีหน้าด้านข้างของจวินหวง ในใจรู้สึกซาบซึ้ง ที่แท้ก็ยังมีคนที่ทำเพื่อแผ่นดินเพื่อปวงชนอยู่ในใต้หล้านี้ มุมปากของเขาโค้งขึ้นบางเบาอย่างไม่รู้ตัว "เฟิงไป๋อวี้กล่าวได้ถูกต้อง ในเมื่อหวางเหย่รับปากกับฮ่องเต้ไปแล้ว หากไม่ทำให้สำเร็จ เกรงว่าจะทำให้ฝ่าาทรงผิดหวังได้"
ฉีเฉินขบกรามแน่นมองไปที่หนานสวิน แต่กลับพูดไม่ออกแม้เพียงประโยคเดียว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หนานสวินหวางเหย่นอกสกุลผู้นี้มีอำนาจในราชสำนักมากกว่าตนเองเสียอีก ผู้คนมากมายต่างก็อยากจะเข้าไปประจบสอพลอหนานสวิน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขารู้สึกชิงชังริษยายิ่งนัก
..................................................................................................................
[1] อาชาเหงื่อโลหิต เป็ชื่อม้าสายพันธุ์หนึ่ง ยามที่ออกวิ่งบริเวณแผงคอจะมีเหงื่อไหลออกมาเป็สีแดงสดคล้ายเื ตัวผู้มีลักษณะสีดำทั้งตัว แต่กลับมีกีบเท้าสีขาว ตัวเมียอีกตัวกลับมีขนสีทอง นับเป็เอกลักษณ์ของม้าสายพันธุ์นี้ มีถิ่นกำเนิดมาจากชนเผ่าเติร์กหรือเติร์กเมนิสถานในปัจจุบัน