ฟ้าดินราวกับกำลังให้ความร่วมมือ ความมืดมิดโอบล้อมเข้ามา ไม่มีกระทั่งสายลมพัดโบก ฝนเม็ดเล็กตกเปาะแปะลงมาบนทุ่งหญ้า ต้นอ่อนใกล้จะผลิใบ แม้ว่าอากาศจะยังเย็นอยู่สักหน่อย ทว่าก็กำลังดี ถือโอกาสที่สายฝนในฤดูใบไม้ผลิโปรยปราย ความงอกงามก็ค่อยๆ แผ่ขยายปกคลุมไปไม่สิ้นสุด
ผืนดินที่เคยรกร้างในฤดูหนาวค่อยๆ มีสีเขียวผุดขึ้นมา
สรรพสิ่งล้วนหวนคืนสู่ชีวิต เป็เช่นนี้เสมอมา ทว่าฝนในฤดูใบไม้ผลินับวันก็ยิ่งตกหนัก ทั้งแรงทั้งเร็ว พื้นดินสูงต่ำไม่เท่ากัน บนทุ่งหญ้าค่อยๆ มีน้ำไหลเป็สายธาร ทั้งสายน้ำนั้นยังไหลบ่าพาเอาต้นอ่อนที่เพิ่งงอกเงยไปด้วย
ตลาดของหมู่บ้านไป๋กู่ที่เมื่อวานคึกคักกว่าใคร วันนี้กลับเงียบราว์แกล้ง เงียบเชียบเกินกว่าจะเปรียบปาน
ข่าวที่ได้รับมาล่วงหน้า ใครที่เดินไหวก็เดิน ใครวิ่งไหวก็วิ่ง พากันฉุกละหุกจากไปในคืนนั้น คนที่ยังอยู่ล้วนแต่เป็คนที่ไม่อาจจากไปได้ บ้างก็ต้องคอยเฝ้าสินค้า บ้างก็ไม่ได้เป็คนสลักสำคัญอันใด
เมื่อวานถนนใหญ่แห่งนี้ยังแน่นขนัด วันนี้กระทั่งรถม้าสักคันก็ไม่มี ทว่าบนถนนยังคงมีเหล่าหน่วยลาดตระเวนชุดดำบนหลังม้า ฝนเทกระหน่ำจนพวกเขาเปียกปอน ทั้งยังหนักอึ้ง ม้าที่ขี่อยู่ก็พลอยเดินช้าลง
อากาศเช่นนี้ไม่ว่าใครก็คงจะไม่ยอมออกมา อีกทั้งกองทัพจิงกำลังบุกมาเช่นนี้
“กองทัพจิงบุกมาแล้ว” บัณฑิตเช่นนายท่านสามโพล่งเสียงดัง ตรงหน้าเขายังมีคนกลุ่มใหญ่อยู่
ช่างแตกต่างกับการประชุมในวันอื่นๆ ของหมู่บ้านไป๋กู่ที่มีแต่เสียงหัวเราะ วันนี้กลับมีเพียงความเงียบงัน
พวกเขาแม้จะเป็โจร แต่ก็ยังหวาดกลัวกองทัพจิงอยู่ดี
ยามที่ยังเป็โจรปล้นสะดม แม้จะกลัวเพียงใด แต่ชีวิตที่เหลือก็เป็เพียงชีวิตอันน่าสมเพช หากต้องตายก็มิใช่เื่ใหญ่อันใด แต่ยามนี้พวกเขาไม่ได้เป็โจรอีกต่อไปแล้ว ทั้งยังค่อยๆ มีภรรยามีลูก วันเวลาเพิ่งจะได้เริ่มต้นขึ้นไม่นาน พวกเขายังไม่อยากตาย และหวาดกลัวความตายเหลือเกิน
เฉินโย่วที่นั่งอยู่ข้างนายท่านสาม ใบหน้าเล็กๆ ฉายแววเคร่งขรึม
เมื่อพี่หยินสงที่มาเดินหมากกับนางสุดท้ายก็กลับกลอกไม่ยอมมาใช้หนี้พนัน นางรู้สึกไม่เบิกบานใจเอาเสียเลย ทั้งยังได้ยินข่าวเื่กองทัพจิงบุกมาอีก
กองทัพจิงคือใคร และคือสิ่งใดกัน เฉินโย่วไม่ค่อยแน่ใจนัก เพียงแค่เคยได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่าคนพวกนั้นเป็คนเลวอย่างยิ่ง
พวกผู้ใหญ่ดูหวาดกลัว และลนลานนัก กระทั่งน้าหลัวที่สงบนิ่งอยู่เสมอก็ยังดูขรึมลง
เฉินโย่วรู้สึกว่าเื่ที่ตนไม่เบิกบานใจ เมื่อเทียบกับเื่ตรงหน้าแล้วย่อมเทียบกันไม่ติด ในใจจึงพลันรู้สึกกลัดกลุ้ม ปกติแม้นางจะซุกซนแต่ก็รู้ความนัก
“นายท่านสาม เช่นนั้นพวกเราหนีกันเถิด” บุรุษที่อยู่กลางฝูงชนกล่าว
นายท่านสามไม่ได้แก้คำพูดที่ให้ทุกคนเรียกตนว่าท่านหวังเช่นวันก่อนๆ
คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจ
“หนีไปไหนเล่า พวกเราใช้ชีวิตสุขสงบลงหลักปักฐานกันมาหลายปี ทั้งที่นี่ยังมีโรงทอผ้า ทั้งยังมีพืชที่เราปลูก ทั้งแกะและวัวที่เลี้ยงไว้ ที่นี่เป็บ้านของพวกเรา พวกเ้าอยากหนีก็หนีไป ชายแก่อย่างข้าจะขอตายที่นี่”
สิ้นคำของชายชรา คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยกับเขา
ทุกคนล้วนไม่ยินยอมจะจากไป
ในใต้หล้านี้ นอกจากที่นี่พวกเขาก็ไม่มีบ้านอีกแล้ว
หากว่าที่อื่นดีนักหนา ตอนนั้นพวกเขาคงจะไม่ต้องมาเป็โจรป่าเช่นนี้
“พวกเราไม่หนี ที่นี่คือบ้านของพวกเรา หากเราหนีไปก็ไม่มีบ้านแล้ว รากเหง้าของเราก็ไม่เหลือ ไม่ต้องรอให้กองทัพจิงมาถึง พวกเราก็แตกแยกกันไปหมดแล้ว” ชายปากแหว่งะโขึ้นอย่างขึงขังน่ากลัว วาจาเปลี่ยนเป็ไหลลื่นไม่มีติดขัดเหมือนเช่นที่ผ่านมา
เหล่าสตรีที่เป็แรงงานทอผ้านั้นพลันเกิดความรู้สึกผันผวนมากมาย
พวกนางยังไม่อยากจากไป
ไม่ง่ายดายเลยที่พวกนางจะหลุดจากนรกมาอยู่บนโลกมนุษย์เช่นนี้ได้ อยู่ที่นี่ได้ใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์
พวกนางแม้เปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ทว่าหากกลับไปเมืองหลวงก็คงเท่ากับกลับไปโดนฆ่าตายเยี่ยงสัตว์อยู่ดี พวกนางขอยอมตายที่นี่ ถึงอย่างไรก็จะไม่จากไป
นายท่านสามยืนอยู่บนแท่นสูง ฟังเสียงเซ็งแซ่ของคนในหมู่บนที่กำลังหารือกัน เขาเองก็ลังเลใจ
คนที่มาเป็ถึงกองทัพแคว้นจิง มิใช่โจรปล้นสะดม โจรมานั้นไม่น่ากลัวสักนิด พวกเขาสามารถสู้จนพวกมันล่าถอยไปได้ ทว่ากับกองทัพจิง เหล่าทหารที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบพวกนั้น
ว่ากันว่านายท่านใหญ่ก็มีสายเืชาวจิง ดังนั้นจึงได้ชอบฆ่าคนจนเป็นิสัย
เพียงแค่นายท่านใหญ่คนเดียว พวกเขายังต้องระมัดระวังถึงเพียงนั้น ทั้งยังต้องเตรียมการอยู่หลายปี กว่าจะปลิดชีพเขาได้
ครั้งนี้มากันเป็กองทัพ ทั้งยังเป็ชาวจิงกันทุกคน เช่นนี้พวกเขาจะยังมีชีวิตรอดอีกหรือ ทว่าหากพวกเขาจะหนีไป แล้วจะหนีไปที่ใดได้เล่า
ูเาไป๋กู่นั้นไม่ง่ายดายเลยกว่าจะสร้างกันมาจนเป็เช่นนี้ พวกเขาจะทำใจปล่อยมันไปได้จริงหรือ
นายท่านสามพลันว่างเปล่า ไม่รู้ควรทำเช่นไร หากจะให้เขาเป็คนวางแผนการนั้นไม่มีปัญหา ทว่าหากให้เขาตัดสินใจ นั่นช่างยากเย็นเหลือเกิน
เขาหันไปคำนับท่านอาจารย์กัวอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น “ในปีนั้นนับเป็วาสนาที่ได้ช่วยท่านอาจารย์ให้เข้ามาอยู่ที่นี่ พวกเราได้ความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์มาไม่น้อย ทั้งท่านอาจารย์ยังเป็คนนำทางหมู่บ้านของเราให้ดีวันดีคืน บัดนี้ศัตรูมาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว ขอท่านอาจารย์ได้โปรดช่วยชีวิตพวกเราสักคราเถิด ไม่ว่าท่านกล่าวอันใด พวกเราล้วนพร้อมจะทำตาม”
เมื่อสิ้นคำนายท่านสาม คนอื่นก็มองท่านอาจารย์กัวด้วยดวงตาเป็ประกาย
อันที่จริงั้แ่ท่านอาจารย์กัวมาอยู่ที่นี่ บนูเาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ชีวิตของคนที่นี่นับวันมีแต่จะดีขึ้น
มีโรงทอผ้า มีโรงหลอมอาวุธกู่ ตีนเขายังมีตลาด อีกทั้งคนที่รู้หนังสือบนเขาก็เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
เหล่าแรงงานหญิงทอผ้าหันไปมองชายชราอย่างมีความหวัง ด้วยพวกนางบางคนในกลุ่มนั้นคล้ายกลับว่าจะรู้สถานะที่แท้จริงของท่านอาจารย์กัว บัดนี้แววตาจึงพลันลุกโชนด้วยความหวังขึ้นมา พวกเรามีราชครูอยู่เช่นนี้ย่อมไม่มีทางเป็อะไร
กระทั่งหลัวอู๋เลี่ยงก็หันไปมองทางราชครูอย่างรอคอยเช่นกัน
ราชครูไม่คาดคิดเลยว่านายท่านสามจะให้ตนเป็คนออกความคิดเช่นนี้
เอาเถิด ถึงอย่างไรยามยังอยู่ในวังหลวง งานของเขาก็คือการออกความคิดอยู่แล้ว
ทว่าทุกวันนี้ที่เขาอยู่บนูเากระดูก ดินแดนที่ทวยเทพทอดทิ้งแห่งนี้ เขาก็ไม่ได้ใช้ความสามารถของตระกูลจ้งมานานแล้ว
ตอนที่เพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ บางครั้งเขาก็ไม่ทันระวัง เผลอใช้ความสามารถในการสังเกตสรรพสิ่งของตน ผลลัพธ์คือต้องกระอักเืเสียจนแทบตาย
ยากเย็นยิ่งกว่าการทำนายดวงชะตาบ้านเมืองด้วยซ้ำ
ต่อมาจึงได้ค้นพบว่าปัญหานั้นเป็เพราะพื้นที่แห่งนี้ พลังของเขาไม่เหมาะกับสถานที่ที่ทวยเทพทอดทิ้ง ดังนั้นในภายหลังยามเขาสอนชาวบ้านทำสิ่งต่างๆ ก็ล้วนแต่ใช้ความรู้ที่แท้จริงของตน
ความรู้ทั้งหมดทั้งมวลในหัวที่สุมกองจนแทบจะฝุ่นจับล้วนแต่ถูกหยิบมาใช้ที่นี่ เขาพบว่ามันทั้งมีประโยชน์และน่าสนใจเป็อย่างยิ่ง ดีกว่าการทำนายทายทักอย่างเลื่อนลอยเป็ไหนๆ
ทว่าเมื่อเขาเห็นสายตามากมายที่จับจ้องมา ราชครูก็ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าเป็เพียงแค่อาจารย์คนหนึ่ง มิอาจตัดสินใจได้ หากพวกท่านจะถามข้า ไม่สู้ไปถามเฉินโย่วดู นางเป็ผู้ใหญ่บ้านตัวน้อยของพวกท่าน ไม่ว่านางจะตัดสินใจเช่นไร พวกเราก็ล้วนแต่ต้องฟังนาง”
คำของราชครูทำให้สายตาที่เคยจับจ้องอยู่บนร่างชายชรา พลันหันเหไปทางเด็กหญิงทันที
แม้จะฟังดูน่าใไปเสียหน่อย แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่มีอันใดแปลกประหลาด เมื่อก่อนไม่ว่าเื่อะไรก็ล้วนแต่ต้องฟังนายท่านใหญ่
ตอนนี้นายท่านสามไม่อาจตัดสินใจได้ ทั้งเฉินโย่วยังเป็คนที่นายท่านใหญ่ตั้งให้เป็ผู้สืบทอด
สายตาทุกคู่จึงพากันไปจับจ้องอยู่ที่เฉินโย่ว
มองเด็กหญิงที่นั่งอยู่บนแท่น วันนี้ผมจุกของนางถูกมัดไว้ตรงกลางอย่างแปลกตา เชือกสีฟ้าก็รัดแน่นแข็งแรง
ดวงตาคู่นั้นกลมโต เมื่อทุกคนได้สบเข้าก็พลันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา
เฉินโย่วเมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังจ้องตนอยู่ ก็ไม่ได้ลนลานแม้แต่น้อย รู้สึกเพียงว่าตนนั้นคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้นัก
เฉินโย่วยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “ข้าไม่อยากไปจากูเากระดูก ทั้งข้าและพี่ชายล้วนแต่เติบโตที่นี่ ที่แห่งนี้ล้วนเป็บ้านของพวกเราทุกคน หากว่ามีคนร้ายเข้ามา พวกเราก็ทุบตีมันให้พ่ายกลับไป พวกเราล้วนแต่เป็โจรที่ร้ายกาจที่สุด แม้ว่าบัดนี้นามของพวกเราจะเปลี่ยนเป็ชาวบ้านหมู่บ้านไป๋กู่แล้ว ทว่าอณูในร่างของเราก็ยังเป็โจรอยู่ คนอื่นๆ ก็ยังคงเรียกพวกเราว่าโจร ในเมื่อเป็เช่นนี้ ในฐานะโจร พวกเราย่อมต้องเป็คนชั่วร้ายเลวทรามเสียยิ่งกว่าคนเ่าั้ให้ได้”
