“ปล่อยให้นางวิ่งเต้นไปสักสองสามวันก่อน คนอย่างนางมิยอมอยู่เฉยหรอก และวันใดที่นางเผยโฉมหน้าออกมา ความตายก็อยู่มิไกลจากนางแล้ว” เพื่อบ้านหลังนี้หรือเพื่อซ่งผิง ซ่งจื่อเฉินก็มิคิดจะปล่อยเฉียวซื่อไป เฉียวซื่อมิได้มีบุญคุณที่เลี้ยงดูเขามา สิบเก้าปีก่อนหากมิใช่เพราะพวกเขาพ่อลูก บ้านของเฉียวซื่อคงอดตายไปนานแล้ว จะได้ดีมาจนถึงวันนี้หรือ
“ข้าฟังเ้า” จิ่นเซวียนเม้มปากยิ้มๆ สามีของนางผู้นี้มิธรรมดา เขาเป็หมาป่าอวดหาง[1] ชัดๆ เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขาเล่นนอกกฎเสมอเลย!
“เซวียนเซวียน เฉินเอ๋อร์ พวกเ้าอยู่ในห้องหนังสือหรือไม่?” เสียงกังวานดังขึ้นนอกประตู จิ่นเซวียนสบตากับซ่งจื่อเฉินอย่างรู้กันว่าซ่งผิงมาแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านมาหาพวกเราเช่นนี้มีเื่อะไรหรือขอรับ?” ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก ซ่งผิงเดินเข้ามาด้านใน ในอ้อมแขนของเขามีกล่องไม้ขนาดใหญ่ คาดว่าเป็กล่องเงินใส่ซอง
ชาวบ้านรวมเงินใส่ซองตามสะสวก ได้มาร้อยกว่าอีแปะก็ดีมากแล้ว
“เซวียนเซวียน เฉินเอ๋อร์ นี่คือเงินใส่ซองที่ได้จากตอนที่พวกเ้าแต่งงาน ข้านับแล้ว มีทั้งหมดห้าสิบแปดตำลึง”
ซ่งผิงพูดแล้วยื่นสมุดบัญชีให้จิ่นเซวียน นางจึงหยิบมาดู ฉิวจั่งกุ้ยให้เงินใส่ซองมากที่สุด เขาให้ตั้งยี่สิบตำลึง
“จริงสิ นี่คือของที่สหายในยุทธภพของข้าฝากมาใหพวกเ้า ข้ามิอยากให้คนในหมู่บ้านรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา ข้าเลยมิได้ลงบัญชีไว้” สหายจอมยุทธ์ส่วนหนึ่งของซ่งผิงรู้ว่าซ่งจื่อเฉินแต่งงาน พวกเขาเลยให้เงินใส่ซองกับซ่งผิงเอาไว้ล่วงหน้า รวมทั้งหมดหกสิบตำลึง แม้ชาวยุทธภพจะองอาจห้าวหาญ แต่มิค่อยมีเงินนัก
“ท่านพ่อ ท่านเก็บเงินส่วนนี้เอาไว้เถิดเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนมิ้าเงินหกสิบตำลึงนี้
“พวกเราจะนำเงินใส่ซองที่ได้มาไปซื้อผักปลูกในดินดอน ข้าวางแผนจะจัดหาผักสดใหม่หลากชนิดส่งให้ร้านอาหารเ้าค่ะ” จิ่นเซวียน้านำเงินไปใช้ให้เกิดประโยชน์
“เ้าทำตามใจเถิด มิว่าเ้าจะทำสิ่งใด ข้ากับเฉินเอ๋อร์ล้วนสนับสนุนเ้าทั้งสิ้น” ซ่งผิงเชื่อในฝีมือของจิ่นเซวียน
จิ่นเซวียนอยากให้ซ่งผิงมีส่วนร่วมกับการจัดการธุรกิจ ซ่งผิงคิดและทำเพื่อสามีของนางเสมอ มิมีทางทำร้ายพวกเราแน่
“เ้าก็รู้ว่าข้าล่าสัตว์เลี้ยงชีพ จะรู้จักผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้ได้อย่างไร เซวียนเซวียน หากเ้าอยากเปิดร้านเครื่องเรือนคงต้องใช้เงินมากยิ่งนัก ข้าเกรงว่าเงินจะมิพอ” จู่ๆ ซ่งผิงก็นึกถึงหูเหยียนซู
“จริงสิ อาเขยเล็กของเ้าประกอบธุรกิจก่อสร้าง เขาน่าจะมีคนรู้จักอยู่ มิสู้ให้เขาหาอาจารย์ช่างไม้ให้สักสองสามคนเล่า”
“ถ้าเป็เช่นนั้น ข้าร่วมมือกับร้านเครื่องเรือนใหญ่ๆ ดีกว่าเ้าค่ะ ข้าจะเริ่มเตรียมการเมื่อได้ข่าวจากท่านอาเขยเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนครุ่นคิด ในเมื่อนางมิมีอาจารย์ช่างไม้ดีๆ นางจะยอมร่วมมือกับผู้อื่นชั่วคราว ถึงเวลานั้นเมื่อนางร่วมลงทุนด้วยความรู้ทั้งหมดที่มี เท่านี้ก็ทำเงินได้แล้ว
“ท่านพ่อ แผ่นดินที่เราอาศัยอยู่นั้น าสามารถปะทุได้ตลอดเวลา ถึงเวลานั้นเสบียงอาหารกับอาวุธจะเป็สินค้าที่ผู้คนแย่งกันซื้อ ข้านั้นทำอาวุธมิเป็ แต่ข้าสามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาผลิตเสบียงอาหารเพิ่มได้ จนพวกเราสามารถ่ชิงตำแหน่งร้านค้าธัญพืชอันดับหนึ่งของแคว้นนี้ได้เ้าค่ะ” จิ่นเซวียนพูดถึงแผนการในอนาคตของนาง มิว่าจะเป็สมัยโบราณหรือสมัยใหม่ อาหารคือสิ่งที่มนุษย์ขาดมิได้
ร้านค้าธัญพืชอันดับหนึ่งในใต้หล้า ภรรยาตัวน้อยของเขาช่างมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เสียจริง ยุคนี้คนโง่ย่อมตกเป็เหยื่อของคนฉลาด มีหลายตระกูลที่ผูกขาดอาหาร เอารัดเอาเปรียบประชาชนจนชาวบ้านสามารถอดตายได้ตลอดเวลา
หากพวกเขาพัฒนาด้านนี้ได้ จะสามารถยึดเส้นสายโลหิตทางเศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงแคว้นซีหลิงได้ แม้อุดมการณ์นี้จะดูไกลเกินเอื้อม แต่หากพวกเขามุ่งมั่นตั้งใจ เชื่อว่าสักวันจะต้องทำสำเร็จแน่
“บัณฑิตปัญญาชน กสิกร กรรมกรและพ่อค้าวาณิชย์ กสิกรอยู่ชนชั้นที่สอง แสดงให้เห็นว่ามันสำคัญมาก ภรรยา ข้าสน้บสนุนเ้า” แผนการของจิ่นเซวียนสร้างแรงบันดาลใจให้ซ่งจื่อเฉิน โดยส่วนตัวแล้วเขาคิดว่าเกษตรกรสามารถอยู่ชนชั้นที่หนึ่งได้ เพราะหากมิมีคนทำนา ผู้ดีพวกนั้นจะเสวยสุขกันได้อย่างไร
“แม้ว่าการพัฒนาเกษตรจะสำคัญเพียงใด แต่คนในราชวงศ์คงมิยอมรับ เช่นนั้นในครอบครัวต้องมีผู้หนึ่งเป็ขุนนาง สามี ท่านรับหน้าที่สอบเคอจวี่ ชิงตำแหน่งก้าวมิ่งฟูเหริน[2] มาให้ข้านะ”
จิ่นเซวียนเป็นักธุรกิจ นางรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อค้ากับข้าราชการดี
“มิมีปัญหา ข้าจะพยายามเพื่อเอาตำแหน่งฮูหยินขุนนางยศสูงมาให้เ้า”
ซ่งจื่อเฉินเคาะจมูกจิ่นเซวียนด้วยความรักใคร่ ซ่งผิงเห็นแล้วก็รู้สึกเป็ส่วนเกิน
“เซวียนเซวียน เฉินเอ๋อร์ พวกพี่สะใภ้ทำกับข้าวเสร็จแล้ว พวกเราออกไปกินข้าวกับแขกกันเถิด ผ่านสองวันนี้ไปพวกเราจะเริ่มยุ่งกันอีก”
“จริงสิ ท่านพ่อ ท่านดูกฎระเบียบบ้านให้พวกเราก่อนเถิดเ้าค่ะ หากมีส่วนใดมิเหมาะสม พวกเราจะได้แก้ไขเ้าค่ะ” จิ่นเซวียนส่งกฎบ้านให้ซ่งผิงดู เมื่ออ่านจบ ซ่งผิงรู้สึกพอใจยิ่งนัก กฎที่มีมนุษยธรรมเช่นนี้ดีกว่ากฎกดขี่พวกนั้นเป็ไหนๆ
ความจริงแล้วเขารู้ว่าพวกลูกเลี้ยงมิได้เป็คนเลวร้าย พวกเขาแค่กลัวความยากจน หากทำให้พวกเขาชีวิตที่ดีขึ้นได้จริงๆ ก็คงดี
“ท่านพ่อ ข้ากับเซวียนเซวียนกังวลเื่ของซ่งเป่าจูกับท่านแม่เลี้ยงที่สุด พวกนางมิชอบพวกเรา ข้ากลัวว่าพวกนางจะกระทบต่อแผนการของพวกเราขอรับ” ซ่งจื่อเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาอยากให้ซ่งผิงจัดการแม่ลูกคู่นี้มิให้ก่อเื่
“ข้ามิมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเฉียวซื่อ หากปีนั้นข้ามิได้อ่อนวัยจนตกหลุมพรางของนาง ข้าคงมิแต่งนางเป็ภรรยา ส่วนเป่าจู ข้าผิดหวังกับนางยิ่งนัก ข้าอยากถือโอกาสนี้ดัดนิสัยนาง มิให้นางใช้ชีวิตอย่างโง่เขลาเบาปัญญาเช่นแต่ก่อนอีก” ซ่งผิงพูดสื่อเป็นัยๆ กับพวกเขาว่าจะสนับสนุนพวกเขา มิว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดกับสองแม่ลูกคู่นั้นก็ตาม
สิ่งเดียวที่เขาห่วงมีเพียงซ่งเป่าจู เขาหวังว่าจิ่นเซวียนจะช่วยแก้นิสัยเสียๆ ของซ่งเป่าจูได้
“ท่านพ่อ ความจริงแล้วการแก้นิสัยเสียๆ ของซ่งเป่าจูมิใช่เป็ไปมิได้ เพียงให้นางอยู่ห่างจากท่านแม่เลี้ยง ทุกอย่างจะง่ายขึ้นขอรับ ข้าจะทำให้บ้านของพวกเราเข้าที่เข้าทางเร็วที่สุด เมื่อท่านแม่เลี้ยงจะก่อเื่ นางจะมิอาจทำได้อีกขอรับ”
สิ่งที่บุรุษเกลียดที่สุดคือการถูกภรรยาวางแผนใส่ตนเอง ั้แ่เกิดเื่ครานั้น ซ่งผิงก็มิเคยร่วมห้องกับเฉียวซื่ออีกเลย พวกเขาแยกห้องนอนตลอด คนทั้งบ้านซ่งรู้กันหมด
พวกเรารู้ว่าซ่งผิงมิได้รักเฉียวซื่อ เขายอมทนนางก็เพราะเขาเห็นแก่หน้าเด็กๆ
จิ่นเซวียนค่อนข้างดีใจที่ซ่งผิงมิชอบเฉียวซื่อ มิเช่นนั้นนางคงวางตัวลำบาก
“หลายปีมานี้ ข้าวิ่งหางานตลอดปี มิได้สั่งสอนเป่าจูให้ดี เป่าจูถึงกลายเป็เช่นนี้” ซ่งผิงละอายใจยิ่งนัก เขารู้ว่าตนเองล้มเหลวในการเป็พ่อ ละเลยการอบรมสั่งสอนลูกสาว
“ท่านพ่อ นี่มิใช่ความผิดของท่าน ท่านทำงานหนัก เพื่อครอบครัวของเราขอรับ” ซ่งจื่อเฉินปลอบซ่งผิงด้วยเสียงแ่เบา เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าซ่งผิงทำเช่นนี้เพื่อตัวของเขาเอง
“พวกเราอย่าพูดเื่น่าสลดเหล่านี้เลย ไปทานข้าวกันก่อนเถิด” ซ่งผิงเดินออกจากห้องหนังสือไปก่อน ส่วนจิ่นเซวียนส่งกล่องไม้ให้ซ่งจื่อเฉินนำไปวางไว้ในห้องนอน และยืนรอเขาอยู่ตรงลานบ้าน
เชิงอรรถ
[1] หมาป่าอวดหาง หมายถึง การเสียดสีคนที่แสร้งทำเป็จริงจัง ซื่อสัตย์ สุภาพบุรุษ
[2] ก้าวมิ่งฟูเหริน หมายถึง ตำแหน่งสตรีที่มีสามีเป็ขุนนางอันดับหนึ่งหรือสอง คล้ายกับตำแหน่งท่านผู้หญิงหรือคุณผู้หญิงของไทย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้