หลิวฟางกลับบ้านแม่มาสามหนภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน?
หลิวเฟินไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนต่อให้ไม่ได้ทะเลาะรุนแรงกับครอบครัวฝั่งมารดา หลังหลิวฟางออกเรือนเข้าตระกูลเหลียงไปแล้วนั้น หนึ่งปีกลับมาสามหนยังถือว่าเยอะ ในครานี้มีสามครั้งที่ไม่ได้พบหน้า รวมกับตอนกลับมารับประทานอาหารก่อนตรุษจีนและเคารพหลุมศพในวันที่สอง ภายในหนึ่งเดือนสั้นๆ หลิวฟางกลับบ้านแม่มาถึง 5 ครั้งทีเดียว!
หลิวเฟินจึงสงสัยว่าน้องสาวของเธอประสบเื่อะไรจนต้องขอให้ครอบครัวฝั่งแม่ช่วยเหลือ
เธอยังไม่ได้นึกถึงเื่การแนะนำคู่หมายให้แก่เซี่ยเสี่ยวหลาน อย่างไรเสียตอนนั้นก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว อธิบายอย่างชัดเจนว่าตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานมีคนรัก หลิวเฟินก็ไม่คิดว่าจะมีใครดื้อด้านขนาดนี้
ความสัมพันธ์กับเหลียงปิ่งอันไม่ราบรื่น?
นั่นก็เป็ไปไม่ได้เหมือนกัน ตอนกลับมารับระทานอาหารก่อนตรุษจีน เหลียงปิ่งอันยังพาลูกสองคนมาด้วยเลย พูดจาสุภาพมารยาทดี อีกทั้งรับปากว่าจะสนับสนุนเงิน 4000 หยวนให้เธอสร้างบ้านใหม่ หลิวเฟินไม่รับเงิน 4000 หยวนอยู่แล้ว ทว่าพิจารณาจากจุดนี้ ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของหลิวฟางและเหลียงปิ่งอันไร้ปัญหาแน่นอน หากสามีภรรยาไม่ลงรอยกันจริง จะรับหน้าตกลงเพื่อหลิวฟางที่บ้านมารดาได้อย่างไร
นอกจากสามีภรรยาบาดหมางกัน หลิวเฟินก็นึกเหตุผลอื่นไม่ออกแล้ว
หลิวฟางมาเยี่ยมเยียนและพบว่าทั้งครอบครัวล้วนไม่อยู่ จึงห่วงใยคนในครอบครัวฝั่งมารดาหรือเปล่านะ?
หลิวเฟินครุ่นคิดไปมา คงเหลือเพียงเหตุผลนี้
เธออยากทิ้งข้อความไว้ให้หลิวฟางสักหน่อย ทว่านึกถึงความระมัดระวังของพวกหลิวหย่งขึ้นมา ทุกคนไม่ได้เล่าเื่ธุรกิจในซางตูให้หลิวฟางฟัง ในหมู่บ้านก็หุบปากสนิท คนของหมู่บ้านชีจิ่งรับรู้แค่พวกเขาทั้งครอบครัวอาศัยที่ซางตู แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกเขาค้าขายอะไร หลิวหย่งบอกว่าสามีของหลิวฟางเป็ข้าราชการ มีเครือญาติยากจนทำธุรกิจอิสระอย่างพวกเขาจะสร้างผลกระทบที่ไม่ค่อยดีนัก หลิวเฟินคิดว่าสมเหตุสมผลยิ่งนัก
ในร้านมีแค่หลี่เฟิ่งเหมยคนเดียว หลิวเฟินจึงต้องรีบกลับซางตูั้แ่เช้าตรู่ เธอไปเยี่ยมบ้านหลิวฟางไม่ได้เช่นกัน
ฟ้ามืดสนิทไร้แสงไฟ บ้านหลิวฟางไกลกว่าเขตอันชิ่งเสียอีก
“พี่ ถ้าอาฟางกลับบ้านแม่มาอีก พี่ช่วยถามเธอว่ามีธุระอะไรแทนฉันที หมายเลขโทรศัพท์นี่สามารถติดต่อฉันได้”
หลิวเฟินตัดสินใจทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ดีกว่า
หมายเลขที่เธอให้ไว้คือหมายเลขโทรศัพท์สาธารณะของซอยข้างบ้านย่าอวี๋
สะใภ้ใหญ่เฉินรับเศษกระดาษมาพลางรู้สึกอิจฉา “นี่ถึงขั้นโทรศัพท์ได้แล้วหรือ? ฉันได้ยินปู่เฉินชิ่งเขาบอกว่าในหมู่บ้านก็จะติดตั้งโทรศัพท์ คงอีกหนึ่งเดือนสองเดือนนี้แหละ ติดตั้งโทรศัพท์เสร็จก็ติดต่อพวกเธอสะดวกแล้ว!”
บางหมู่บ้านติดตั้งโทรศัพท์เรียบร้อยไปนานแล้ว หมู่บ้านชีจิ่งไม่ได้เร็วที่สุด ทว่าก็จัดการไม่ล่าช้าเกินไป
หลิวเฟินรู้สึกยินดี “เช่นนั้นก็ยอดเยี่ยมเลย โทรศัพท์สะดวกกว่าเดินทางกลับมาหมู่บ้านเสียอีก”
แม้จะติดตั้งโทรศัพท์ในหมู่บ้าน ทว่านั่นก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านเฉินติดตั้งโทรศัพท์ ในหมู่บ้านต้องฟังเฉินวั่งต๋า สะใภ้ใหญ่เฉินกระหยิ่มยิ้มย่อง หลิวหย่งพาครอบครัวย้ายออกไปทำธุรกิจอิสระจนมีเงินทอง แต่หมายเลขโทรศัพท์ที่หลิวเฟินทิ้งไว้ยังเป็ของสาธารณะอยู่ดี คนชนบทอาศัยในเมืองย่อมมีความยากแค้นสารพัด แค่ตอนกลับหมู่บ้านฉลองตรุษจีนที่แต่งตัวสดใสสวยงาม คงตบหน้าตนเองให้ดูอ้วนท้วน [1] ไม่มากก็น้อย
สะใภ้ใหญ่เฉินจิตใจสงบแล้ว ก็ถามอีกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจทบทวนบทเรียนหรือไม่
“มีข่าวคราวของพ่อเสี่ยวหลานเขาบ้างไหม? คนบ้านเซี่ยยังไปก่อเื่ที่โรงเรียนอีกหรือเปล่า?”
หลิวเฟินส่ายหน้า
เซี่ยต้าจวิน ‘หายสาบสูญ’ ไปจริงๆ ั้แ่หนีออกจากโรงพยาบาลก็ไม่เคยปรากฏตัว คนตระกูลเซี่ยไม่ได้ไปสร้างความวุ่นวายถึงโรงเรียนอีก หลิวเฟินยุ่งกับการดูแลร้านทุกวัน เรียนรู้การทำบัญชีและสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเสื้อผ้า ไม่ได้นึกถึงคนตระกูลเซี่ยเลย
สะใภ้ใหญ่เฉินค่อนข้างผิดหวัง
ไม่ใช่ว่าสะใภ้ใหญ่เฉินจะประสงค์ร้ายอะไร มนุษย์ย่อมมีใจใคร่รู้ซุบซิบนินทา นี่เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้จริงๆ
----------------------------------------
สถานการณ์ของจางจี้อาหารว่างย่ำแย่มาก
เปิดกิจการอีกครั้งหลังตรุษจีนจนกระทั่งวันนี้ก็ผ่านมาได้หนึ่งเดือนแล้ว จางจี้คำนวณบัญชีหนึ่งครั้งต่อหนึ่งเดือน จ่ายเงินเดือนและชำระค่าข้าวของจิปาถะเสร็จ ถึงจะรู้ว่าหนึ่งเดือนได้กำไรเท่าไร
ทะเลาะเบาะแว้งกันในวันที่สี่คราวนั้น ส่งผลกระทบต่อการค้าขายของจางจี้มากเหลือเกิน
อันดับแรกคือนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีสามไม่มาร้านจางจี้แล้ว ไม่รู้ว่าในโรงเรียนซุบซิบอะไรกัน ว่ากล่าวจางจี้เสียไม่มีชิ้นดี ขนาดนักเรียนระดับชั้นอื่นๆ ก็ไม่มารับประทานที่ร้านจางจี้ด้วย ธุรกิจของจางจี้อย่างน้อยหนึ่งในสามส่วนอาศัยอาจารย์กับนักเรียนจากเซี่ยนอีจง ส่วนนี้ลดลงไปไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่รับประทานแล้ว แต่ย้ายไปรับประทานที่ร้านน้าหวงจานด่วนแทน
แต่ไหนแต่ไรแถบนี้มีเพียงร้านจางจี้แห่งเดียว
เดิมทีน้าหวงจานด่วนก็แย่งชิงลูกค้าของจางจี้ไปอยู่แล้ว ยิ่งพอเหล่าอาจารย์นักเรียนของเซี่ยนอีจงไม่ไปจางจี้ ก็สูญเสียยอดขายไปอีกมากมาย
ผลประกอบการหนึ่งเดือนหลังตรุษจีนเป็เพียงหนึ่งในสามของเมื่อก่อนเท่านั้น!
น้าหวงจานด่วนคว้าโอกาสอันดีไว้ หน้าร้านหนึ่งคูหารองรับปริมาณลูกค้าอัดแน่นไม่ได้อีกต่อไป จึงเช่าเปิดในอาคารด้านข้างด้วย ขยับขยายร้านค้าให้ใหญ่ยิ่งขึ้น
เมื่อคิดบัญชีเสร็จสิ้น สีหน้าของจางชุ่ยไม่สู้ดีเอาเสียเลย
นับจำนวนเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดือนนี้มีกำไรเพียงสองร้อยกว่าหยวนเท่านั้น เดือนก่อนตรุษจีนนั่น กำไรต่อเดือนของจางจี้มากถึงแปดร้อยกว่า เฉลี่ยตลอดทั้งปีก็ไม่เคยมีสักเดือนที่ต่ำกว่า 700 หยวน หนึ่งเดือนกำไร 200 กว่าหยวนไม่ถือว่าน้อย สามารถเทียบเท่ากับรายได้ของครอบครัวที่เงินเดือนดีและมีรายได้สองทาง
แต่คนเคยทำเงินได้ตั้งมากมาย มองเงินจำนวน 200 กว่าหยวนนี้ย่อมไม่สามารถยอมรับได้
ปีก่อนจางจี้ทำให้สามีภรรยาได้กำไรอย่างต่ำเกือบหนึ่งหมื่น เซี่ยฉางเจิงและจางชุ่ยก็เป็เศรษฐีหมื่นหยวนที่ไม่ได้ทราบกันโดยทั่ว ทว่าพอมาปีนี้ รายได้กลับดิ่งลงฮวบฮาบ ใครจะมีอารมณ์เบิกบานได้กันเล่า
“เธอให้เงินจื่ออวี้ทีเดียว 5000 หยวน? ลูกอยู่โรงเรียนจะใช้เงินมากมายขนาดนั้นหมดที่ไหนกัน!”
เซี่ยฉางเจิงไม่พอใจ
รักเซี่ยจื่ออวี้เพราะบุตรสาวผู้นี้สามารถไขว่คว้าเกียรติยศมาให้เขา คิดหาช่องทางทำเงินได้ ถ้าธุรกิจจางจี้ยังคงรุ่งเรืองเหมือนก่อนหน้านี้ เงิน 5000 หยวนให้แล้วก็คงให้เลย อย่างไรเสียก็สามารถหากลับมาได้อย่างรวดเร็ว แต่พอธุรกิจย่ำแย่ลงขนาดนี้ คิดถึงเงิน 5000 หยวนนั่น เซี่ยฉางเจิงก็เสียดายมากเหลือเกิน
เซี่ยจื่ออวี้ใช้เองก็ช่างปะไร หากสงเคราะห์ครอบครัวหวังเจี้ยนหัวทั้งหมดจะทำอย่างไรเล่า?
เซี่ยจื่ออวี้บอกว่าหวังเจี้ยนหัวต้องมีอนาคตไกลแน่นอน เซี่ยฉางเจิงไม่ได้ไม่เชื่อ
ลูกเขยอนาคตไกล คนเป็พ่อภรรยาจะได้อานิสงส์สักเท่าไรกันเชียว! บุตรสาวที่ออกเรือนไปเหมือนน้ำที่สาดทิ้ง ต่อให้ตระกูลหวังรุ่งโรจน์เพียงใด คนเขาจะเกื้อกูลตระกูลเซี่ยได้เท่าไรเชียว? มิเช่นนั้นจะมีคำกล่าวว่าบุตรสาวล้วนคือสินค้าขาดทุนได้อย่างไร เมื่อก่อนยังดูไม่ออก ตอนนี้เซี่ยฉางเจิงคิดว่าจิตใจของลูกสาวอย่างเซี่ยจื่ออวี้ได้เอนเอียงไปทางบ้านหวังนั่นแล้ว
จางชุ่ยเองก็กังวล เธอไม่ได้กังวลถึงเงิน 5000 หยวนที่ให้ไปแล้ว แต่กังวลถึงสถานการณ์ภายภาคหน้าของจางจี้
“คุณว่าชั่วคราวหรือยาวนาน? พวกนักเรียนของเซี่ยนอีจงผิดปกติหรืออย่างไร เซี่ยเสี่ยวหลานเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา นักเรียนระดับชั้นอื่นไม่รู้จักเธอเสียหน่อย เฮโลไม่มากินข้าวร้านจางจี้เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
เซี่ยฉางเจิงตบโต๊ะ “ยังมีครูใหญ่ซุนอีก รับของพวกเราไปมากมาย พลิกหน้ากลายเป็ศัตรูเสียแล้ว! เดือนนี้สำนักงานอนามัยเขตมาตั้งสองรอบ... ทำไมไม่ตรวจสอบน้าหวงจานด่วนฝั่งตรงข้ามบ้างเล่า!”
เมื่อสำนักงานอนามัยประจำเขตมาเพื่อตรวจสอบ ทั้งประวิงเวลาทำธุรกิจ ทั้งต้องเตรียมอั่งเปา
สำหรับร้านค้าที่จำหน่ายอาหารเครื่องดื่ม สำนักงานอนามัยย่อมตรวจสอบอย่างเข้มงวดเป็พิเศษ คนเขามาสองครั้งต่อเดือนถือว่าปกติ ทว่าเมื่อก่อนมีคนคอยคุ้มหัว คนจากสำนักงานอนามัยจึงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ต่อจางจี้ ปัจจุบันเรียกว่าปฏิบัติต่อจางจี้อย่างเท่าเทียมจะดีกว่า แต่เซี่ยฉางเจิงกลับยอมรับไม่ได้แล้ว
จางชุ่ยไม่ห้ามขัดสามีที่บ่นพร่ำคร่ำครวญ
เธอเองก็ไม่เข้าใจ ทำไมอาจารย์ใหญ่ซุนถึงเลือกยืนอยู่ข้างเซี่ยเสี่ยวหลาน
เมื่อก่อนเขาให้ความสำคัญกับจื่ออวี้ของเธอมากไม่ใช่หรือ?
จื่ออวี้พูดถูก จะปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานร่วมการสอบเกาเข่าไม่ได้ สถานะ ‘นักศึกษามหาวิทยาลัย’ ช่างมีประโยชน์เหลือล้น ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังชิง ‘ผู้สนับสนุน’ ที่จื่ออวี้หามาไปได้ ในอนาคตพอเซี่ยเสี่ยวหลานกลายเป็นักศึกษา จะไม่หนักหนากว่าเดิมหรือ!
ยามจางจี้มีกำไรงาม หนึ่งเดือนให้คู่น้องชายภรรยา 100 หยวน เซี่ยฉางเจิงพอยอมรับได้ ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่คิดว่ามากเกินควร กระทั่งหลานสาวเซี่ยหงเซี๋ยยังอยากไล่ออกไป น้าหวงจานด่วนมีเพียงกี่คนกัน? การค้าขายของจางจี้สู้คนอื่นไม่ได้ อีกทั้งต้องจ่ายเงินเดือนมากมายขนาดนี้อีก
พอเซี่ยฉางเจิงบอกแบบนี้ จางชุ่ยก็ร้อนรนทันที
“ฉันเคยได้ยินแต่เพิ่มเงินเดือน มีลดเงินเดือนที่ไหนกัน?”
เชิงอรรถ
[1]打脸充胖子 ตบหน้าให้ดูอ้วน คือ การตบหน้าจนใบหน้าบวมเพื่อทำให้ดูอ้วน หมายถึง ยอมทำในสิ่งที่เกินกำลังเพื่อแสร้งว่าสุดยอด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้