บทที่ 24 งานประมูลที่เทียนตู
นี่เป็ครั้งแรกที่ลู่อวี่ได้เข้ามาในห้องลับของบุคคลสำคัญในงานประมูลของเมืองเทียนตูเซียน ถึงแม้เ้าของร่างเดิมจะเป็ลูกหลานตระกูลใหญ่ แต่เพราะมีคุณสมบัติในพลังยุทธ์ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ดังนั้นจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะมายังที่แห่งนี้
ห้องลับของบุคคลสำคัญประเภทนี้เป็แบบกึ่งปิดเพื่อรักษาความลับ วัสดุที่ใช้ไม่เพียงแต่สามารถปิดกั้นการตรวจจับจากขั้นพลังจิตได้เท่านั้น แต่ในเวลาเดียวกันยังสามารถป้องกันพลังได้เป็พิเศษอีกด้วย การตกแต่งภายในห้องลับของบุคคลสำคัญแต่ละห้องไม่เหมือนกัน เป็เพราะได้รับการตกแต่งตามกำลังทรัพย์และความชื่นชอบของแต่ละตระกูล ทั้งยังมีคนมาคอยรับหน้าที่ปรับเปลี่ยนการตกแต่งให้ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดใน่เวลาดังกล่าวเป็ความรับผิดชอบของแต่ละตระกูล
ห้องลับของบุคคลสำคัญของตระกูลลู่ค่อนข้างเรียบง่าย เป็ความเรียบง่ายแต่ไม่โกโรโกโส ด้านนอกมีเตียงเมฆเซียวเหยาสีขาวหยกเรียงเป็แถว ซึ่งใช้สำหรับนั่งสมาธิและเหมาะสำหรับการนั่งรับชมการประมูล ทั้งยังมีโต๊ะหยกสีขาวตั้งอยู่ โดยรอบจัดเรียงพืชพรรณแปลกตาที่มีรูปร่างและสีสันสวยงามกว่าสิบชนิด ทำให้ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม และทำให้ผู้ที่เข้ามาในห้องเป็ครั้งแรกไม่รู้สึกอุดอู้แต่กลับรู้สึกผ่อนคลาย
หลังจากนั่งลงแล้ว ลู่อวี่ก็เหลือบมองไปยังผนังเงางามบนกำแพงฝั่งตรงข้าม พร้อมปลดปล่อยลำแสงพลังปราณเข้าใส่มัน ทันใดนั้นก็ปะทะเข้ากับพื้นผนังเกิดเป็แสงสว่างขึ้นเล็กน้อย ถึงกล่าวว่า “แม้ว่ายาอายุวัฒนะน้ำค้างขาวจะเป็ยาอายุวัฒนะที่ใช้ในการรักษาโดยเฉพาะ แต่จะส่งผลดีที่สุดต่อเส้นลมปราณเท่านั้น สรรพคุณทางยากับการรักษาอวัยวะภายใน กระดูก และร่างกายนั้นอ่อนแอไม่น้อย ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะประมูลยาอายุวัฒนะน้ำค้างขาวไป เมิ่งเทียนอวิ๋นย่อมไม่อาจฟื้นตัวได้ เห็นทีคงต้องนอนอยู่บนเตียงอีกสักครึ่งปีหรืออาจนานเป็ปี”
ผนังเงางามใช้วิธีการส่งผ่านเสียงและการสร้างภาพ มีการติดตั้งค่ายกลเวทมนตร์ป้องกันในตัว ซึ่งสามารถตรวจจับเสียง แสง และการสะท้อนของภาพภายในบริเวณโดยรอบ ทั้งยังสอดประสานกันได้ ถึงแม้จะไม่ใช่เคล็ดวิชาขั้นสูงอะไร แต่วัสดุที่ใช้ทั้งหมดของผนังเงางามนั้นหาได้ยาก และมีราคาสูงยิ่งนัก จึงไม่ใช่สิ่งที่ร้านค้าทั่วไปจะหาซื้อได้ จากประสบการณ์ที่มีของเขา ไม่มีทางถูกเื่เล็กๆ เช่นนี้มาทำให้ลำบากใจได้แน่
“ฮะ เช่นนั้นแล้วหากพวกเราไปใส่ไฟตอนที่พวกเขากำลังประมูลกันอยู่ ตระกูลเมิ่งจะไม่เกลียดเราตายหรือ? แต่ถึงอย่างไรก็มองหน้ากันไม่ติดอยู่แล้ว เช่นนั้นคงไม่เป็ไร” ลู่เหว่ยิยิ้มและพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ลู่อวี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ข้าเองก็อยากจะซื้อของบางอย่างด้วย และหากตระกูลเมิ่งควบคุมตนเองได้ เช่นนั้นแล้วเราจะได้ไม่มีปัญหาแทรกซ้อนตามมา!”
ทั้งสองกำลังพูดคุยกันในห้องลับของบุคคลสำคัญ แต่ทันใดนั้นผนังห้องก็สว่างวาบขึ้น เผยให้เห็นฉากในห้องประมูลที่ชัดเจนยิ่งนัก
ในเวลานี้มีชายชราในชุดคลุมสีน้ำตาลผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเวทีประมูล ผมสีขาวถูกรวบขึ้นเป็มวย ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาอ่อนโยน และมีใบหน้าเรียบเฉยและรอยยิ้มจางๆ เขานั่งอยู่กลางอากาศบนอาวุธวิเศษที่มีลักษณะคล้ายก้อนเมฆ โดยมีค้อนประมูลส่องแสงสีทองลอยไปมาอยู่เบื้องหน้า มีเพียงเท่านั้นไม่มีสิ่งใดอีก
ลู่เหว่ยิกล่าวแนะนำว่า “ท่านผู้นี้คือหัวหน้าผู้ประมูลของเมืองเทียนตูเซียนคฤหัสถ์หลิงหวา ระดับพลังยุทธ์อยู่ใน่ปลายของขั้นฟันฝ่า เขาเป็ประธานในการประมูลครั้งใหญ่เกือบทั้งหมดใน่ร้อยปีที่ผ่านมา นับว่ามีความยุติธรรมไม่น้อย โดยเฉพาะค้อนประมูลนั่น เ้าอย่าได้ประมาทเชียว เพราะนั่นคืออาวุธเวทสมบัติขั้นเจ็ดที่ทรงพลังยิ่งนัก”
ลู่อวี่พยักหน้าอย่างไม่แยแสและถามต่ออย่างสงสัยว่า “ตระกูลลู่ของเราก็มีการจัดงานประมูลด้วยใช่หรือไม่ ท่านลุงิ ท่านเป็ผู้รับผิดชอบจัดการประมูลเองใช่หรือไม่?”
“ฮ่าๆ!” ลู่เหว่ยิพูดและยิ้มไปด้วยว่า “อืม ส่วนใหญ่ แต่งานประมูลของตระกูลลู่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก สองสามปีจะจัดขึ้นสักครั้งหนึ่ง ไม่เหมือนทางเขาหนิงชุยเฟิงและตระกูลใหญ่อื่นๆ ที่ต่างก็มีกิจการเฉพาะด้านของตนเอง และจะคึกคักมีชีวิตชีวามากทุกครั้ง แต่ถึงแม้งานประมูลของตระกูลลู่จะไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก แต่ของที่นำมาประมูลมักจะได้รับความนิยมไม่น้อย”
ในเวลานี้คฤหัสถ์หลิงหวาที่อยู่ด้านนอกก็หยิบค้อนเล็กๆ ที่อยู่เบื้องหน้าขึ้นมาถือ แล้วเคาะลงไปเบาๆ จนเกิดเสียง “ติ๊ง!” ที่ก้องกังวานและมีความหมายลึกซึ้งดังขึ้นในหูทันที เสียงดังกำลังดี ไม่ทำให้รู้สึกแสบแก้วหู แต่ก็ไม่ทำให้ผู้คนเมินเฉยมัน
“สวัสดีสหายนักพรตทุกท่าน!” คฤหัสถ์หลิงหวาโค้งคำนับและกล่าวทักทายจาก้าก่อนจากนั้นผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีจะรีบตอบรับคำทักทายทันที
“ข้ายังเป็เ้าภาพการประมูลครั้งนี้และตามกฎเดิม ข้าจะไม่พูดมากไร้สาระแต่จะตรงเข้าประเด็นทันที!” พูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก้มมองความสนใจของคนเบื้องล่างที่ถูกเขาดึงดูดความสนใจมาทั้งหมดและพูดต่อทันทีว่า “ก่อนอื่นสินค้าที่เปิดประมูลชิ้นแรกในงานประมูลครั้งนี้ คือชุดคลุมของนักพรตชิงอวิ๋นขั้นหก เริ่มต้นประมูลที่ราคาเซียนหยกขั้นต่ำหนึ่งแสนเม็ด!”
คฤหัสถ์หลิงหวาให้สัญญาณเล็กน้อย จากนั้นก็มีคนที่อยู่บนก้อนเมฆขาวก้อนเล็กๆ ลอยออกมาจากหลังเวที พร้อมถาดในมือมาอยู่ข้างเขาโดยมีชุดคลุมสีน้ำเงินแวววาววางพับอยู่้าเรียบร้อย
“ชุดคลุมนี้ถักทอขึ้นโดยผู้เฒ่าอวิ๋นเทียนเต๋อปรมาจารย์หลอมอาวุธผู้มีชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตู โดยใช้วัสดุหลักจากเส้นไหมชิงมู่พันปี แก่นแท้ของเมฆา์ และด้ายทองอสูรดินเป็หลัก ทั้งยังใช้เคล็ดวิชาลับในการบวงสรวง หลังจากนักพรตทำการบวงสรวงชุดคลุมนี้สำเร็จแล้ว ก็จะสามารถต้านทานพลังโจมตีทั้งหมดของนักพรตที่มีพลังยุทธ์่ปลายขั้นตงซวนได้เต็มกำลัง แต่นี่ไม่สำคัญเท่า การปลุกค่ายกลกระบี่มาใช้งานหลังจากสวมใส่ชุดคลุม ซึ่งมันยิ่งเพิ่มความเร็วในการเหาะเหินเดินอากาศได้มากขึ้นถึงสองส่วน! สำหรับเื่ใช้ป้องกันน้ำและไฟนั้นทุกคนย่อมรู้ดี มีหรือไม่มี จะไม่พูดถึงรายละเอียดยิบย่อยนี้แล้ว ลำดับต่อไปมาเริ่มประมูลกันเลยดีกว่า แต่ละครั้งสามารถเพิ่มราคาประมูลได้ไม่น้อยกว่าเซียนหยกขั้นต่ำหนึ่งหมื่นเม็ด!”
“เซียนหยกหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นเม็ด!” มีคนเสนอราคาขึ้นมาทันที
แม้ว่าของรายการนี้จะดูธรรมดา แต่นับว่าใช้ดีไม่น้อย เพราะสามารถต้านทานการโจมตีเต็มรูปแบบของนักพรตในขั้นตงซวน่แรกได้และยังมีความสามารถในการป้องกันที่ทรงพลัง นอกจากนี้ยังเพิ่มความเร็วในการเหาะเหินเดินอากาศ ถือได้ว่าเป็ตัวช่วยที่จำเป็ในการช่วยชีวิต สิ่งสำคัญคือ ราคาไม่สูงนัก เช่นนี้ภายในงานจึงคึกคักขึ้นมาทันที
“เซียนหยกหนึ่งแสนสองหมื่นเม็ด!”
“เซียนหยกหนึ่งแสนหกหมื่นเม็ด!”
“เซียนหยกสองแสนสามหมื่นเม็ด!”
“นายน้อยของสิ่งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว อวิ๋นเทียนเต๋อเป็คนที่มีพร์มากที่สุดในบรรดาผู้หลอมอาวุธทั้งสามของตระกูลอวิ๋น และได้สร้างอาวุธชั้นดีขึ้นมาหลายขนาน!” ลู่เหว่ยิรู้สึกว่าชุดคลุมของนักพรตชิงอวิ๋นนี้เหมาะสมกับลู่อวี่ไม่น้อย ดังนั้นจึงได้เอ่ยปากร้องทัก
ลู่อวี่ยิ้มก่อนพูดว่า “ทั้งการป้องกันและใช้หลบหลีกอาวุธไม่เลวก็จริง แต่มีข้อบกพร่องหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดถึง หรือบางทีเขาอาจจะไม่ทันได้สังเกตเห็น หากข้าดูไม่ผิด อาวุธนี้สร้างขึ้นโดยการรวมรูปแบบของค่ายกลอวิ๋นจิ้นที่ไม่สมบูรณ์บางประการและเคล็ดวิชาประสานอินป้องกันขั้นสูงที่ไม่สมบูรณ์บางประการเช่นกัน ถึงแม้ผลลัพธ์จะไม่เลว แต่เมื่ออาวุธนี้เสียหายกลับไม่อาจซ่อมแซมได้ แม้จะเป็ผู้สร้างก็ตาม ที่สำคัญไปกว่านั้นอาวุธนี้ใช้ป้องกันวิชาอัสนีได้ต่ำนัก ที่ว่าป้องกันการโจมตีเต็มกำลังจากนักพรตในขั้นตงซวนนั้น เห็นทีคงเป็เพียงการโจมตีทั่วไปเท่านั้น!”
ลู่เหว่ยิตกตะลึงตาค้าง เพราะเวลานี้ราคาประมูลของอาวุธที่ว่ามามีค่าเป็เซียนหยกถึงสามแสนเม็ด แต่นักพรตจำนวนไม่น้อยยังคงะโแข่งขันกันอย่างกระตือรือร้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาค่อนข้างพอใจกับกลไกที่สามารถทนต่อการโจมตีเต็มรูปแบบของนักพรตขั้นตงซวนได้ แต่หากมาค้นพบภายหลังว่าอาวุธนี้ต้านทานได้เพียงการโจมตีเต็มกำลังในขั้นทั่วไปจากนักพรตที่มีพลังยุทธ์ขั้นตงซวนเท่านั้น เช่นนี้ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของตำหนักมหาเทพจะได้รับความเสื่อมเสียหรือไม่เล่า?
ลู่อวี่เหลือบมองลู่เหว่ยิและรู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มและกล่าวว่า “ท่านลุงิคิดมากไปแล้ว ชุดนักพรตชิงอวิ๋น สามารถทนต่อการโจมตีเต็มกำลังจากนักพรตขั้นตงซวนได้ แต่คนที่ซื้อของสิ่งนี้ไปกลับไม่มีผู้ใดกล้าออกมายืนยันได้ว่า ของสิ่งนี้จะสามารถต้านทานการโจมตีเต็มรูปแบบของนักพรตที่มีพลังจิตแรงกล้าในขั้นตงซวนได้ มิเช่นนั้นจะมีราคาเริ่มต้นเป็เซียนหยกขั้นต่ำแสนเม็ดได้อย่างไร? ราคาเริ่มต้นเป็ล้านก็มีคนรุมแย่งจนหัวชนแล้ว ขนาดข้าเองก็จะเข้าไปแย่งชิงด้วย!”
ลู่เหว่ยิเองก็เข้าใจในทันที พลันส่งยิ้มและส่ายหน้าว่า “ข้าจริงจังเกินเหตุไปแล้ว แต่ของสิ่งนี้สามารถต้านทานต่อเวทสายฟ้าได้ต่ำยิ่งนัก นี่ถือเป็ข้อบกพร่องใหญ่! แต่มันก็ถูกที่ว่า เวทเมฆาส่วนใหญ่ไม่สามารถต้านทานเวทสายฟ้าได้ จะไม่มีคนสนใจได้อย่างไร แม้ว่าเวทจำพวกสายฟ้าจะมีน้อยและล้ำค่า เวลาฝึกฝนก็มีอุปสรรคมาก แต่คนที่ทำได้ก็มีอยู่ไม่น้อย!”
“ไม่ใช่ไม่มีใครสนใจ แต่หากนักพรตในขั้นตงซวนใช้เวทสายฟ้าขึ้นมา ต่อให้เป็นักพรตที่อยู่ในขั้นพลังยุทธ์เดียวกันก็ยังไม่กล้าดันทุรังเข้าไปขวาง และแม้แต่มีพลังยุทธ์ขั้นฟันฝ่าคงจะถูกสังหารภายในพริบตาเดียวได้ นับว่าไร้ประโยชน์ คนพวกนี้้าสิ่งนี้ เพราะส่วนใหญ่ก็เพื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่มีขั้นพลังยุทธ์เดียวกัน! จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่จำเป็ต้องทำเช่นนั้น ผู้ใดจะดันทุรังทนรับมือกับการโจมตีของผู้อื่นเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวทสายฟ้า!” ลู่อวี่กล่าวอย่างใจเย็น
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง ดูเหมือนว่าใน่หลายปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายเกินไป พอๆกับประสบการณ์การต่อสู้!” ลู่เหว่ยิพูดด้วยความละอายใจ แต่ในใจกลับรู้สึกหวาดกลัว นายน้อยอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดี แต่กลับมองการณ์ไกลและมีความรู้มากกว่าเขา แม้กระทั่งประสบการณ์การต่อสู้ก็ยังมีมากเช่นกัน คิดว่าคงผ่านเื่ราวอะไรมาไม่น้อย แม้แต่อุปนิสัยยังสุขุมรอบคอบมากขึ้น
สุดท้ายชุดคลุมของนักพรตชิงอวิ๋นก็ถูกคนประมูลไปในราคาเซียนหยกขั้นสูงสี่แสนหนึ่งหมื่นเม็ด
หลังจากนั้นก็ยังคงเป็การประมูลอาวุธเวทชนิดอื่นๆ ต่อ และอาวุธขั้นต่ำสุดก็เป็อาวุธเวทขั้นเจ็ดเช่นเดียวกัน แต่รายการสุดท้ายกลับเป็ ‘ดาบล่องหนจันทรา’ ซึ่งมีพลานุภาพและทรงพลังที่สุด ถือเป็อาวุธขั้นสี่ แต่กลับถูกตระกูลเซี่ยประมูลไปได้ในราคาเซียนหยกหนึ่งล้านห้าแสนอย่างน่าประหลาด
อันที่จริงด้วยพลังของ “ดาบล่องหนจันทรา” อย่างน้อยยังสามารถเพิ่มราคาประมูลเป็สองเท่าได้อีก แต่ตระกูลเซี่ยไม่เพียงแต่เป็ตระกูลอันดับหนึ่งในเทียนตูเท่านั้น แต่ตระกูลใหญ่อีกมากมาย เมื่อได้ยินข่าวลือก่อนจัดงานประมูล และรู้ว่าเซี่ยชิงเหยียนคุณหนูใหญ่ของตระกูลเซี่ยเพิ่งก้าวเข้าสู่่กลางของขั้นฟันฝ่าและกำลังฝึกฝน “เคล็ดวิชาจันทราสังหาร” ที่สืบทอดต่อกันมาจากทายาทของฮูหยินใหญ่ของตระกูลเซี่ย ยิ่งผนวกกับ “ดาบล่องหนจันทรา” ก็ยิ่งช่วยเสริมซึ่งกันและกันพอดี ไม่เพียงแต่ช่วยให้เซี่ยชิงเหยียน เพิ่มพลังของอาวุธนี้ให้ถึงขีดจำกัดเท่านั้น แต่ดาบล่องหนจันทรายังส่งเสริมการฝึกฝนบำเพ็ญเพียร “เคล็ดวิชาสังหารจันทรา” ของเซี่ยชิงเหยียนไม่น้อยด้วยเช่นกัน เพราะแม้จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือธรรมดาใน่ปลายของขั้นฟันฝ่า ก็ไม่อาจมีหวังว่าจะได้รับชัยชนะ ดังนั้นดาบล่องหนจันทราตระกูลเซี่ยจึงหมายมั่นที่จะได้มา
แม้ว่าตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลจะชื่นชอบอาวุธนี้ แต่หากประมูลมาแล้วก็ได้แต่นำมาเป็รางวัลให้กับลูกหลานหรือเป็ของสะสมเท่านั้น เพราะไม่มีความจำเป็ต้องได้มันมา ดังนั้น จึงไม่อยากทำให้ตระกูลเซี่ยขุ่นเคืองใจเพราะเื่นี้ ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจกันไปโดยปริยายว่าดาบล้ำค่าถูกตระกูลเซี่ย ประมูลของไปได้โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรนัก
“ด้วยคุณสมบัติของคุณหนูเซี่ย บางทีอาจจะใช้เวลาไม่นานก็สามารถบรรลุขั้นพลังยุทธ์ขึ้นไปถึงขั้นตงซวนได้ และจะกลายเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในบรรดาลูกหลานตระกูลใหญ่รุ่นเยาว์!”
“ตอนนี้คุณหนูเซี่ยเพิ่งจะอายุยี่สิบปี ช่างเป็คนหนุ่มสาวที่เก่งนำหน้าคนรุ่นก่อนเสียจริง ตอนที่ข้าอายุได้เพียงยี่สิบปีเท่านาง ข้าเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นพลังจิตได้เอง”
“ไม่รู้ต้องเป็คนเช่นไรถึงจะคู่ควรกับคุณหนูเซี่ยสตรีที่เก่งเกินใครผู้นี้!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่อยู่เบื้องล่างดังเซ็งแซ่อย่างคึกคัก
ยังดีที่คฤหัสถ์หลิงหวาส่งเสียงกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เอาละ คุณหนูเซี่ยจิตใจดีงาม ต้องจดจำมิตรภาพของทุกท่านได้อย่างแน่นอน แต่เวลามีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นการประมูลย่อมต้องดำเนินไปต่อ!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็สงบลงทันที
ภายในห้องลับของบุคคลสำคัญหมายเลขสิบสาม ลู่เหว่ยิยกยิ้มและกล่าวออกมาในขณะเดียวกันว่า “มีข่าวลือว่า คุณหนูใหญ่ของตระกูลเซี่ยเป็หนึ่งในสี่หญิงงามของโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตู ปีนี้นางอายุเพียงยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น แต่ระดับพลังยุทธ์กลับอยู่ใน่กลางของขั้นฟันฝ่าแล้ว แม้ว่าพลังยุทธ์ของนายน้อยจะอ่อนแอ แต่สถานะคนปรุงโอสถขั้นห้ากลับสูงส่งยิ่งกว่า หากคุณหนูเซี่ยกลายเป็คู่รักลัทธิเต๋ากับนายน้อยได้ คงเป็เื่ดีไม่น้อย!!”