แสงตะวันยามเหมันต์นั้นชวนให้ผ่อนคลาย ต่างกับยามคิมหันต์ที่รั้นแต่จะแผดเผาให้มอดไหม้ แต่ถึงอย่างไรดวงตะวันก็ยังเป็ดวงตะวันที่สวยงามเช่นเดิม
“เ้าตัวน้อยเริ่มตัวหนักขึ้นอีกแล้ว” แม่นางหลัวอุ้มเฉินโย่วน้อยดื่มนม ครั้งแรกที่นางอุ้มเ้าตัวเล็ก นางยังตัวเบานัก ไฉนบัดนี้จึงรู้สึกว่านางหนักขึ้นถึงเพียงนี้
แต่นางก็รู้สึกภูมิใจในความสำเร็จนี้อยู่เช่นกัน ถึงอย่างไรเ้าตัวเล็กนี่ก็เพราะดื่มนมจากนาง จึงทำให้ตัวโตถึงเพียงนี้
เมื่อก่อนนางแทบไม่เคยคิดว่านางนั้นต้องมาป้อนนมเด็ก บุตรสาวในตระกูลใหญ่นั้น ยามตั้งครรภ์ก็ล้วนจัดเตรียมแม่นมเอาไว้รอกันทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นสตรีเช่นนาง สตรีที่กำลังจะเข้าวังเพื่อคัดตัวเป็นางใน อาศัยแค่สถานะของตระกูลนาง นางไม่มีทางจะเป็สตรีที่ไม่ถูกเลือก เพียงแค่สถานะของนางหลังจากเข้าวังแล้วจะไต่เต้าได้ต่ำหรือสูงเท่าใดเพียงเท่านั้น
ทว่านางกลับยิ่งคาดไม่ถึงว่านางจะต้องมาป้อนนมเด็กคนหนึ่ง ซ้ำยังไม่ใช่ลูกของตัวเอง
“ยิ่งมองก็ยิ่งงดงาม สตรีที่งดงามเกินไปนั้น ชีวิตมักจะไม่ง่ายดายนักหรอก” หลัวอู๋เลี่ยงยื่นมือไปบีบจมูกทารกน้อยทีหนึ่ง
เฉินโย่วน้อยนั้นกำลังตั้งใจดูดนม จึงไม่ได้สนใจว่าจมูกตนจะโดนบีบหรือไม่ ที่สำคัญคือถึงอย่างไรแม่นางหลัวก็ไม่กล้าออกแรงกับนาง เพียงแค่บีบเบาๆ พอให้รู้สึกคันๆ ราวกับถูกสะกิดก็ไม่ปาน
หลัวอู๋เลี่ยงเมื่อเห็นว่าทารกน้อยในอ้อมกอดไม่สนใจตน ก็อดไม่ไหวที่จะบีบหูนางอีกทีสองที
หูของเ้าตัวน้อยนั้นหนามาก ซ้ำยังมีแต่เนื้อ จับไปก็ััได้เพียงความนุ่มนิ่ม
นางบีบหูเ้าตัวน้อยเบาๆ จากนั้นจึงทัดผมที่ยาวเกินกว่าผมของทารกน้อยของนางไว้หลังหู
สำหรับเฉินโย่วนั้นแม้ยามที่เลี่ยงเลี่ยงบีบหูจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่ก็รู้สึกคันนัก
ทารกน้อยนั้นมือหนึ่งก็ปัดป้องแม่นางหลัว ส่วนอีกมือหนึ่งก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบก้อนหินเม็ดหนึ่งขึ้นมายัดใส่มือแม่นางหลัว
หลัวอู๋เลี่ยงมองมืออ้วนสั้นราวกับรากบัวของเ้าทารกนั้นล้วงก้อนหินออกมายัดใส่มือนาง ก็พลันรู้สึกใ
เป็ลูกปัดสีอ่อนเม็ดหนึ่ง
ยามมันอยู่ใต้แสงตะวันก็ทอแสงนวลออกมา ยามมองจึงทำให้รู้สึกสบายทั้งตาและสบายทั้งใจ
แม้นายท่านใหญ่นั้นจะนับว่าใจกว้างต่อนางไม่เบา ยามออกปล้นมาได้ไม่ว่าจะอัญมณีใดก็มอบให้นางมาไม่น้อย
เพียงแต่นางเดิมทีก็กำเนิดในครอบครัวขุนนาง สายตาในการมองอัญมณีของนางนั้นจึงนับว่าสูงอยู่สักหน่อย ดังนั้นยามที่เ้าตัวเล็กนั้นดึงทั้งไข่มุกและโมราออกจากชุดนาง นางจึงไม่ได้สนใจ เพียงนับว่าเป็ของเล่นให้เ้าตัวเล็ก
ทว่ายามมองลูกปัดเม็ดเล็กที่เ้าตัวเล็กเพิ่งมอบให้ นางกลับรู้สึกต่างออกไป
บนูเากระดูก สิ่งที่มีมากที่สุดก็คือกระดูก มากเสียจนบนูเานั้นแทบจะมีแต่กระดูก ทั้งเอากระดูกมาปูเป็ถนน ทั้งกระดูกเรียงรายจนเป็ูเา
ในมือของเฉินโย่วน้อยนั้นแม้จะเป็กระดูกเช่นกัน เพียงแต่คำเรียกนั้นไม่เหมือนกัน มันจึงไม่เหมือนกับกระดูกทั่วไป เพราะนี่คือพระธาตุที่ตามตำนานเล่าว่าพระผู้าุโที่มีสติปัญญากว้างไกลดุจห้วงมหรรณพและมีคุณธรรมสูงส่ง ยามมรณภาพไปแล้ว อัฐิของท่านก็จะกลายเป็พระธาตุหลากสีสัน
จากศพก่อร่างกลายเป็ลูกปัดอัฐิก็นับว่ามหัศจรรย์แล้ว ทว่าเื่ที่มหัศจรรย์กว่านั้นคือ ลูกปัดอัฐินี้ยังมีสีสันอีกด้วย
นางจำได้ว่ายามเป็เด็ก ท่านปู่ก็เคยให้นางดูลูกปัดอัฐิหน้าตาเช่นนี้ ทว่าลูกปัดนั้นก็ไม่ใช่ของท่านปู่ ท่านปู่ของนางมีหน้าที่แค่คอยคุ้มกัน ส่งมันไปยังเมืองหลวงเพื่อถวายแด่ฮ่องเต้
ทว่าบัดนี้ในมืออ้วนๆ ของเด็กน้อยกลับมีลูกปัดเช่นนี้อยู่ในมือเม็ดหนึ่ง และยังยัดใส่มือนางอีกด้วย
เ้าตัวเล็กนั้นกำลังตั้งใจดูดนม บางครั้งก็ได้ยินเสียงกิน “จ๊อบแจ๊บ” ของนางดังขึ้น บัดนี้ความอยากอาหารของนางก็มีมากเหลือเกิน น้ำนมจากเพียงเต้าเดียวไม่พออีกต่อไป ต้องรอให้นางดูหมดทั้งสองข้างนางจึงจะพออิ่ม
กระทั่งหลัวอู๋เลี่ยงเอง เพื่อจะให้ตนมีน้ำนมพอให้เ้าตัวเล็กกิน ก็พลอยกินข้าวมากขึ้นเช่นกัน
เมื่อก่อนนางไม่เคยนึกชอบกินเนื้อ เพียงกินอาหารง่ายๆ อย่างพวกผักก็พอแล้ว ทว่าบัดนี้ไม่ว่านางจะชอบหรือไม่ชอบก็ล้วนบังคับตัวเองให้กินเข้าไป
นางเองก็แทบไม่เคยสังเกตตนเองว่า ร่างกายตอนนี้จริงๆ แล้วดีขึ้นมาก
กระทั่งสีหน้าก็ดีกว่าแต่ก่อนมากนัก โดยเฉพาะใบหน้านางยามมองทารกน้อยในอ้อมอก ใบหน้างามมักจะปรากฏรอยยิ้มบางๆ ยิ่งขับให้นางดูงดงามเสียแทบทำให้ผู้คนลุ่มหลง
เฉินโย่วน้อยเมื่อกินอิ่มก็เรอเสียงเบาทีหนึ่ง แม่นางหลัวก็พลันฉีกยิ้มอีกครั้ง
หลัวอู๋เลี่ยงถือลูกปัดอัฐิสีฟ้าในมือ มันช่างงดงามนัก ยามถือไว้ก็ราวกับว่าจิตใจพลอยรู้สึกสงบไปหมด
ช่างเป็ของล้ำค่าโดยแท้
ในปีนั้นท่านปู่ของนางค้นพบลูกปัดอัฐิเพียงเม็ดเล็กๆ กระทั่งสีสันก็ยังไม่งดงามเท่าเม็ดนี้ ท่านปู่ของนางยังทำเป็เื่อึกทึกครึกโครม ต้องเกณฑ์กำลังพลส่งไปยังเมืองหลวงให้ได้
ว่ากันว่าท่านปู่ได้พระราชทานรางวัลจนได้เลื่อนขั้นอีกขั้นก็เพราะเื่นี้
ทว่าทารกน้อยที่นางกำลังอุ้มอยู่นี้ถึงขั้นยัดใส่มือนางง่ายๆ
หลัวอู๋เลี่ยงเล่นลูกปัดนั้นอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็มอบคืนให้ทารกน้อย
“เด็กดี เ้าเก็บไว้เล่นเองเถิด ข้าไม่้าไข่มุกของเ้า”
หลัวอู๋เลี่ยงไม่มีแม้ความอาลัยอาวรณ์ต่อไข่มุกเม็ดนี้
ต่อให้เป็ของมีค่ายิ่งกว่านี้ ก็ไม่มีความหมายใดกับนาง
เฉินโย่วน้อยยามดื่มนมก็จะกอดนางไว้ ทำให้ระยะห่างนั้นแทบจะไม่มี มือคู่น้อยยังจับสะเปะสะปะไปมา ดังนั้นนางยังไม่ทันพูดจบ เฉินโย่วน้อยก็ถือวิสาสะยัดลูกปัดในมือเข้าไปในปากนาง พอดิบพอดีกับตอนที่นางกำลังอ้าปากพูด บัดนี้นางจึงกลืนลูกปัดนั่นเข้าไปเสียแล้ว
ชั่วพริบตาใบหน้างามนั้นก็พยายามกระแอมอย่างเอาเป็เอาตาย
เ้าเด็กน่าตายนี่ มีอะไรก็ชอบยัดใส่ปากนาง
ใบหน้างามของหลัวอู๋เลี่ยงบัดนี้เริ่มกลายเป็สีแดง
ทว่าทารกน้อยกลับล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบลูกปัดแบบเดิมขึ้นมาอีกเม็ด แล้วจึงยัดใส่ปากตัวเองราวกับกินถั่วก็ไม่ปาน เพียงแต่ท่าทางของนางนั้นดูจะไม่คล่องแคล่วนัก น้ำลายจึงเปรอะมือมาเสียหลายหยด
จากนั้นจึงยิ้มหวานให้สตรีที่อุ้มตนอยู่ “อาหย่อย เลี่ยงเลี่ยง”
หลัวอู๋เลี่ยง “......”
หลัวอู๋ลี่ยงนั้นไม่รู้จะกล่าวอันใด เ้าเด็กนี่ไม่เพียงเจออะไรก็กิน แต่อะไรที่ตนคิดว่าอร่อย ก็จะเอามายัดใส่ปากนางด้วย
เพื่อตอบแทนบุญคุณที่นางให้กินนมงั้นหรือ?
ครั้งแรกนางก็ถูกป้อนหนอน ครั้งนี้ถูกขั้นโดนป้อนลูกปัดกระดูก?
กระนั้นนางก็กลืนสิ่งนั้นลงไปเสียแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว ครั้งที่แล้วนั้นรู้สึกว่าตนนั้นปรับตัวไม่ได้เท่าใดนัก ทว่าครั้งนี้นางรู้สึกราวกับถูกไฟสุมก็ไม่ปาน
นางจึงรีบวางทารกน้อยในมือลง แล้วกลับไปยังเรือนของตน
เฉินโย่วน้อยนั่งมองเลี่ยงเลี่ยงที่รีบเดินจากไปอย่างไม่เข้าใจ นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางให้เลี่ยงเลี่ยงกินไข่มุกแสนอร่อยของตนแล้ว นางยังจากไป
นางนั้นยังเด็กนัก ทว่าในใจกลับรู้สึกว่าร่างกายนั้นช่างว่างเปล่า แต่มันก็ไม่ใช่ความรู้สึกเช่นความหิว แต่เป็ความรู้สึกว่างเปล่าราวกับว่ามีเพียงนางต้องกินให้มาก กินหลายสิ่งหลายอย่างนางจึงจะสามารถเติมเต็มความรู้สึกนี้ได้
เฉินโย่วน้อยเมื่อกินอิ่มแล้วก็ปีนขึ้นไปบนหลังเ้ามืด แล้วจึงนอนหลับไป อาบแดดไป
เ้ามืดค่อยเดินไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ยามนางตื่นนอนแล้วลืมตาขึ้น ก็มองเห็นพระราชวังที่แสนโอ่อ่า
ทว่าด้านในนั้นกลับมีต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาจนใบร่วงโรยอยู่ต้นหนึ่ง
มีสตรีที่กำลังกอดหุ่นกระบอกอยู่นางหนึ่ง
มีเด็กผู้หญิงหน้าที่หน้างามงดงามคล้ายตนอยู่คนหนึ่ง
เด็กผู้หญิงคนนั้นข้างกายยังมีสาวใช้คอยติดตามอีกโขยงหนึ่ง ไม่ว่านางจะเดินไปที่ใด คนเ่าั้ก็จะตามไป
เฉินโย่วน้อยพลันเบิกตามอง ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเด็กคนนี้นัก อืม และเหมือนว่าจะรู้สึกเกลียดด้วยเช่นกัน
..........
หลัวอู๋เลี่ยงโดนป้อนลูกปัดอัฐิเข้าไปเม็ดหนึ่ง ทั้งร่างก็รู้สึกราวกับไฟสุม ยามกลับมาถึงเรือนก็หมดสติไปทันที
นางฝัน...ฝันถึงเื่ที่แสนยาวนานเื่หนึ่ง
ในฝันนั้นนางสวมชุดผ้าต่วนสีกุหลาบ บนศีรษะสวมมงกุฎหงส์ และทั้งใต้หล้านี้ล้วนอยู่ใต้อาณัตินาง
ขุนนางนับร้อยต่างคารวะนาง
นางนั้นนั่งอยู่บนบัลลังก์ัทอง
ทว่าทันใดนางก็ลืมตาขึ้น
ภาพตรงหน้าก็เห็นเป็ผ้าม่านโปร่งบางสีขาว มีกระดูกแขวนไว้เพื่อตกแต่ง ซ้ำตรงหน้ายังมีใบหน้าของนายท่านใหญ่
นางคงตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ จึงค่อยๆ เหลือบตาขึ้นมองนายท่านใหญ่
“เสี่ยวชุนบอกว่าเ้าไม่สบายอีกแล้ว ข้าเลยแวะมาดูเ้าเสียหน่อย เมื่อครู่นี้เ้ากำลังฝันร้ายอยู่รึ”
หลัวอู๋เลี่ยงส่ายหน้าเบาๆ
จากนั้นจึงผลักหน้าต่างให้เปิดออก พบว่านอกหน้าต่าง มีเงาเสี่ยวเถากำลังงีบหลับ