ณ โรงน้ำชาอวิ๋นเซียง
ภายในห้อง ‘ิเซียงหย่า’ ฟู่ผิงเซียงกวาดชุดน้ำชาบนโต๊ะลงกับพื้นด้วยความโมโหแต่เสียงถ้วยกาน้ำชาที่ตกแตกไม่มีผลต่อการดื่มชาของชายสองคนในห้องข้างๆ
หนึ่งในนั้นเป็บุรุษอายุเกินสามสิบ ร่างกายสูงใหญ่แม้จะสวมชุดชาวบ้านทั่วไปแต่ก็ยากจะปกปิดกลิ่นอายจากการผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชนของเขาได้รูปหน้าของเขาลึกล้ำคมคาย ท่าทางสุขุมเด็ดเดี่ยว ั์ตาฉายแววดุดัน
อีกหนึ่งบุรุษที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ใช่ใครอื่นเป็ตวนอ๋องจ้าวหยวนเช่อ เขากำลังดื่มชาอย่างสบายอารมณ์ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาเ็า ไม่มีใครมองออกว่าเขาคิดอะไรอยู่
“คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆกระหม่อมจะถูกคนอื่นสร้างความร้าวฉานกับท่านอ๋องเช่นนี้” ซึ่งคนอื่นในที่นี้ก็คือหลานสาวที่เขารักเอ็นดูมาั้แ่เด็กเยี่ยนจื่อเซี่ยนแค่นเสียงหัวเราะ “ผิงเซียงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฮูหยินน้อยเสิ่นผู้นั้น”
“เ้าเห็นว่าอย่างนั้นหรือ?” จ้าวหยวนเช่อส่งสัญญาณให้ฉางหลิ่วที่ยืนคอยรับใช้อยู่รินน้ำชาให้แม่ทัพเยี่ยน
“ฮูหยินน้อยพูดตัดเข้าจุดสำคัญในไม่กี่ประโยค ตรงกันข้ามกับผิงเซียงนอกจากเพียง้าระบายความแค้นแล้ว กลับไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งเลย”
“คำพูดไม่กี่ประโยคที่เ้าว่านั้น นางก็แค่ได้ยินมาจากปากคนอื่น”
นางในที่นี้ย่อมหมายถึงกู้เจิงเยี่ยนจื่อเซี่ยนเหลือบตาขึ้นมองตวนอ๋อง อีกฝ่ายพูดราวกับรู้จักฮูหยินน้อยเสิ่นผู้นี้อย่างดีทว่าสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดก็คือ การเปลี่ยนแปลงของตวนอ๋องเมื่อสามปีก่อนตอนที่เขาได้พบกับตวนอ๋องผู้นี้ เขายังสามารถหยั่งรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของท่านอ๋องได้หลายส่วนแต่การพบกันครั้งนี้ เขาไม่อาจอ่านใจอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อยนับว่าท่านอ๋องเปลี่ยนไปมากอย่างยิ่ง
จ้าวหยวนเช่อดื่มชาไปพลางแต่ในหัวกลับคิดถึงเมื่อครู่ตอนที่มองดูร่างของสตรีคนนั้นเดินออกมาจากโรงน้ำชาตรงหน้าต่างท่าทางห่อเหี่ยวของนางนั้นดูออกว่าไม่สบอารมณ์ ทั้งๆที่ต่อปากต่อคำกันจนชนะแล้วยังจะอารมณ์ไม่ดีอีกหรือ? แต่เมื่อนางเห็นชุนหง นางก็กลับไปร่าเริงอีกครั้ง
“ท่านอ๋อง รบกวนเรียนองค์รัชทายาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนจื่อเซี่ยนวางถ้วยชาในมือลง ั์ตาเย็นเยียบมองจ้าวหยวนเช่อน้ำเสียงของเขาราบเรียบมั่นคง “กระหม่อมมีหน้าที่ปกป้องอาณาประชาราษฎร์ในแคว้นต้าเยว่ของเราไม่ได้ปกป้องดูแลบ้านเมืองเพื่อคนผู้หนึ่งผู้ใดหากองค์รัชทายาทตั้งใจอุทิศตนเพื่อราษฎรจริงกระหม่อมเยี่ยนจื่อเซี่ยนจะขอยอมเป็ม้ารับใช้ของท่าน”
“บัดนี้ข้อพิพาทในราชสำนักยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นแม่ทัพเยี่ยนน่าจะรู้ถึงพลังอำนาจของมันดียิ่งกว่าเปิ่นหวังกระมัง” จ้าวหยวนเช่อตอบ เขาเหลือบมองแม่ทัพเยี่ยนผู้ที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญคนหนึ่งตระกูลเยี่ยนเป็ตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของต้าเยว่น่าเสียดายที่บิดาของเขาก็ถูกคนเล่นงานจนเสียตำแหน่งขุนนางไปบุตรชายสายตรงอย่างเยี่ยนจื่อเซี่ยนเห็นดังนั้นจึงหันไปเอาดีทางด้านขุนนางฝ่ายทหารเขาเข้าร่วมกองทัพั้แ่อายุสิบสองย่างเท้าสู่เส้นทางโลหิตจนก้าวมาถึงตำแหน่งอันทรงอำนาจทางทหารอย่างในทุกวันนี้
“เพราะทราบดีกระหม่อมจึงรู้ว่ามีเพียงการยืนอยู่บนที่สูงเท่านั้นถึงจะปลอดภัยด้วยตำแหน่งแม่ทัพในตอนนี้ของกระหม่อม จะตัดสินใจอย่างไรก็ไม่จำเป็ต้องไว้หน้าใครแม้แต่ท่านที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานก็ตาม” ที่เขาแทนตัวเองว่ากระหม่อม ก็แค่ไว้หน้าตวนอ๋องเท่านั้น
คำพูดของเยี่ยนจื่อเซี่ยนต่อให้คนนอกฟังก็รู้ว่าเป็การท้าทายอย่างไม่ต้องสงสัยฉางหลิ่วที่ยืนคอยปรนนิบัติท่านอ๋องอยู่ถึงกับขมวดคิ้วเขาอยู่เคียงข้างท่านอ๋องมาสิบกว่าปียังไม่เคยเห็นใครกล้าจาบจ้วงท่านอ๋องต่อหน้ามาก่อน มีแม่ทัพเยี่ยนผู้นี้เป็คนแรกแต่เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องไม่ได้มีท่าทีอะไร เขาก็ทำอะไรไม่ได้
เยี่ยนจื่อเซี่ยนคิดว่าถ้อยคำเหล่านี้จะทำให้ตวนอ๋องโกรธเคืองคิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องหนุ่มจะทำเพียงยิ้มบางๆ พร้อมกล่าวอย่างเบิกบานว่า “สิ่งที่แม่ทัพเยี่ยนพูด เปิ่นหวังเห็นด้วยเป็อย่างยิ่งหวังว่าวันหน้าท่านแม่ทัพจะจดจำสิ่งที่พูดกับเปิ่นหวังในวันนี้ให้ขึ้นใจ”
ในดวงตาของตวนอ๋องผู้นี้ดูใจกว้างอย่างยิ่งมันไร้ซึ่งอารมณ์ขุ่นมัวแอบแฝงเยี่ยนจื่อเซี่ยนนึกประหลาดใจแต่ขณะเดียวกันก็นึกชื่นชมอยู่บ้าง อายุยังน้อยแต่กลับมีจิตใจกล้าแข็งเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่ง “หากท่านอ๋องไม่มีเื่ใดแล้วกระหม่อมขอตัวก่อน”
จ้าวหยวนเช่อพยักหน้า
หลังจากเยี่ยนจื่อเซี่ยนจากไป ฉางหลิ่วก็เอ่ยถามเสียงเบา “ท่านอ๋อง ให้ผู้น้อยส่งคนไปจับตาดูแม่ทัพเยี่ยนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่จำเป็ เปิ่นหวังวางใจในตัวเขามาก” จ้าวหยวนเช่อยกชาขึ้นดื่มช้าๆ
ฉางหลิ่วงุนงง แม้ท่านอ๋องจะนิ่งขรึมเหมือนเคยแต่เขารู้สึกได้ว่าท่านอ๋องตอนนี้กำลังอารมณ์ดีอยู่ทีเดียวนี่เขาเชื่อใจแม่ทัพเยี่ยนมากเกินไปหรือไม่?
เมื่อใกล้จะถึงบ้านกู้เจิงก็เห็นพ่อแม่สามีออกมายืนถือร่มรอพวกนางอยู่ในตรอกเล็กตรงปากทางในใจของนางรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขขึ้นมาทันที นางรีบดึงชุนหงวิ่งเข้าไปหาพวกเขา
“ทำไมถึงกลับมาช้านัก?” นายหญิงเสิ่นเห็นลูกสะใภ้กับชุนหงกลับมาอย่างปลอดภัยก็โล่งใจแต่พอเห็นว่าพวกนางเอาถุงผ้าเสื้อคลุมกลับมาด้วย จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “ทางสนามสอบไม่อนุญาตให้นำเสื้อผ้าเข้าไปหรือ?”
“ท่านแม่วางใจได้ ทางสนามสอบอนุญาตเ้าค่ะแต่ตวนอ๋องได้ส่งเสื้อให้ท่านพี่ไปก่อนพวกเราแล้ว ซ้ำยังหนากว่าของพวกเราอีกดังนั้นข้ากับชุนหงเลยเอาเสื้อกันหนาวของเรากลับมาด้วย” กู้เจิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ตวนอ๋องดีต่ออาเยี่ยนของเราเสียจริง” นายท่านเสิ่นหัวเราะ
นายหญิงเสิ่นไม่ได้เอ่ยตอบสามีนางมองรองเท้าของกู้เจิงกับชุนหงที่เปียกชื้น ก่อนจะพูดว่า “รีบกลับเข้าบ้านเถอะ รองเท้าเปียกหมดแล้วเอาไปวางไว้บนเตาอังให้แห้งสักหน่อย”
หิมะตกหนักติดต่อกันเป็เวลาสี่วันสี่คืน
เมื่อกู้เจิงตื่นนอนจะเห็นหิมะกองหนาทับถมอยู่บนพื้นในทุกๆ เช้าทุกหนึ่งชั่วยามแม่สามีจะมาเรียกนางกับชุนหงให้ไปช่วยกันกวาดหิมะที่ถนนหน้าบ้านด้วยกันเพื่อนบ้านข้างๆ ก็ล้วนทำแบบเดียวกับพวกนาง
กู้เจิงและเพื่อนบ้านต่างยิ้มให้กัน หลังจากกวาดหิมะมาสามวันก็เริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นยิ่งไปกว่านั้นเหล่าลูกสะใภ้ของเพื่อนบ้านแต่ละคนล้วนอายุพอๆ กับนางจึงได้พูดคุยทำความรู้จักกัน
อาหารมื้อเย็นคืนนี้ มีขนมเข่งผัดเนื้อใส่เต้าหู้กระเทียมดองขนมเข่งที่ช่วยกันทำเมื่อนำไปหมักในน้ำจะทำให้ขนมเข่งนุ่มมากเวลาอยากกินก็ค่อยเอาออกมา จะนำไปนึ่ง ต้ม หรือผัดก็ได้ทั้งนั้น
กู้เจิงชอบกินขนมเข่งที่ทุกคนช่วยกันทำนี้เป็พิเศษนางเป็คนกินน้อย ทว่ากลับกินขนมเข่งผัดได้ชามใหญ่
ส่วนชุนหงที่กินเยอะอยู่แล้ว ยิ่งเจริญอาหารมากกว่านางเสียอีก
นายท่านเสิ่นชอบดื่มเหล้าเหลืองสักจอกก่อนกินข้าวเพื่ออุ่นร่างกายนายหญิงเสิ่นก็รู้ใจคอยปอกเปลือกถั่วลิสงให้เขากินเป็กับแกล้ม
ทั้งสี่คนล้อมวงทานอาหารกันในห้องครัวอันอบอุ่นต่างพูดคุยและหัวเราะกันไปพลาง แต่อยู่ๆ กลับได้ยินเสียงดังกึกก้องตามมาด้วยเสียงครืนจากด้านนอก
นายท่านเสิ่นผุดลุกขึ้น “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เขารีบวางตะเกียบแล้ววิ่งออกไปดู
นายหญิงเสิ่น กู้เจิง และชุนหงก็รีบตามออกไปทันที
เมื่อออกมาจากห้องครัวทุกอย่างก็ยังดูปกติดี แต่เสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอกกลับดังขึ้นเรื่อยๆ
“หลังคาบ้านของน้องเจ็ดตระกูลฟางพังลงมา ล้มไปทั้งแถวเลยเป็เรือนหลักด้วย”
“แย่แล้ว ภรรยาของเขาเพิ่งให้กำเนิดลูก ขออย่าให้เป็บ้านนั้นเลย”
“เร็วเข้า เร็ว รีบเดินไปดูหน่อย”
“บ้านตระกูลเริ่นก็พังเสียหายเหมือนกัน หิมะครั้งนี้ตกหนักเหลือเกิน”
สองสามีภรรยาเสิ่นยืนฟังเสียงชาวบ้านพูดคุยกันอยู่หน้าประตูนายท่านเสิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง เขารีบหยิบพลั่วออกมาจากมุมประตูก่อนจะหันกลับมากำชับกับทั้งสามคน “พวกเ้าเฝ้าบ้านให้ดี ไม่ต้องออกไปไหน ข้าจะไปดูบ้านตระกูลฟางก่อน” เขารีบร้อนออกไป
“ท่านต้องระวังตัวด้วยนะเ้าคะ” นายหญิงเสิ่นะโบอกด้วยความเป็ห่วง
กู้เจิงเห็นคนในหมู่บ้านหลายคนวิ่งไปทางที่เกิดเสียงขึ้นถึงแม้นางจะไม่รู้จักตระกูลฟาง แต่ในใจก็อดกังวลไม่ได้
“ปีนี้หิมะตกหนักมากเมื่อไม่กี่วันก่อนหัวหน้าหมู่บ้านได้มาเตือนทุกคนแล้วว่าให้เสริมเสาบ้านให้ดีคิดไม่ถึงว่าเื่แบบนี้จะเกิดขึ้น” นายหญิงเสิ่นถอนหายใจอย่างกังวล “ที่สนามสอบน่าจะไม่เป็อะไรกระมัง?”
“ท่านแม่วางใจได้ ที่นั่นเป็สนามสอบขุนนาง ย่อมไม่พังง่ายๆแน่เ้าค่ะ” กู้เจิงคิดในแง่ดี
นายท่านเสิ่นกลับมาในกลางดึกตอนที่กลับมาทั้งตัวเต็มไปด้วยหิมะและโคลน มีสีหน้าเคร่งเครียด
นายหญิงเสิ่น กู้เจิง และชุนหงล้วนยังนอนไม่หลับเกิดเื่น่าใขึ้น ทั้งสามคนรู้สึกว่าการเกาะกลุ่มกันแบบนี้รู้สึกปลอดภัยดี
หลังจากไปเห็นบ้านตระกูลฟาง นายท่านเสิ่นก็ส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าช่วยสิ่งใดไม่ได้อีก เขาก็ตรงกลับบ้าน “ห้องที่พังทลายเป็ห้องของน้องเจ็ดกับสะใภ้ของเขาจริงๆคานไม้ใหญ่นั่นตกลงมาบนร่างของพวกเขาพอดี ตอนที่ช่วยกันยกคานออกมาพวกเขาก็หมดลมหายใจไปแล้ว”
นายหญิงเสิ่นร้องไห้ออกมาในทันที นางถามอย่างกังวลว่า “ภรรยาของน้องเจ็ดเพิ่งคลอดลูก แล้วเด็กเล่า? ไม่เป็ไรใช่ไหม? "
“เด็กไม่ได้รับอันตราย ตอนที่เราอุ้มเขาขึ้นมา ยังหลับสนิทอยู่เลย”
กู้เจิงกับชุนหงมองหน้ากัน ต่างรู้สึกะเืใจมาก
คืนนี้ กู้เจิงให้ชุนหงนอนกับนาง ชุนหงเองก็ไม่สนใจฐานะนายบ่าวแล้วตอนนอนนางยังกอดแขนคุณหนูไว้แน่นอีกด้วย
เที่ยงวันถัดมา กู้เจิงถึงได้รู้ว่าหิมะที่ตกหนักสี่วันสี่คืนนี้ไม่เพียงแต่พรากชีวิตน้องเจ็ดและภรรยาตระกูลฟางเท่านั้น ยังมีคนแก่สามคนคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวอีกสองคู่ ซึ่งหนึ่งในคู่สามีภรรยานั้นมาจากตระกูลเสิ่นเสียงที่ดังกึกก้องเมื่อคืน มีบ้านเรือนที่ถูกหิมะถล่มถึงสิบกว่าบ้าน