ณ สวนซือหลาน
เฉินอี้เหอฟังเฉินจิ้งเจียสาธยายอย่างเงียบเชียบ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจียเอ๋อร์ เ้ามั่นใจจริงหรือว่าการตายของท่านแม่หาได้เกิดจากอุบัติเหตุ แต่มีคนจงใจสร้างเื่ขึ้น?”
“ท่านพี่ ไหนเลยเจียเอ๋อร์จะกล้าโป้ปดท่าน เพียงแต่เจียเอ๋อร์ไร้ซึ่งหลักฐาน จึงทำได้เพียงปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลไปก่อน” สีหน้าเฉินจิ้งเจียฉายแววชิงชังเคียดแค้น ก่อนอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว
เฉินอี้เหอขมวดคิ้วมุ่น “นับว่าเป็เื่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว เจียเอ๋อร์เ้าวางใจเถิด พี่จะตรวจสอบให้กระจ่างชัดเอง หากมีคนทำร้ายท่านแม่จริง ข้าไม่มีทางยกโทษให้มันเด็ดขาด!”
“ท่านพี่ ท่านกลับเมืองหลวงคราวนี้ยังต้องไปอีกหรือไม่?”
“ข้าได้กราบทูลขออนุญาตจากฮ่องเต้อยู่ในเมืองสามปีเพื่อไว้ทุกข์แก่ท่านแม่ พ้นสามปีจึงจะกลับไปอีกครั้ง” เฉินอี้เหอเอ่ย “เอาละเจียเอ๋อร์ ร่างกายเ้ายังอ่อนแอ ต้องรักษาตัวให้แข็งแรง พรุ่งนี้เป็พิธีฝังศพของท่านแม่ เ้าก็สงบใจอยู่ที่บ้านเสีย ทุกอย่างมีพี่จัดการอยู่ตรงนี้แล้ว”
“แต่...”
เฉินจิ้งเจียคิดเอ่ยบางอย่าง แต่กลับถูกเฉินอี้เหอตัดบททันใด “ฟังพี่นะ เ้ายังไม่ออกเรือน ดังนั้นมิอาจไปพิธีฝังศพท่านแม่ได้อยู่แล้ว”
ประโยคดังกล่าวทำเอาเฉินจิ้งเจียหาทางหนีทีไล่มาโต้แย้งไม่ได้
พิธีฝังศพของฮูหยินแห่งจวนป๋อชางโหวนั้นถือเป็เื่ใหญ่ยิ่ง การจัดพิธีนั้นต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มถึงจะเสร็จสิ้น
เฉินจิ้งเจียมิอาจไปร่วมพิธีได้ จึงเอาแต่นั่งอยู่ในห้องนอนอย่างสงบจิต กระทั่งอาทิตย์ลับฟ้าย่ำสนธยา ผู้คนของจวนโหวจึงทยอยกลับมา
“คุณหนูใหญ่ พ่อบ้านมาแล้วเ้าค่ะ”
ยามหนานจือเข้าห้องมารายงาน เฉินจิ้งเจียกำลังงีบหลับอยู่บนเก้าอี้โยก
“เข้ามาเถิด”
นางค่อยๆ ลืมตา ฝืนยกยิ้มอย่างยากลำบาก “พ่อบ้านเฉินมีเื่อันใดหรือ?”
“คุณหนูใหญ่ ข้าน้อยมาแจ้งคุณหนูใหญ่ตามคำสั่งนายท่านโหวขอรับ เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนในจวนโหวต้องเดินทางไปขอพรที่วัดอันเหรินขอรับ จะออกเดินทางตอนยามเหม่า[1] ท่านโปรดเตรียมตัวให้พร้อม อย่าจำเวลาผิดนะขอรับ”
ขอพร?
เฉินจิ้งเจียขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนนึกได้ทันใดว่านี่ต้องเป็ความคิดของจ้าวอี๋เหนียงอย่างแน่นอน
วัดอันเหรินคืออารามที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนเฉา มีพระอาจารย์ใหญ่ผู้บรรลุธรรมอันเลื่องชื่อเป็เ้าอาวาส ภูตผีปีศาจมิอาจเล็ดลอดผ่านวัดอันเหรินไปได้
ช่างน่าขันยิ่งนักที่คนทำผิดทำนองคลองธรรมเช่นนั้น ยังจะกล้ากราบไหว้พระพุทธเ้าอยู่อีก
“ไปวันพรุ่งนี้? พ่อบ้าน วันนี้เพิ่งมีพิธีฝังศพฮูหยิน ยังไม่ทันพ้นวันโถวชี[2] เลย แต่กลับจะไปขอพรกันยามนี้อย่างนั้นหรือ...”
หนานจือคันปากอยากผรุสวาทต่อ ทว่ากลับถูกเฉินจิ้งเจียปรามไว้ “หนานจือ ในเมื่อท่านพ่อเห็นด้วย เช่นนั้นเขาคงมีความคิดของเขาเอง พวกเราแค่ไปก็พอแล้ว”
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลาคุณหนูใหญ่ขอรับ ท่านกรุณาเตรียมตัวให้พร้อมด้วยขอรับ”
“ขอบใจพ่อบ้านมาก” เฉินจิ้งเจียโบกมือ คอยกระทั่งพ่อบ้านจากไปจึงเอ่ยกับหนานจือ “ต่อไปอย่าได้กล่าววาจาล่วงเกินเช่นนี้ต่อหน้าคนนอกอีก เลี่ยงมิให้พวกมีเจตนาแอบแฝงใช้เื่นี้ไปวิพากษ์วิจารณ์ จำไว้ว่าพรุ่งนี้ให้พกเครื่องปรุงโอสถรสเข้มมาเยอะๆ ข้ามีวิธีใช้การมัน”
“รับทราบเ้าค่ะคุณหนูใหญ่” หนานจือพยักหน้ารับ
รุ่งอรุณวันที่สอง
รถม้าจอดหน้าประตูเข้าจวนโหวั้แ่เช้าตรู่ ยามเฉินจิ้งเจียมาถึง เฉินจิ้งโหรวและเฉินจิ้งหนานก็รออยู่ในนั้นแล้ว ครั้นเห็นนางเข้ามา ทั้งสองจึงพากันทำความเคารพ “อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะ พี่หญิง”
เฉินจิ้งเจียโบกมือ “ขึ้นรถเถิด ข้างนอกเย็นเกินไป”
สายตานางกวาดมองใบหน้าเฉินจิ้งโหรวอย่างละเอียด ยังคงดูน่าสงสารเหมือนในความทรงจำไม่เปลี่ยน
เมื่อเห็นเฉินจิ้งเจียมอง เฉินจิ้งโหรวจึงรีบเผยยิ้มเดินเข้ามาพร้อมท่าทางสนิทสนมเต็มประดา “พี่หญิง ร่างกายท่านดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“ข้าไม่เป็ไร น้องรองวางใจเถิด” นางยิ้มบาง หากแต่คำพูดคำจากลับดูห่างเหินยิ่ง
เฉินจิ้งโหรวที่ถูกสวนกลับ จึงทำได้เพียงยิ้มค้างอย่างกระอักกระอ่วน “เช่นนั้นก็ดีแล้วเ้าค่ะ”
“ไฉนเอาแต่ยืนหน้าประตูเล่า ลมเย็นอากาศหนาวขนาดนี้พวกเ้ารีบขึ้นรถม้าเสีย” จ้าวอี๋เหนียงโน้มตัวออกมา ตวัดสายตามองเฉินจิ้งโหรวเป็สัญญาณ “โหรวเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่ร่างกายยังไม่สู้ดีนัก มิสู้เ้านั่งรถม้าคันเดียวกับคุณหนูใหญ่จะดีกว่า”
เฉินจิ้งโหรวชะงักงันครู่หนึ่ง ในใจเริ่มเต้นรัวประหนึ่งตีกลอง
วันนี้เฉินจิ้งเจียสวมอาภรณ์เป็ชุดกระโปรงยาวสีขาวสะอาดตา ชั้นนอกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกัน ดูบอบบางเรียบง่าย ทว่าสีหน้ากลับซีดขาวยิ่งกว่า มีเพียงดวงตาคู่กลมสีดำสนิทแสนล้ำลึกชวนให้คนมองรู้สึกเย็นเยียบถึงปลายเท้า
“ท่านแม่...” เฉินจิ้งโหรวขมวดคิ้ว เห็นชัดว่าไม่อยากนั่งรถม้าคันเดียวกับนาง
เฉินจิ้งเจียย่อมมองออกว่านางกำลังคิดอะไรในใจ จึงอดที่จะเอ่ยขึ้นเสียมิได้ “อี๋เหนียง ข้ายังป่วยจึงพกเครื่องปรุงโอสถที่ต้องต้มมาด้วยมากมาย กลิ่นไม่ค่อยน่าอภิรมย์นัก อีกทั้งเพื่อเลี่ยงมิให้ติดไข้ได้ป่วยกัน เกรงว่าคงต้องให้น้องหญิงทั้งสองอยู่ด้วยกันแล้ว”
“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่คุณหนูใหญ่บอกก็แล้วกัน” จ้าวอี๋เหนียงไม่สนใจสีหน้าปฏิเสธสุดฤทธิ์ของบุตรสาวตน พยักหน้ารับทันที
หลังจากขึ้นรถม้า ผ้าม่านผืนหนาสกัดกั้นอากาศหนาวเหน็บจากภายนอก เฉินจิ้งเจียรู้สึกสบายตัวขึ้น ขณะกำลังเตรียมเอนตัวพักบนเบาะนุ่ม ทันใดนั้นผ้าม่านพลันถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าได้รูปของเฉินอี้เหอ
“เจียเอ๋อร์ ประเดี๋ยวจะออกเดินทางแล้ว หนทางขรุขระทีเดียว เพิ่มเบาะนุ่มอีกสักนิดเถิด หนานจือ ดูแลคุณหนูใหญ่ให้ดีเล่า”
“ทราบแล้วเ้าค่ะคุณชายใหญ่ ท่านวางใจได้”
“ไม่เจอกันตั้งหลายปี ท่านพี่ยังคงชอบพร่ำรำพันตลอดเวลาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนจริงๆ” เฉินจิ้งเจียหัวใจอุ่นวาบ แต่กลับอดที่จะหยอกล้อเสียมิได้
“ไปละ” เฉินอี้เหอยิ้มกริ่ม ปล่อยผ้าม่านลงเบาๆ
การเดินทางสู่วัดอันเหรินนั้นจำต้องข้ามเขาถึงสองลูก เส้นทางยาวไกลยิ่ง เฉินจิ้งเจียที่ไม่สบายเท่าไรจึงเอาแต่หลับตาพักผ่อนตลอดทาง
กระทั่งสามชั่วยามต่อมา จึงได้ยินเสียงเคาะระฆังดังขึ้นแว่วๆ จากระยะไกล
ตึง!
ทันใดนั้นรถม้าพลันหยุดกะทันหัน เฉินจิ้งเจียที่กำลังงีบหลับเกือบกระเด็นออกนอกรถม้า
“คุณหนูใหญ่!” หนานจือโพล่งะโอย่างตื่นตระหนก รีบรั้งตัวคุณหนูใหญ่และตรวจสอบหัวจรดเท้า พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก “เกิดอันใดขึ้น เ้าไม่รู้หรือว่าคุณหนูใหญ่ไม่สบาย? หากชนขึ้นมาเ้าจะรับผิดชอบคุณหนูใหญ่อย่างไร?”
“ไม่ใช่นะขอรับ แม่นางหนานจือ นี่เป็อุบัติเหตุขอรับ มีคนกลิ้งมาขวางทางทางม้า!”
“เ้าว่ากระไรนะ?”
ไม่คอยให้หนานจือทันถามจบ เสียงหัวเราะหยอกล้อของบุรุษคนหนึ่งพลันดังขึ้นจากด้านนอก
“เผยฉางชิง เ้าซ่อนตัวต่อไปเถิด ต่อให้เ้าวิ่งเร็วเพียงใด คิดว่าจะวิ่งเร็วกว่าอาชาเหงื่อโลหิตของข้าหรือ”
“วันนี้หากเ้ายอมลอดหว่างขา[3] ข้าจะยอมไว้ชีวิตเ้า!”
เฉินจิ้งเจียที่เดิมทีคิดว่าคงเป็หนุ่มน้อยลูกผู้ดีตระกูลไหนมาเล่นเตร็ดเตร่ตอนกลางวันเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินคำว่า “เผยฉางชิง” แล้ว สีหน้าก็เป็อันเปลี่ยนไปทันใด
เผยฉางชิง บัณฑิตจอหงวน[4]สามอันดับแรกแห่งการสอบคัดเลือกขุนนาง่ปีใหม่ ครั้นสอบติดก็ได้รับตำแหน่งสำคัญจากฮ่องเต้ฮ่าวมากขึ้น เพียงเวลาสามปี เขาก็ได้รับการขนานนามว่าเป็ขุนนางชั้นรองแห่งเมืองอัน ตอนนั้นเฉินจิ้งเจียยังเคยคุยเื่คนผู้นี้กับเซี่ยยู่จาง กระทั่งภายหลังงานเลี้ยงราชวงศ์ถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วเขาเป็โอรสของฮ่องเต้ฮ่าวที่ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางสามัญชนนั่นเอง หากมิใช่เพราะอิทธิพลตระกูลย่อยของมารดาเซี่ยยู่จางที่เป็สนมแล้วละก็ เกรงว่าฮ่องเต้ฮ่าวคงเปลี่ยนไท่จื่อไปแล้ว แม้กระทั่งเซี่ยยู่จางประทานความตายมาให้นาง เผยฉางชิงก็ยังเป็ศัตรูตัวฉกาจในการครองบัลลังก์ของเซี่ยยู่จางอยู่ดี
เฉินจิ้งเจียสูดลมหายใจลึก แหวกม่านรถม้ามองไปข้างนอก
เบื้องหน้ารถม้ามีปัญญาชนท่าทางอ่อนแอคนหนึ่งล้มขวางทางม้าเดิน เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเื แค่เห็นก็รับรู้ได้ทันใดว่าถูกทรมานมานาน ทั้งที่เป็เช่นนี้ทว่าดวงหน้าใสกลับไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาจ้องเขม็งชายหนุ่มผู้ขี่ม้าด้วยความเยือกเย็น
ประหนึ่งราชสีห์ใกล้ตาย แม้นาเ็ แต่กลับยังคงเชิดชูศีรษะอันสูงส่งของเขาได้อยู่
ครั้นจดจ้องเขาอยู่พักหนึ่ง เฉินจิ้งเจียกลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด
ไม่ผิด เขาคือเผยฉางชิงจริงๆ เผยฉางชิงศัตรูตัวฉกาจของเซี่ยยู่จางที่ใช้เวลาเพียงสามปีในการครองตำแหน่งไท่จื่อ!
“พวกคนใช้ พาตัวมันกลับไป! ในเมื่อมันไม่ยอมเป็ม้าให้แก่ตัวเปิ่นกงจื่อ[5] เช่นนั้นเปิ่นกงจื่อจะเล่นกับมันให้สาแก่ใจเอง!” บุรุษผู้ขี่ม้าออกคำสั่ง เหล่าข้ารับใช้ด้านหลังปรี่เข้ามาทันใด
“ช้าก่อน!”
เสียงใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากในรถม้า ทำเอาบ่าวรับใช้สองคนที่กำลังปรี่เข้ามาชะงักฝีเท้า
“คาดไม่ถึงว่าบุตรของผู้ว่าราชการเมืองหลวงจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ระรานผู้อื่นเช่นนี้ รังแกศิษย์ที่จะเดินทางไปสอบในกลางวันแสกๆ ผู้ว่าราชการเมืองหลวงมิเคยตักเตือนคุณชายโจวเลยหรือไร ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับการสอบเสมอ หากเื่ของคุณชายโจวในวันนี้ไปถึงพระเนตรพระกรรณฮ่องเต้เข้าละก็ มิกลัวว่าบิดาท่านจะเหนื่อยเอาหรือ?”
“เ้าเป็ใครกัน?” สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไป ะโถามเสียงดังก้อง
“คุณชายโจวยั้งมือโดยเร็วเถิด อย่าปล่อยให้เกิดเื่จนมิอาจแก้ไขได้อีกเลย” เฉินจิ้งเจียกล่าว
------
เชิงอรรถ
[1] ยามเหม่า : เวลาเช้า่ 05:00 - 06:59 น.
[2] วันโถวชี(头七): เป็ประเพณีงานศพอย่างหนึ่งของประเทศจีน วันโถวชีคือของวันที่เจ็ดหลังจากผู้ตายล่วงลับ เชื่อกันว่าในวันที่เจ็ด ดวงิญญาจะหวนกลับบ้าน ก่อนหน้านั้นครอบครัวต้องเตรียมอาหารไว้ให้ดวงิญญาผู้ตาย จากนั้นให้หลบเลี่ยง โดยวิธีที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ หากดวงิญญาผู้ตายเห็นครอบครัวจะคิดถึง และส่งผลต่อการเกิดเป็มนุษย์ในชาติหน้า
[3] ลอดหว่างขา : เป็การสร้างความอัปยศ
[4] จอหงวน : คือชื่อเรียกผู้ที่สอบคัดเลือกขุนนางได้คะแนนสูงสุด โดยอันดับหนึ่งเรียกว่าจอหงวน อันดับสองป่างเหยียน อันดับสามถ้านฮัว
[5] เปิ่นจงจื่อ (本公子) : ตัวข้าคุณชายผู้นี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้