บทที่ 48 ความน่าเหลือเชื่อของไฟแท้
เมื่อได้ยินเสียงของแม่นางน้อยทั้งสองคน ลู่อวี่ก็ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ ได้แต่พูดเพียงว่า “พอได้แล้ว พวกเ้าสองคน้าอะไรก็ให้รีบพูดมา ข้ายังมีธุระต้องไปทำ!”
“เชอะ พี่ยังจะมีธุระอะไรได้? นอกจากจะออกไปเที่ยวเล่น? เช่นนั้นแล้วพวกเราขอไปด้วย!” ลู่หนานได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจใหญ่ และพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ แต่ก่อนลู่อวี่เป็เพียงคนเสเพลผู้หนึ่ง นางไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะเปลี่ยนนิสัยเสียให้กลายเป็คนดีได้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าพี่ชายจะไม่อยู่ ก็รีบพามู่เสวียนไล่ตามมาทางที่ใกล้ที่สุด
“ไม่ได้ ข้าจะไปทำธุระสำคัญ พวกเ้ามีเหตุอะไรให้ต้องตามไปด้วย?” เขาปฏิเสธทันที ล้อกันเล่นหรือ? หากเอาสองคนนี้ไปด้วย เขายังจะได้เที่ยวเล่นหรือไม่ เขาไม่ใช่คนดูแลพวกนางเสียหน่อย!
“พี่ชาย ท่านพาพวกเราไปด้วยเถอะนะ ข้าอยู่บนเขามานานครึ่งปีแล้ว วันๆ ก็เอาแต่ฝึกฝน ฝึกจนจะกลายเป็สตรีสติฟั่นเฟืองอยู่แล้ว ข้าสัญญาว่าจะเชื่อฟังท่าน!” เมื่อลู่หนานเห็นลู่อวี่ปฏิเสธเด็ดขาดเช่นนี้ มีหรือจะยอม จากนั้นก็หันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้มู่เสวียน ก่อนจะเดินเข้าไปข้างกายสูงใหญ่แล้วเริ่มออดอ้อนอีกครั้ง
ทว่ามู่เสวียนไม่ได้ไร้ยางอายเท่าลู่หนาน อีกอย่างก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ยังไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นที่จะออดอ้อนได้ แต่ในเมื่อสหายขยิบตาส่งสัญญาณให้แล้วเช่นนี้ จะไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ทำตาน่าสงสารมองลู่อวี่ตาปริบๆ อย่างไรนางก็ดูออกนานแล้ว สำหรับคนอื่นลู่อวี่อาจจะไม่สนใจ แต่กับลู่หนานไม่มีทางใจร้ายด้วยแน่นอน มากสุดก็แค่ทำไม่สำเร็จเท่านั้น
“หากพี่ไม่ตกลง ข้ากับมู่เสวียนจะแอบตามหลังท่านไป หากเกิดเื่ขึ้น ดูสิว่าท่านจะร้อนใจหรือไม่? หากท่านปู่กับท่านลุงประมุขเอ่ยปากถาม ข้าจะบอกว่าท่านรังแกข้า เมื่อข้าโกรธก็เลยหนีไป ไอ๊หยา เจ็บนะ!”
ลู่อวี่ทั้งโกรธทั้งตลก จึงเขกหัวลู่หนานไปทีหนึ่ง พร้อมกับกัดฟันเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้ารักและเอ็นดูเ้า น่าเสียดายที่มันช่างเปล่าประโยชน์นัก ไม่ทันไรเ้าก็เริ่มข่มขู่พี่ชายแล้วหรือ?”
“ข้าถูกบีบบังคับต่างหาก!” ลู่หนานพูดอย่างมีเหตุมีผล ไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกแม้แต่นิดเดียว
ถึงแม้ลู่อวี่จะมีวิธีให้สาวน้อยทั้งสองอยู่บนเขาต่อ แต่ในที่สุดก็ยอมพยักหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นก็ต้องดูที่พฤติกรรมของพวกเ้าเสียก่อน หากทำให้ข้าพอใจไม่ได้ รับรองว่าไม่มีครั้งต่อไปแน่นอน!” พูดจบก็ไม่สนใจสตรีน้อยทั้งสองอีก แล้วรีบเดินลงจากเขาทันที
ลู่หนานหันไปส่งยิ้มอย่างกระหยิ่มใจให้มู่เสวียน พร้อมทั้งจูงมือกันไล่ตามไป
เมืองเทียนอวิ๋นมีผู้คนอาศัยอยู่กว่าเกือบหนึ่งล้านคน สืบเนื่องมาจากการมีอยู่ของตระกูลลู่ กล่าวคือราชวงศ์ผู้สูงศักดิ์ต่างก็ไม่มีอิทธิพลในที่แห่งนี้ แต่นอกจากเื่นี้แล้วก็ไม่มีอะไรที่ต่างกัน ทั่วทั้งเมืองเทียนอวิ๋นนอกเหนือจากท่านเ้าเมืองแล้ว ผู้ปกครองคนอื่นๆ ในเมืองเทียนอวิ๋นจะถูกคัดเลือกจากชาวบ้านในเมือง
ในทุกๆ 3-5 ปีจะมีการสอบใหญ่จัดขึ้นที่นี่ โดยอาศัยใช้พื้นฐานในการคัดเลือกผู้ปกครองจากชาวบ้านทุกคน รวมไปถึงความเป็อยู่ในด้านต่างๆ ทั้งการเมือง ประเพณีวัฒนธรรม การดำรงชีวิตของผู้คน รวมไปถึงการพาณิชย์และการค้าขาย หากเทียบกับเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ ย่อมดีกว่าเป็ไหนๆ
ลู่อวี่ลงจากเขามา ก็นำลู่หนานและมู่เสวียนมุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนอวิ๋น ที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณหลายสิบลี้ และทางตะวันตกของเมืองเทียนอวิ๋น คือทะเลสาบเทียนอวิ๋นที่มีบริเวณโดยรอบกว้างใหญ่หลายสิบลี้
ตามมาด้วยฝูงชนที่เข้าออกเมืองขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่งที่ประตูเมือง ลู่อวี่ััได้ถึงความคึกคักมีชีวิตชีวาเป็ครั้งแรก หลังจากไม่ได้ััความรู้สึกนี้มานาน ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วที่ไม่ได้เห็นบรรยากาศเช่นนี้ ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ ก็ไม่เคยไปในสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่านแม้แต่ครั้งเดียว แต่สถานที่เ่าั้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็ที่รวมตัวของนักพรต สิ่งที่เห็นและััได้ จึงมีเพียงบรรยากาศอึมครึม เต็มไปด้วยความระแวดระวังตัว และความเฉยเมยเสียมากกว่า มันไม่มีความสุขและอบอุ่นเหมือนอย่างที่นี่
ลู่หนานและมู่เสวียน เมื่อเข้าเมืองมาก็ตื่นเต้นดีใจกันไม่น้อยจนเห็นได้ชัด พวกนางมองซ้ายมองขวาราวกับได้ออกมาเปิดหูเปิดตาครั้งแรก ลู่อวี่สังเกตเห็นกับตาจึงเอ่ยปากถามด้วยความแปลกใจ “เสี่ยวหนาน เสี่ยวเสวียนมาเป็แขกบ้านเราครั้งแรก ไม่เคยมาที่เมืองเทียนอวิ๋นจะแสดงท่าทีแปลกใจข้าก็ไม่นึกแปลก เพียงแต่...หรือว่าเ้าเองก็ไม่เคยมาที่นี่หรือ? ดูเ้าทำท่าตื่นเต้นเข้าสิ!”
ลู่หนานไม่พอใจ จึงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “เคยมาแล้วอย่างไร? ทุกครั้งมีคนตามมาเป็ขบวน นี่ก็ไม่ให้ไป นั่นก็ไม่ให้ไป แล้วมันจะมีความหมายอะไร ต่อมาข้าจึงไม่มาอีกเลย” จากนั้นก็เงียบไปสักพัก ดวงตาคู่งามก็เปลี่ยนไปทันที นางจับมือพี่ชายไว้ทำเป็พูดประจบเอาใจ “พี่ลู่ ท่านคงไม่เข้มงวดกับข้าเช่นนั้นใช่หรือไม่? ข้าเพียงแต่สงสัย และนึกอยากไปสำรวจดูทุกที่ก็เท่านั้น ได้ยินว่าที่นี่มีของกินอร่อยๆ เยอะมาก!”
ลู่อวี่บีบจมูกเล็กน่ารักของนางเบาๆ อย่างไม่ชอบใจ และกล่าวว่า “รู้แต่กิน! เ้าอยากดูอะไร อยากกินอะไรก็ต้องบอกข้า มิเช่นนั้นหากข้ารู้ว่าเ้าออกห่างจากข้าไปสักสิบก้าว ข้าจะจับเ้ากลับไปทันที จากนั้นข้าจะออกมาคนเดียวอีกครั้ง!”
“เชอะ!” ลู่หนานส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วจูงมือมู่เสวียนวิ่งไปทางร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ขายผลไม้เชื่อม นางอ้าปากเล็กๆ กล่าวว่า “เอาทุกอย่างให้ข้า 4 จิน”
มู่เสวียนใถามว่า “กินเยอะเช่นนี้จะกินหมดหรือ? ของกินธรรมดาเช่นนี้! ไม่สู้พวกเราไปหาร้านดีๆ สักร้าน แล้วลิ้มรสสุรากันไม่ดีกว่าหรือ ข้าเห็นว่าท่านปู่ชอบยิ่งนัก!”
เมื่อเ้าของร้านร่างท้วมในวัยห้าสิบเห็นแม่นางน้อยทั้งสอง ที่งดงามราวกับเทพเซียน ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา ดังนั้นจึงไม่แม้แต่จะถามด้วยซ้ำ รีบพูดออกมาทันทีว่า “คุณหนูทั้งสองโปรดรอสักประเดี๋ยว เอ้อร์เป่าจือยังไม่รีบมาช่วยกันอีก! ผลไม้รวม 4 จิน ทั้งหมดสิบห้าชนิด เร็วเข้า อย่าให้คุณหนูทั้งสองท่านรอ!”
“ไม่ทราบว่าคุณหนูทั้งสองอยู่ที่จวนใดหรือ? หากข้าน้อยห่อให้เสร็จจะให้คนไปส่งให้ทันที ไป” เ้าของร้านถามเมื่อเห็นว่าสตรีทั้งสองไม่ได้พาผู้ติดตามมา เห็นได้ชัดว่าพวกนางแอบออกมาเที่ยวเล่นเป็การส่วนตัว ดังนั้นถึงได้ถามเช่นนี้
แม้ว่าลู่หนานและมู่เสวียน จะเป็สตรีอัจฉริยะในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของเทียนตู แต่พวกนางก็เพิ่งจะอายุได้สิบสี่ สิบห้าปี อีกทั้งยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝน จึงไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในโลก เวลานี้เมื่อได้ยินที่เ้าของร้านถาม จึงรู้สึกพอใจไม่น้อย ลู่หนานจึงตอบไปด้วยความดีใจ “ดียิ่งนัก เช่นนั้นเ้าเอาไปส่งที่บนูเาเทียนฉยง พวกเราไปกันเถอะ!” พูดจบก็วิ่งไปที่ร้านอื่นโดยไม่รอให้เ้าของร้านพูด
เมื่อเ้าของร้านได้ยินเช่นนี้ ก็ถึงกับตกตะลึงไป เอาไปส่งบนูเาเทียนฉยง? นั่นมันเป็สถานที่ที่ข้าสามารถไปได้หรือ? ในเมืองเทียนอวิ๋น ไม่รู้ว่ามีเซียนกี่คนที่ต่อแถวรอเพื่อเข้าไปที่นั่น อีกทั้งตนยังเป็เพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งจะเข้าไปได้อย่างไร? หรือว่าคุณหนูทั้งสองนาง จะเป็เซียนบนูเาเทียนฉยง?
ลู่อวี่ยืนมองน้องสาวทั้งสองคนอยู่ไม่ไกล พวกนางใสซื่อ แม้แต่เงินก็ไม่รู้ว่าต้องจ่ายให้พ่อค้า จึงทำได้เพียงส่ายหน้า แล้วเดินเข้าไปยื่นเงินตราชิ้นหนึ่งที่หนักหลายจินให้ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เก็บห่อใส่ผลไม้ที่ห่อเสร็จแล้วลงในวงแหวนลับ โดยไม่พูดอะไร แล้วรีบเดินตามพวกนางไป
เมื่อเ้าของร้านเห็นเช่นนี้ก็รู้ทันทีว่าเขาเดาถูก คุณหนูทั้งสองเมื่อครู่เป็คนสำคัญบนูเาเทียนฉยงแน่นอน รู้เช่นนี้ตนเองยังจะกล้าคิดเงินอีกหรือ? หาก...
ระหว่างทาง สาวน้อยทั้งสองเห็นอะไรก็ซื้อ จากนั้นก็ให้คนส่งไปยังูเาเทียนฉยง หากไม่ใช่เพราะลู่อวี่ที่คอยเดินตามจ่ายเงินให้ ไม่แน่ พ่อค้าแม่ค้าบนถนนทั้งสายนี้ คงโกรธพวกนางไปแล้ว!
เมื่อมาถึงสี่แยกสุดถนน ก็เห็นกลุ่มสตรีแต่งตัวสวยอยู่บนตึกหลังเล็กๆ สวยงาม ทักทายบุรุษทั้งหลายที่ผ่านไปมา ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก แต่ในขณะที่กำลังจะจูงมือกันเข้าไปดูอยู่นั้น ก็พลันรู้สึกได้ว่ามีวงแขนกระชับแน่น แล้วพวกนางก็ถูกพาไปจากที่นี่อย่างไม่เต็มใจ
แม้ว่าพวกนางจะไม่เต็มใจและขอร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ลู่อวี่กลับไม่สะทกสะท้าน พาแม่นางน้อยทั้งสองเดินผ่านถนนหลายสาย จนมาถึงเหลาอาหารหรูหราที่อยู่ติดกับทะเลสาบเทียนอวิ๋น เขาหาที่นั่งริมหน้าต่างที่หันหน้าไปทางทะเลสาบ นั่งลงแล้วถึงปล่อยมือจากน้องสาวทั้งสอง
“สถานที่เช่นนั้นใช่ที่ที่พวกเ้าจะเข้าไปได้หรือ? ไม่ต้องถามถึงเหตุผล รอพวกเ้าโตกว่านี้ก็จะรู้เอง หากไม่ฟัง ก็กลับไปั้แ่ตอนนี้!” เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าจริงจังไร้ความรู้สึกของลู่อวี่ ในที่สุดพวกนางก็ยอมฟังคำเขา แม้ว่าจะยังรู้สึกสงสัยไม่น้อย แต่ก็ไม่ถามอะไรอีก ถึงแม้จะไม่รู้สาเหตุ แต่รู้เพียงว่าพี่ลู่อวี่จะไม่มีทางทำร้ายพวกนางแน่
ลู่อวี่เองก็ไม่มีทางเลือกอื่น หอนางโลมมันใช่ที่ที่พวกนางควรไปหรือ? ขนาดตัวเขาเองยังไม่เคยได้เข้าไป! และแน่นอนว่า แม้ไม่เคยไป ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าภายในนั้นเป็สถานที่เช่นไร ไม่เคยกินเนื้อหมู ก็ยังต้องเคยเห็นหมูวิ่งอยู่บ้าง!
เมืองเทียนอวิ๋นถึงแม้จะเป็เมืองมนุษย์ธรรมดา และผู้คนในนั้นหลายแสนคนที่เป็ลูกหลานของมนุษย์ ที่สืบทอดสายเืของตระกูลลู่ แต่ตระกูลลู่ก็เป็หนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ในโลกบำเพ็ญเพียรของเทียนตู และสถานที่ที่พวกเขา ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็สถานที่ที่มีูเาอันเลื่องลือ และมีทิวทัศน์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็สถานที่ประทับของเทพเซียนแห่งลัทธิเต๋า แม้ว่าจะไม่ดีเท่าูเาเทียนฉยง แต่ก็ยังมีพลังปราณที่เข้มข้นกว่าหลายๆ แห่ง ดังนั้นเมืองเทียนอวิ๋นจึงไม่เคยขาดแคลนผู้บำเพ็ญเพียร แน่นอนที่พบได้บ่อยที่สุด เห็นจะเป็นักพรตสันโดษ เพราะอย่างไรเสีย สถานที่ตรงนี้ก็คือรากฐานของตระกูลลู่มาั้แ่แรก และตระกูลลู่เองก็ยังคอยดูแลสอดส่องสถานที่นี้อย่างเข้มงวด
ร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเทียนอวิ๋น ก็เป็หนึ่งในกิจการของตระกูลลู่ มีข้อแม้เพียงต้องเป็ผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ ที่แห่งนี้รวบรวมทั้งผลไม้วิเศษและสุราวิเศษมากมาย แลกเปลี่ยนเงินตราเป็หินวิเศษเท่านั้น ดังนั้นทุกคนที่มาที่นี่ได้ อย่างน้อยต้องเป็ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความมั่งคั่งอยู่บ้าง เพราะแม้แต่เด็กรับใช้ในร้าน ก็ต้องมีพลังยุทธ์ขั้นหกขึ้นไปเป็อย่างน้อย และยังมีร้านค้าเช่นนี้อีกมากในเมืองเทียนอวิ๋น ที่ไม่ต้อนรับคนธรรมดาทั่วไป
แม้ว่าเวลานี้จะไม่ใช่เวลาแวะพักกินอาหาร ด้วยผู้บำเพ็ญเพียรแม้จะอดอาหารหลายวัน ก็จะไม่รู้สึกหิว เช่นนั้นโดยปกติแล้วคนที่มาที่นี่ ต่างไม่ได้มากินข้าวตามเวลาอาหาร แต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนนัดหมายกับสหายสองสามคน เพื่อมาพูดคุยแลกเปลี่ยน และถือโอกาสชิมสุราเลิศรสกันที่นี่ ดังนั้นภายในร้านยามนี้ จึงมีลูกค้ากระจัดกระจายอยู่ภายในมากกว่าสี่ในสิบส่วน
ลู่อวี่เรียกคนงานในร้านให้มาหา แล้วให้ลู่หนานกับมู่เสวียนเป็ฝ่ายสั่งอาหารที่ตนเองชื่นชอบ ส่วนตัวเขานั้นสั่งสุรามาไหหนึ่ง และเตรียมตัวนั่งพักผ่อนชมวิวทิวทัศน์อยู่ตรงนี้ เพื่อััและดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเงียบสงบ
ลู่หนานแอบมองพี่ชายด้วยความไม่พอใจ จึงฉวยโอกาสตอนที่คนงานในร้านเอาอาหารมาวางให้ ลากมู่เสวียนเอาหัวมาชนกัน พูดพึมพำกระซิบกระซาบกันสองคน และแม้ว่าลู่อวี่จะทำเป็ไม่สนใจ แต่ก็รู้ว่าน้องสาวทั้งสองกำลังพูดอะไรกัน แต่เขาไม่มีอารมณ์มาฟังพวกนางตำหนิว่าร้ายตนเอง เื่พวกนี้เพียงใช้หัวแม่เท้าก็เดาออก
ใน่ต้นฤดูใบไม้ร่วงอากาศสดชื่นยิ่งนัก แต่ทะเลสาบเทียนอวิ๋น ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย เมื่อมองจากชั้นบนของอาคารหลังนี้ ก็จะเห็นเป็เพียงเงาปกคลุมด้วยหมอก บริเวณใกล้พื้นผิวทะเลสาบคล้ายกับกระจก และยังคงเห็นหมอกสีขาวจางๆ ลอยไปตามสายลม รวมตัวกันแล้วแตกกระจายออกจากกัน
หมอกหนาทึบไม่รู้นี้มาจากที่ใด และไม่เคยจางหายไปเลย แม้แต่นักพรตผู้ทรงพลังใช้พลังเวทมนตร์ปัดม่านหมอกบนทะเลสาบให้กระจายตัวออกไป แต่ผ่านไปไม่นานก็กลับมาเป็เหมือนเดิม
ในสายตาของลู่อวี่แล้ว หมอกนี้คงไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ หรือเกิดจากการก่อตัวตามธรรมชาติ ด้วยลักษณะของพื้นที่โดยรอบ หรืออาจถูกสร้างขึ้นด้วยเซียนผู้หนึ่งที่มีพลังแกร่งกล้า
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พันปีมานี้ ต่างไม่มีผู้ใดไขความลับนี้ได้ จึงไม่ใช่เื่ที่เขาฉุกคิดขึ้นมาฉับพลัน แล้วจะจัดการได้ทันทีทันใด ดังนั้นจึงไม่อยากมาเสียเวลาไปกับเื่เช่นนี้