สุดเขตแดนสมุทร
ตอนที่ 34
“นายหัวไหวมั้ยคะ?”
“นายหัว! นายหัวให้เรียกพี่พลให้เตรียมเรือไปหาหมอให้มั้ยคะ”
แม่บ้านสองคนยืนกระทืบเท้าไปมาอยู่ที่หน้าประตู เมื่อได้ยินเสียงอาเจียนโอ้กอ้ากของเ้านายั้แ่เช้า แต่จนแล้วจนเล่านายหัวรามสูรก็ยังไม่ยอมเปิดประตูให้พวกเธอเข้าไปดูอาการสักที นายหัวน้อยทั้งอาเจียนทั้งเวียนหัวและตัวรุม ๆ แบบนี้มาเกือบจะทั้งอาทิตย์ ธุระการงานทุกอย่างถูกยกเลิกและเลื่อนออกไปด้วยเพราะอาการแปลก ๆ นี้ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น คุณนายรุ่งฤดีก็ไม่สามารถกลับมาดูอาการลูกชายคนเล็กได้เพราะต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นายหัวอัสนีรายนั้นก็ห่วงทั้งแม่ทั้งน้องแต่คุณนายรุ่งฤดีผู้เป็แม่มีอายุมากแล้ว คนพี่เลยตัดใจปล่อยให้คนน้องดูแลตัวเองไป ถึงอย่างไรที่เกาะก็มีแต่แม่บ้านและคนกันเองทั้งนั้นคงดูแลกันได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง พวกเธอดูแลนายหัวราวกับไข่ในหิน หลายวันมานี้พวกเธอไม่ให้ตีนนายหัวเหยียบทรายเลยสักนิด ผลหมากรากไม้รสเปรี้ยวที่นายหัวบ่นออดแอดว่าอยากกินก็ไปหามาให้ถึงที่ แต่ทั้ง ๆ ที่ดูแลดีขนาดนี้อาการป่วยของนายหัวรามสูรก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายดีเลยสักนิดเดียว
“อะไรนะคะนายหัว?”
“ไม่...ต้อง”
“แต่นายหัวคะ”
“ผมดีขึ้น...มากแล้ว” ทว่าน้ำเสียงยังห่างไกลจากคำว่าดีขึ้นอยู่มากโข
“เอ่อ...แต่ว่า นายหัวคะ”
“ไปทำงานของตัวเองเถอะ ไม่ต้องห่วงผม” นายหัวรามสูรโบกมือไล่ให้แม่บ้านกลับไปทำหน้าที่ตามเดิมของตน ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาแทบจะยืนด้วยขาสองข้างของตนเองไม่ไหวอยู่แล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นคนหนุ่มคนแน่นอย่างเขาคงไม่ล้มหายตายจากลงง่าย ๆ จะติดก็แต่ความน่ารำคาญของอาการป่วยนี้มันไม่ยอมหายไป ไม่ว่าเขาจะกินยาขนานไหนแล้วก็ตาม พอได้กินผลไม้ก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย บางครั้งก็ปวดหัวขึ้นดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น บางครั้งก็เกิดอาการหน้ามืดแทบจะล้มจูบผืนทราย เขาเป็แบบนี้มาทั้งอาทิตย์และยังหาคำตอบให้กับตนเองไม่ได้ว่าป่วยเป็อะไร...
แล้วยังไอ้อาการเหม็นเบื่ออาหารอีก เขากินอาหารคาวได้น้อยลงพอแม่บ้านยกขึ้นมาตั้งบนโต๊ะอาหารทีไรพวกมันก็ส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยเข้าจมูกเข้าอย่างจัง จนเขาต้องวิ่งโร่ไปอาเจียนหลายต่อหลายรอบ ทั้งอาหารที่เคยชอบหรือเคยกินได้ตอนนี้กลับกินไม่ได้ไปเสียดื้อ ๆ ก็แปลกอยู่เหมือนกัน
“เข้ม”
“...”
“เข้ม โว้ย!!!”
“...”
“เข้ม!”
“ครับนายหัว มาแล้วครับ” เด็กเข้มสวมเสื้อบอลสีแดงและกางเกงบอลสีแดงชุดโปรดของเ้าตัววิ่งมาหยุดยืนตรงหน้านายหัวรามสูร หน้าผากข้างหนึ่งยังเต็มไปด้วยเม็ดทรายและเม็ดดินคาดว่าคงไปเล่นที่หน้าหาดเพิ่งจะกลับมา
“อยากกินมะเฟือง ที่ไหนมีมะเฟืองบ้างเอ็งพอจะรู้มั้ย”
“มะเฟืองคือยังไงครับนาย”
“กูจะบ้า” เขาคิดว่าการที่ตนเองอยากกินมะเฟืองบนเกาะแห่งนี้ว่ายากแล้ว แต่การที่ไอ้เด็กเข้มผู้รู้จักทุกซอกทุกมุมของเกาะไม่รู้จักมะเฟืองแบบนี้คือเื่ยากกว่า
“มันเป็ลูกเขียว ๆ พอสุกแล้วจะเหลือง ๆ เป็แฉก ๆ น่ะ”
“อ้อ...”
“คิดออกรึยัง”
“ยังจ้ะ”
“จิ๊!”
“กูจะอธิบายยังไงดีวะ” รามสูรกุมขมับแต่พอมองหน้าเด็กเข้มที่เพียบพร้อมไปด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ว่ามะเฟืองมันเป็ยังไงและจะได้ค่าจ้างไปเก็บมะเฟืองมาให้นายหัวรามสูรอีกหนึ่งร้อยบาท เขาก็ต้องสูดหายใจลึก ๆ แล้วพยายามอธิบายให้มันฟังอีกรอบ
“...”
“คืออย่างนี้ เห็นนี่มั้ย” รามสูรหยิบเครื่องมือสื่อสารของตนขึ้นมาแล้วกดค้นหาคำว่ามะเฟืองในอินเทอร์เน็ต ภาพในจอโทรศัพท์แสดงผลลัพธ์ของคำว่ามะเฟืองเป็รูปหลายร้อยรูป ทั้งมะเฟืองสีเขียวสด มะเฟืองสีเขียวอ่อน มะเฟืองสีเหลืองทอง มะเฟืองที่อยู่เป็พุ่มเป็พวงกัน...
“อ้ออออ!!!”
“รู้จักมั้ย?” ั์ตาของนายหัวรามสูรมีแววตาแห่งความหวังประกายระยิบระยับ
“รู้จักแล้ว อันนี้มะเฟืองเหรอนาย”
“ใช่นี่แหละมะเฟือง”
“ที่บ้านไอ้เจ๋งมี”
“เจ๋งไหน”
“เจ๋งลูกน้าอ้ออ่ะ”
“น้าอ้อไหน”
“น้าอ้อที่เป็เมียน้าต๋อยไง”
“ต๋อยไหน แล้วเอ็งไปรู้จักเขาขนาดนั้นได้ยังไง”
“ก็ต๋อยที่เป็ลูกชายลุงเรือง ที่มาทำโรงแรมให้นายไง เมียแกชื่อป้าป้อมขายผลไม้ในตลาดสดตอนเช้าไงนาย”
“เข้ม...กูไม่รู้หรอกนะลุงเรือง ป้าป้อม น้าต๋อยอ่ะ แต่ถ้าเอ็งไปเอามะเฟืองมาได้เอาไปเลยห้าร้อย”
“ห้าร้อยเลยเหรอนาย!!!”
“ใช่ ห้าร้อย”
“โหนาย!!!”
ไม่รู้ว่าตอนนี้แววตาของใครทอประกายแห่งความหวังมากกว่ากัน ระหว่างนายหัวรามสูรที่อยากกินมะเฟืองจนน้ำลายสอหรือเด็กเข้มที่หวังจะได้เงินห้าร้อยบาทจากนายหัวรามสูร มันเห็นช่องทางการเป็เศรษฐีั้แ่ยังเด็ก กะจะเก็บเงินเอาไว้ไปเล่นฉลากที่ร้านพี่ป๊อกที่ขายไก่ย่างส้มตำข้างโรงเรียน...
“เดี๋ยวนายรอเลย”
“เอ้อเข้ม!!!”
“ครับนาย”
“เอามะยมมาด้วยนะ”
“ได้ครับนาย”
เกิดเป็เด็กว่านอนสอนง่าย สั่งง่ายใช้ง่ายขึ้นทันควัน บอกให้ไปซ้ายไอ้เข้มมันก็จะไปซ้าย บอกให้ไปขวาไอ้เด็กเข้มมันก็จะไปขวา ไม่ออกนอกลู่นอกทางอย่างแน่นอน ขอแค่เงินถึงก็เท่านั้นเองนายหัว...
นายหัวรามสูรนั่งชะเง้อมองทางรอแล้วรอเล่าเด็กเข้มก็ยังไม่มา เขาใช้มันไปเก็บมะเฟืองั้แ่เช้า จนตอนนี้เที่ยงตะวันตรงหัวเด็กเข้มกลับหายหน้าหายตาไปเลยเสียอย่างนั้น แบบนี้มันใช้ได้เสียที่ไหนเห็นทีเงินห้าร้อยคงได้หักค่าเสียเวลาของเขาไปสักครึ่งหนึ่ง
“นายรออะไรคะ แสนเห็นนั่งอยู่หน้าบ้านนานแล้ว”
“รอไอ้เข้มน่ะ”
“มันไปไหนคะ”
“ใช้ให้มันไปเอามะเฟืองมาให้น่ะ”
“นายคะ แสนถามอะไรนายซักอย่างได้มั้ยคะ”
“หื้ม? ถามอะไรเหรอ”
“คือ...เอ่อ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะคะนาย คือว่านาย...นายไปทำใครท้องมารึเปล่าคะ”
“ทำไมพี่แสนถึงคิดอย่างนั้น” รามสูรไม่เข้าใจคำถามเลยสักนิดเดียว
“ก็...ก็อาการที่นายเป็อยู่ตอนนี้น่ะค่ะ เหมือนอาการคนแพ้ท้องแทนเมียเปี๊ยบเลยค่ะนาย”
“ไม่หรอก ผมไม่สบายใคร ๆ เขาก็เป็กันแบบนี้ทั้งนั้น”
“แต่แสนเคยเห็นนะคะ เวลาเมียท้องถ้าผัวแพ้ท้องแทนเมียอาการจะออกแบบนายเลยค่ะ ทั้งอ้วกทั้งเหม็นอาหาร นี่นายมีอาการหน้ามืดด้วยใช่มั้ยคะ”
“...อืม”
“นั่นยังไงละคะแบบนี้เด๊ะเลย!!!” แสนตบเข่าฉาดเธอกับแม่บ้านในครัวพูดกันเอาไว้ไม่มีผิด
“ไม่หรอกพี่แสน ผมไม่ได้ทำใครท้อง”
“บนเกาะก็ไม่มีเหรอคะ”
“ไม่มี” นายหัวรามสูรตอบปนขำ
“ถ้าอย่างนั้นบนฝั่งล่ะคะ ไปไข่ทิ้งไว้แล้วหนีลงเกาะมารึเปล่า”
“พี่แสนก็พูดไป พูดอย่างกับว่าผมเป็คนไม่มีความรับผิดชอบขนาดนั้น” พี่แสนพูดเหมือนเขาเป็จิ้งจกตุ๊กแกไข่ทิ้งเรี่ยราดอย่างไรอย่างนั้น
“ก็มันจริงนี่คะนาย สมัยนี้ตัวผู้มันก็แบบนี้ ไข่ทิ้งไว้แล้วหนีไปเลย ปล่อยให้เมียเลี้ยงลูกคนเดียว เป็แม่เลี้ยงเดี่ยวน่ะไม่ง่ายนะคะนาย เลี้ยงเด็กยากจะตายไป!!!”
“ผมไม่มีใครทั้งนั้น พี่แสนก็เห็นผมยุ่งจะตาย!”
“ไม่รู้ละค่ะ! ถ้านายไข่ทิ้งไว้แล้วไม่รับผิดชอบแสนจะฟ้องคุณนายจริง ๆ ด้วย!”
“นี่เดี๋ยว ๆ เื่ที่เราคุยกันมันยังไม่ใช่เื่จริงด้วยซ้ำ” รามสูรหัวเราะ
“เดี๋ยวนายก็รู้!”
“มั่นใจอะไรขนาดนั้นพี่แสน” รามสูระโไล่หลังแม่บ้านหลังจากที่เธอเดินหนีเขาไป ชอบคุยเื่ไร้สาระกันเป็ตุเป็ตะแล้วเก็บเอามาเ้าคิดเ้าแค้นเขา เขาไม่มีอะไรกับใครทั้งนั้น จะมีก็แต่ม่านหยี่แต่นั่นมันก็นานมาแล้วเกือบเดือนหรือจะสองเดือนได้แล้วมั้ง และเขาก็ไม่เคยคิดจะนอกใจม่านไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นด้วย อย่างนั้นเขาเลยมั่นใจในตัวเองเต็มร้อยว่าไม่ได้ไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหน
“นาย!!! นายคะ!!! นายหัวราม!!!”
เสียงร้องเรียกชื่อโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมาตามทางจนกระทั่งเ้าของชื่อเห็นว่าเป็หญิงชาวบ้านสวมผ้าถุงชาวเลกำลังวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาอย่างนั้นนายหัวรามสูรเลยรีบขานรับและเดินออกไปดักทางเธอเอาไว้ ด้วยเพราะดูแล้วว่าเธอคงจะมีเื่เดือดเนื้อร้อนใจไม่ใช่น้อยถึงได้วิ่งหน้าตาตื่นมาทั้งอย่างนี้
“มีอะไรเหรอครับ”
“ไอ้เข้มนาย!!! ไอ้เข้มมันตกต้นมะเฟืองแขนหัก!!!”
“อุบ...แหวะ!!!” ม่านวิ่งเข้าห้องน้ำเป็รอบที่หก หรือเจ็ดของวันหลังจากที่เขาตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอาการวิงเวียนศีรษะและรู้สึกอยากอาเจียนเอาส้มตำที่กินเข้าไปเมื่อคืนออกมา เขาคิดว่าตนเองกำลังอาหารเป็พิษเพราะเมื่อคืนเกิดอยากกินของที่ไม่เคยชอบกินเลยนั่นคือส้มตำรสเผ็ด อาหารแสลงเลยออกฤทธิ์เล่นงานในวันหยุดที่ไม่ได้หยุดอย่างเช่นวันนี้
“จะไปหาหมอดีมั้ยนะ หรือไม่ไปดี” ม่านสองจิตสองใจกับตัวเองมาั้แ่ตอนเช้าจนกระทั่งล่วงเลยเข้าบ่ายคล้อย อาการอาหารเป็พิษของเขายังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น แต่ที่ต้องคิดแล้วคิดอีกแบบนี้ก็เป็เพราะเงินเก็บอันน้อยนิดที่เก็บมาจากตอนเรียนหนังสือขณะนี้กำลังร่อยหรอลงทุกที เขาพยายามจะไม่ใช้เงินไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งถึงแม้ว่าสุขภาพของตนจะย่ำแย่แต่คิดว่าแค่อาเจียนมันออกมาและนอนพักสักหน่อยคงดีขึ้นสามารถไปทำงานในวันพรุ่งนี้ได้
“แหวะ!!!” แต่เขาเริ่มไม่แน่ใจถ้าหากว่าอาการมันไม่หายแล้วพรุ่งนี้เขาไปทำงานไม่ได้อย่างนั้นเงินค่าจ้างของวันพรุ่งนี้เขาก็จะไม่ได้ ถึงแม้พี่ไม้เ้าของร้านจะใจดีกับเขามากก็ตาม แต่ม่านหยี่ก็ไม่ควรเอาความใจดีของคนอื่นที่มอบให้กับตนมาหาผลประโยชน์หรือมาคิดเอาเปรียบทางใดทางหนึ่ง อย่างนั้นร่างบางเลยตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปค้นหาเอาเงินสดจากกระเป๋าสตางค์และบัตรประจำตัวประชาชนของตนเองและเดินลงไปชั้นล่างเพื่อไปยังโรงพยาบาลรัฐที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่พักของเขา
“ฮืออออ~ โอ๊ยยย นาย! เจ็บ ฮืออออ~”
“อดทนหน่อยสิวะ ถึงมือหมอแล้ว”
“เจ็บอ่ะนาย! ฮืออออ~”
“เออ ๆ รู้แล้ว ถึงมือหมอแล้วนี่ไง” นายหัวรามสูรไม่รู้จะพูดปลอบโยนเด็กเข้มยังไงเพราะเขาก็ไม่เคยเจอสถานการณ์อะไรแบบนี้มาก่อน แขนข้างซ้ายของเด็กเข้มเบี้ยวผิดรูปเลยต้องหามกันใส่เรือวิ่งเข้าฝั่งด้วยความเร็วสูงและมาจบอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้ เด็กเข้มร้องโอดโอยั้แ่อยู่บนเกาะยันขึ้นมาถึงฝั่ง เขาทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิดปะปนกันไปหมด
“นาย ฮือออ~ แขนผมจะขาดมั้ย นายผมเจ็บ!”
“ไม่ขาดหรอกมันแค่หัก เดี๋ยวหมอก็ต่อให้ใหม่”
“อย่างนั้นแขนผมขาดแล้วใช่มั้ยนาย ฮืออออ~~~”
“ยังไม่ขาดโว้ย!” นายหัวรามสูรขึ้นเรือมากับผู้ป่วยเพียงแค่สองคนเพราะตอนนั้นเกิดสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานจะตามพ่อแม่มันก็เกรงว่าจะไม่ทัน คนงานที่โรงแรมก็ติดงานกันหมด นี่เขาได้ชิงเรือจากพี่พลให้พี่พลไปใช้เรือลำอื่นเพื่อที่จะพาไอ้เข้มขึ้นเรือรีบมาส่งให้ถึงมือหมอ ยังดีที่เขาพอมีสติหาผ้ามาผูกดามแขนของมันเอาไว้ได้ไม่อย่างนั้นน่าจะเป็อันตรายกว่าที่คิด
“คนไข้เป็อะไรมาครับ”
“แขนหักครับ”
“ไหนหมอขอดูหน่อย”
“โอ๊ยยยย!!!”
“ยังไม่ได้จับเลยไอ้เข้ม ร้องอย่างกับจะตายไปได้”
“นายลองมาเป็ผมมั้ยล่ะ!!!”
เออ! มันยอกย้อน แต่เขาก็ต้องปล่อยมันไปเพราะความผิดกึ่งหนึ่งที่ไอ้เข้มแขนหักมันเป็เพราะเขาใช้มันไปปีนต้นไม้เก็บมะเฟือง
“ไปทำอะไรมาครับแขนหัก” คุณหมอหนุ่มใหญ่วัยกลางคนพยายามทำความรู้จักและสร้างความสนิทสนมกับเด็กเข้มที่เป็คนเจ็บ ช่างเป็กลวิธีที่แยบยลและแเีจนทำเอานายหัวรามสูรอึ้งไปเลยทีเดียว คุณหมอหาเื่มาชวนเด็กเข้มคุยพร้อมกันนั้นก็ทั้งจับทั้งตรวจแขนข้างซ้ายที่กระดูกของมันหัก สารพัดเื่ที่คุณหมอจะหามาคุยได้จนกระทั่งไอ้เข้มมันเลิกแหกปากร้องไห้แล้วหันกลับไปคุยจ้อกับคุณหมอแทน
“อาการรุนแรงนะครับ อาจได้ผ่าตัด”
“ผ่าตัดเลยเหรอครับ” นั่นยิ่งเพิ่มความรู้สึกผิดในใจให้นายหัวรามสูรอีกเท่าตัว
“ครับ กระดูกหักจากด้านในเลย คุณพ่อต้องเซ็นรับทราบและยินยอมในการผ่าตัดครั้งนี้นะครับ”
“เอ่อ...แต่ผมไม่ใช่พ่อมันน่ะสิครับ”
“เป็ผู้ปกครองก็ได้ครับ”
“เอ่อ...”
“ต้องรีบผ่าตัดนะครับ ตอนนี้หมอฉีดยาระงับอาการปวดให้น้องแล้ว ผ่าตัดไม่มีอะไรต้องเป็ห่วงครับเพียงแต่หมอจะต้องใส่เหล็กดามกระดูกให้น้อง”
“...ครับ” รามสูรคิดหนักแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คงต้องเซ็นรับทราบและให้หมอผ่าตัดใส่เหล็กที่แขนไอ้เข้ม นายหัวรามสูรเดินตามพยาบาลไปทางโน้นทีทางนี้ทีก่อนที่จะกลับมายังหน้าห้องก็พบว่าเด็กเข้มโดนส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว เขาตัดสินใจโทรไปหาพี่แสนซึ่งเป็แม่บ้านและขอเบอร์โทรศัพท์แม่ของเด็กเข้มและโทรไปอธิบายเื่ราวต่าง ๆ พร้อมกันนั้นก็ขอโทษที่ตนเองเป็สาเหตุทำให้เด็กเข้มต้องเจ็บตัว ฝ่ายทางนั้นทีแรกก็ใไม่ใช่น้อยแต่พอคุยไปคุยมาก็เข้าใจได้ว่าเื่แบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด นายหัวรามสูรบอกว่าจะเป็ผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรักษาครั้งนี้เองพร้อมกับจ่ายค่าทำขวัญให้และเขาอาสาจะอยู่ดูแลอาการเด็กเข้มจนกว่าจะหายดี ทางนั้นก็ปฏิเสธยกใหญ่พร้อมกับบอกว่าจะเอาเรือข้ามฝั่งมาดูอาการเด็กเข้มเย็นนี้ เขาคิดว่าเราคงได้คุยกันอย่างเป็ทางการอีกทีก็ตอนเย็นเลย...
แต่เขาคิดผิด
รามสูรออกมาเดินเตร่อยู่ในสวนหย่อมเล็ก ๆ บริเวณใจกลางของโรงพยาบาล ผู้คนนับร้อยเดินสวนกันไปมาราวกับการเดินนั้นไม่มีวันจบสิ้น โรงพยาบาลแห่งนี้มีทั้งเด็กเล็กวิ่งให้ว่อน ทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาวที่เดินทำหน้าตาท่าทางเครียดเขม็งผ่านหน้าเขาไปหลายต่อหลายคู่ ทั้งผู้ใหญ่วัยกลางคนที่พาลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้จ้ามาหาหมอ ทั้งคนแก่ที่จูงมือหลานมาด้วยกันเพียงแค่สองคน และม่านหยี่!!!
“ม่าน!” รามสูรรีบถอยร่างกายสูงใหญ่ของตนเองไปหลบอยู่ด้านหลังเสาใช้มุมลับตานี้ให้เป็ประโยชน์โดยการมองดูม่านหยี่ที่หน้าตาซีดเซียวทั้งยังผอมโซลงจนน่าใจหายเดินผ่านหน้าเขาไป ใจหนึ่งก็คิดว่าเขาควรจะเดินตามม่านหยี่ไปดีหรือไม่ ส่วนอีกใจก็ปฏิเสธเสียงแข็ง เขาไม่ควรทำอย่างนั้น ไม่ควรเดินตามม่านหยี่ไป อะไรที่มันจบแล้วก็ต้องจบลง
ที่กำลังะโบอกอยู่นั้นคือสมองและสิ่งที่ทำงานไม่สัมพันธ์กับสมองที่สุดนั่นคือหัวใจ สองเท้าของนายหัวรามสูรเลือกทำงานตามหัวใจ เขาจึงตัดสินใจเดินตามร่างบางไปเงียบ ๆ ทิ้งระยะห่างเอาไว้ไม่ใกล้จนม่านหยี่สงสัย และไม่ไกลเกินไปจนปล่อยม่านหยี่ให้หายไปจากสายตา
ในมือของม่านถือถุงยาสีขาวซึ่งด้านในคงมียาบรรจุเอาไว้ สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในตอนนี้คือเขาไม่รู้ว่าม่านป่วยเป็อะไร ทำไมถึงได้มาหาหมอ อาการหนักถึงขั้นต้องหาหมอเลยหรืออย่างไร สี่ปีที่อยู่ด้วยกันมาม่านไม่เคยป่วยหนักจนถึงขั้นต้องถึงมือหมอเลยสักครั้ง เวลาคนใดคนหนึ่งป่วยเราก็จะสลับกันดูแลซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าม่านหยี่ดูแลเขาได้ดีกว่าที่เขาดูแลม่าน แต่ถึงอย่างนั้นเราสองคนก็มีกันและกันเสมอ ไม่เหมือนตอนนี้ เขาอึดอัดที่ไม่รู้ว่าม่านป่วยเป็อะไรและที่อึดอัดยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่สามารถเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาคนข้างหน้าและถามกับม่านว่าม่านไม่สบายหรือเจ็บป่วยตรงไหน เขาทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว...
ม่านหยี่หยุดอยู่ที่ร้านรถเข็นซึ่งมีลุงแก่ ๆ ขายผลไม้และลูกชิ้นทอด เขาเห็นม่านเลือกเอาแต่ผลไม้ดองกับมะม่วงซึ่งแค่เขาเห็นก็น้ำลายสอแล้ว ม่านคุยกับลุงคนขายสักครู่ก่อนที่ใบหน้าหวานนั่นจะยิ้มกว้างออกมาเมื่อคุณลุงแถมลูกชิ้นให้อีกสองไม้ ยิ้มหวานนั่นทำเอานายหัวรามสูรชื่นใจจนเผลอไม่ได้ที่จะยิ้มตามออกมา แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องรีบหุบยิ้มและถามตัวเองอีกครั้งว่ามาทำอะไรอยู่ที่นี่
ม่านหยี่เดินต่อไปข้างหน้าไม่นานก็แวะเข้าไปยังร้านเล็ก ๆ บริเวณหัวมุมตึก มันเป็ร้านขายอะไรสักอย่างที่ซึ่งเขาก็ไม่รู้เพราะเขาอยู่ไกลเกินจะมองเห็นและกลัวว่าถ้าเดินเข้าไปใกล้กว่านี้ไก่จะตื่นเอาอย่างนั้นนายหัวรามสูรเลยได้แต่ยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าร้านข้าวมันไก่เ้าเก่าเ้าโบราณ หวิดจะโดนอาแปะใช้ปังตอเขกหัวอยู่รอมร่อโทษฐานที่มายืนบังหน้าร้านแต่ไม่ซื้อ จากนั้นไม่นานม่านหยี่ก็เดินออกมาพร้อมกับอมยิ้มน้อย ๆ เขานึกเคืองในใจไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้คนตัวเล็กยิ้มได้บ่อยขนาดนั้นแต่มันไม่ดีต่อใจเขา และคิดว่าคงเป็อันตรายต่อใจคนอื่นที่ได้พบเห็นเหมือนกัน
ม่านกำลังเดินกลับมายังที่ที่เขายืนอยู่นายหัวรามสูรเกิดอาการลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขด้วยเพราะไม่รู้ว่าต้องเอาร่างกายใหญ่โตของตนเองนี้ไปซ่อนไว้ตรงไหนม่านหยี่จึงจะได้ไม่สังเกตเห็นเขา ดังนั้นเขาเลยรีบวิ่งเข้าไปยังโต๊ะที่ไกลที่สุดของร้านข้าวมันไก่แล้วนั่งลงหันหลังให้กับม่านหยี่ที่กำลังเดินผ่านไป ทำทียกเมนูขึ้นมาอ่านแต่คนอื่นเห็นแล้วก็ได้แต่ขำคิกคักเพราะเมนูในมือนายหัวมันกลับด้านซ้ำยังกลับหัวกลับหางกันไปหมด
“เอาไรหนุ่ม”
“...”
“หนุ่ม เอาไร”
“...เอา เอ่อ ข้าวมันไก่ใส่ห่อครับ”
“เอากี่ห่อ”
“อันเดียวครับ” รามสูรปล่อยไก่เยอะจนอาแปะเ้าของร้านสามารถเอาไก่ของเขาไปสับขายได้เลย
หลังจากที่สั่งเมนูข้าวมันไก่หนึ่งอันกับแปะแล้วรามก็รีบวิ่งออกมายังด้านหน้าเพื่อที่จะดูว่าม่านหยี่เดินไปไหนแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อไร้ซึ่งเงาของคนตัวเล็ก ม่านจากไปแล้วและเขาก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกหรือไม่...
หลังจากที่ครอบครัวของเด็กเข้มมาถึงโรงพยาบาลและเด็กเข้มก็ออกจากห้องผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว หมอบอกว่าเข้มปลอดภัยแต่อาจมีอาการเจ็บตึงหรือปวดบริเวณแผลผ่าตัดไม่นานก็คงจะออกจากโรงพยาบาลได้ ทุกคนต่างพากันเบาใจและบอกว่าจะขอนอนเฝ้าเข้มที่บนฝั่ง รามสูรเลยขอห้องพิเศษจากทางโรงพยาบาลและย้ายเด็กเข้มกับพ่อและแม่ไปพักที่ห้องนั้น เขาละอายเกินกว่าจะรับคำขอบคุณด้วยเพราะตนเองเป็สาเหตุที่ทำให้เข้มต้องเข้าโรงพยาบาลการขอห้องพิเศษให้เข้มจึงเป็อะไรที่เล็กน้อยมาก รามโทรบอกพี่ชายและมารดาว่าตนเองขึ้นฝั่งมาพร้อมกับเล่าเื่ราวทั้งหมดให้ฟังเขาอยากพักอยู่บนฝั่งเพื่อดูอาการเข้ม ยังไม่อยากกลับเกาะในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องกลับไปนอนที่โรงแรมของอัสนีผู้ซึ่งเป็พี่ชายและมีมารดาที่พักอยู่ที่นั่นด้วยอีกคน
“อยู่ดีไม่ว่านะมึง”
“เออ กูแม่ง หาแต่เื่จริง ๆ ”
“ดีนะเด็กมันไม่เป็อะไรมาก”
“อืม”
“อยากกินอะไรขนาดนั้น มึงกินอย่างอื่นไม่ได้เหรอวะ”
“ตอนนี้มันไม่อยากกินแล้วแต่ตอนนั้นมันอยากกินนี่หว่า ตื่นขึ้นมาก็นึกเห็นภาพมะเฟืองเลยเป็อันแรก”
“แล้ววันก่อนบอกอยากกินมะขาม ก่อนหน้านั้นบอกอยากกินตะลิงปลิง อารมณ์ไหนของมึงวะ แล้วดูที่อยากแต่ละอย่างใครจะหามาถวายมึงได้ กินอะไรอย่างกับคนท้อง”
“มึงไม่ใช่คนแรกที่ทักกูแบบนี้พี่แสนก็ทักกู”
“เหอะ!...ไปแอบไข่ไว้ไหนอีก อย่าให้คุณนายได้รู้นะมึง มึงได้เป็เ้าบ่าวสมใจอยากแน่ ต่อให้จะแต่งกับหมาคุณนายมึงก็ไม่สน”
“มึงอย่าพูดให้กูกลัวได้มั้ยวะอัส”
“กูไม่ได้ขู่ กูพูดเื่จริง” อัสนีไหวไหล่ เขาพูดเล่นเสียที่ไหน ต่อให้เป็หมาตอนนี้คุณนายรุ่งฤดีก็ยินยอมพร้อมใจให้ลูกชายแต่งงานกับหมาแน่ ๆ ขอแค่หมาตัวนั้นเป็ตัวเมียและออกลูกมาเป็คนให้เธอก็พอ
“แล้วแม่เป็ไงบ้าง”
“ไปเดินเล่นที่สวนนู่น ติทุกอย่าง เห็นว่าจะจัดสวนใหม่กูห้ามก็ไม่ฟัง กูเลยจะให้จัดเอง เอาอะไรมาลงก็เอา จะได้รู้ว่าการรื้อสวนแล้วจัดใหม่มันเหนื่อยไม่ใช่เล่น”
“เออ อะไรที่แม่ทำแล้วมีความสุขก็ปล่อย ๆ ไป”
“แต่กูเห็นแล้วทุกข์สัส ดื้อมากบอกอะไรก็ไม่เอา บอกอะไรก็ไม่ฟัง ฤทธิ์เยอะมากกูยอมเลยจริง ๆ ”
“หึ ๆ ๆ ๆ ๆ ” รามสูรหลุดขำให้กับพี่ชายที่มีสภาพไม่ต่างกันกับเขาสักเท่าไหร่ ใครก็รู้ว่าคุณนายรุ่งฤดีหัวแข็งและฤทธิ์เดชเยอะแค่ไหน ไม่มีใครจะเอาเธอลงได้แม้ว่าจะเป็ลูกชายทั้งสองคนก็ตาม
“กูเจอม่าน...วันนี้นี่เอง”
“...”
“กู...”
“มึงทำไม?”
“...”
“มึงคิดถึงเขา?”
“...อืม”
“คิดถึงก็ได้ไม่ผิด ไม่มีกฎข้อไหนห้ามคิดถึงแฟนเก่า”
“...กูทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองเขาเดินผ่านไป แม่ง! กูเป็ห่วงเขาอยากรู้ว่าเขาเจ็บตรงไหน ไม่สบายตรงไหน หรือป่วยเป็อะไร แต่กูเดินไปถามเขาไม่ได้”
“เพราะมึงยังติดอยู่ในทิฐิตัวเองเหรอ”
“ไม่รู้สิ...กูแค่ กลัว กับเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นพอมองหน้าเขาทีไรเื่ที่เขาทำไม่ดีมันก็จะไหลเข้ามาในหัวอยู่เสมอเลย กูคิดถึงมันตลอดและตั้งคำถามกับมันอยู่ตลอดเวลา ถ้ากูกลับเข้าไปทุกอย่างมันก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง นั่นคือสิ่งที่กูกลัว เขาจะต้องหลอกกูอีกครั้ง และกูก็จะเจ็บแบบนั้นอีกครั้ง...”
“...”
“กูไม่อยากเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว”